ตอนที่ 4 ความสามารถที่เกินวัย
การประลองโยนลูกศรลงกาปากสูงกลายเป็นจุดศูนย์รวมของผู้คนในงาน เพราะในยามนี้ได้มีร่างเล็กของเด็กหญิงกำลังจะแสดงความสามารถของนางให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของผู้ชม และผู้ที่นางเข้าไปท้าชิง มือเล็กถือลูกศรขึ้นมาทั้งสองอันก่อนที่จะโยนออกไปเบื้องหน้าที่มีกาปากสูงตั้งอยู่พร้อมกัน ผู้คนที่มองมาต่างลุ้นไปกับการโยนศรของเด็กหญิงที่มีหน้าตาน่ารักผู้นี้ ลูกศรไม้ไผ่ปลายแหลมคล้ายลูกธนูลอยละลิ่วลงไปในกาปากสูงทั้งสองอันอย่างไม่น่าเชื่อ เสียงปรบมือดังกึกก้อง บุรุษหนุ่มที่ถูกเด็กหญิงท้าชิงถึงกับหน้าถอดสี
“ข้าบอกท่านแล้วว่าอย่าเพิ่งกล่าวสิ่งใดออกมาก่อนที่จะได้เห็นจริงๆ” ฉีอันหลงเอ่ยออกมายิ้มๆ ก่อนที่จะมองไปยังน้องสาวของตนด้วยแววตาที่ฉายแววภาคภูมิใจ
“เยี่ยมๆๆ” เสียงของผู้ที่ชมการประลองอยู่ดังขึ้นพร้อมกับเสียงปรบมือ เหลืออีกแปดดอกสำหรับลูกศรในมือ
“เพิ่งลงแค่สองดอกอย่าเพิ่งดีใจไป ขนาดข้าเล่นทุกวันยังพลาดได้เลย”
บุรุษหนุ่มผู้ที่ถูกเด็กหญิงท้าประลองเอ่ยออกมาด้วยท่าทางมั่นใจ มั่นใจว่าครั้งแรกที่เด็กน้อยผู้นี้ปาลงก็อาจจะเป็นเพราะความบังเอิญ
ฉีอันหนิงมิได้มีท่าทีหวาดหวั่นแต่อย่างใด นางใช้สมาธิในการโยน น้ำหนักในการโยนนั้นก็เป็นองค์ประกอบที่สำคัญ โชคดีที่ลมมิสามารถเข้ามาถึงได้เพราะมีผู้คนรุมล้อมชมการประลองในครั้งนี้อยู่ เด็กหญิงโยนศรเข้าเป้าไปอีกสองดอกในท่วงท่าสง่างาม เสียงโห่ร้องดังขึ้นหลังจากโยนเข้า สร้างความสนุกสนานให้กับผู้มายืนชม
เด็กหญิงโยนไปเรื่อยๆ จนเหลือสองคู่สุดท้าย และนางก็ทำในสิ่งที่มิมีผู้ใดคาดคิด ลูกศรทั้งสี่ดอกลอยละลิ่วไปยังกาปากสูงที่เหลืออีกสองอัน ผู้คนที่กำลังยืนชมอยู่ถึงกับนิ่งเงียบเพราะกำลังลุ้นกับภาพตรงหน้า ลูกศรแยกออกเป็นสองทิศทางเข้าไปในกาปากสูงที่เหลืออยู่ทั้งสองอันอย่างลงตัว เสียงโห่ร้องชื่นชมดังปะปนขึ้นมากับเสียงปรบมือไปทั่วทั้งบริเวณ
ฉีอันหนิงมองไปยังใบหน้าของผู้พ่ายแพ้ สกุลฉีจะแพ้ผู้ใดได้เช่นไรกัน มิเช่นนั้นตระกูลคงได้อับอายเป็นแน่ หากนางกับพี่ชายมิมั่นใจ คงมิเสนอตัวออกมาประลองหรอก บุรุษหนุ่มผู้นั้นลดความหยิ่งทะนงตนลงก่อนที่เขาจะยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี
หลังจากสนุกสนานกับการเล่นหมากล้อมและโยนศรแล้ว สองพี่น้องพร้อมด้วยสาวรับใช้และบ่าวรับใช้ที่ติดตามก็พากันไปที่โรงเตี๊ยมฝูอวิ๋นที่มีการประชันต่อบทกวีกันอยู่ ฉีอันหลงและฉีอันหนิงได้พบกับฉีอันลิ่งและฉีอันลู่ที่หลงใหลในการฟังบทกวีนั่งอยู่ที่โต๊ะด้านในกับบิดามารดาก่อนแล้ว
“คารวะท่านพ่อท่านแม่” สองพี่น้องที่เพิ่งมาถึงคำนับผู้ใหญ่ทั้งสอง
“มาแล้วหรือหลงเอ๋อร์ หนิงเอ๋อร์” สองพี่น้องพยักหน้าก่อนที่จะเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่ยังว่างอีกสองตัว
“ไปซุกซนทางใดกันมาล่ะเจ้าสองคน” ฉีฮูหยินเอ่ยถามบุตรชายคนโตกับบุตรีคนเล็กยิ้มๆ
“ไปแสดงความสามารถให้ชาวเมืองตงหลางเห็นต่างหาก ว่าบุตรของท่านเจ้าเมืองนั้นเก่งกาจสักเพียงไหน”
ฉีอันหนิงตอบมารดาออกมาด้วยน้ำเสียงภูมิใจ ใต้เท้าฉีกับฉีฮูหยินถึงกับหันไปมองหน้าบุตรชายคนโต เขาพยักหน้าพร้อมกับส่งยิ้มให้กับบิดามารดา
“ลูกพอจะเดาออกว่าพี่ใหญ่กับน้องหญิงสี่ต้องไปประลองหมากล้อมกับประลองโยนศรลงกาปากสูงมาอย่างแน่นอน” ฉีอันลิ่ง หรือพี่รองเอ่ยออกมาอย่างรู้ทัน
“สมแล้วที่เป็นพี่รองของน้อง ใช่แล้วเจ้าค่ะ บุรุษเหล่านั้นต่างคิดว่าพี่ใหญ่กับลูกเป็นเพียงเด็กมิอาจสู้พวกเขาได้ แต่พวกลูกก็แสดงให้ทุกคนได้เห็นแล้วว่าพวกลูกมิใช่แค่เด็กที่ไม่มีวิชาความรู้อันใดติดตัว”
คำตอบของเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบทำเอาใต้เท้าฉีและฉีฮูหยินถึงกับยิ้มออกมาด้วยความภูมิใจ ถึงนางจะเป็นเด็กผู้หญิง แต่ก็มีความกล้าหาญมิต่างจากเหล่าบุรุษเลยสักนิด
“มาแล้วก็ดี.. มาฟังบทกวีกันเถิด” ฉีอันลู่เอ่ยออกมาก่อนที่ทุกคนในครอบครัวจะพากันเงียบไปแล้วหันไปให้ความสนใจการต่อบทกวีตรงหน้าแทน
บุรุษรูปงามที่นั่งอยู่อีกฝั่งของผ้าม่านสีขาวมองเห็นเพียงเงาเลือนรางกำลังเริ่มต้นบทกวีที่หลายๆ คนต่างเฝ้ารอ โดยเฉพาะกับฉีอันลิ่ง เขาชื่นชอบด้านนี้เป็นที่สุด และมีวี่แววว่าจะเป็นขุนนางฝ่ายบุ๊นมากกว่าฝ่ายบู๊ ใต้เท้าฉีสนับสนุนในทุกเรื่องที่บุตรทุกคนชอบ อย่างฉีอันหนิง เขาเอ็นดูบุตรีผู้นี้เป็นที่สุด เพราะนางเป็นบุตรีเพียงคนเดียวของเขากับฮูหยิน
“วันนี้ข้าน้อยจะขออ่านบทกวีของท่านหลี่ไป๋ ดื่มเดียวดายใต้เงาจันทร์” บุรุษหนุ่มหลังม่านเอ่ยขึ้นมา
“ดีๆๆ” เสียงผู้ที่มารอฟังเอ่ยออกมาพร้อมกัน
'ไหสุราประหนึ่งดังดอกไม้ เดียวดายไร้เพื่อนดื่ม
ยกจอกขึ้นเชิญจันทร์สว่าง ทอแสงรวมเงาข้าเป็นสาม
จันทร์ลอยเลื่อนไม่อาจดื่ม เงาเคลื่อนคล้อยตามกายข้า
ทั้งจันทร์และเงาอยู่เป็นเพื่อน เริงรื่น ก่อนฤดูใบไม้ผลิ
เมื่อข้าร้องเพลง จันทร์ทอแสง เมื่อข้าเริงระบำ เงาสั่นไหว
เมื่อยังตื่น ร่วมสรวลเสเฮฮา เมื่อเมาแล้ว ต่างต้องแยกจากกัน
มิตรภาพของเรายังคงอยู่ตลอดไป และพบกันใหม่ที่ทางช้างเผือก'
สิ้นเสียงท่องบทกวีของบุรุษหนุ่มหลังม่านเสียงปรบมือกับเสียงชื่นชมดังขึ้นทั่วทั้งโรงเตี๊ยม ฉีอันลิ่งปรบมือด้วยความชอบใจ ใต้เท้าฉีและฉีฮูหยินมองบุตรชายคนรองด้วยแววตาขบขัน บุตรชายคนรองวัยเพียงสิบเอ็ดปีแต่ทว่ากลับชื่นชอบบทกวียิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ลูกๆ ของพวกตนนั้นมีความชอบที่แตกต่างกันออกไป เห็นจะมีแต่ฉีอันหนิงที่ได้รับความชอบมาจากพี่ชายทั้งสามคน
หลังจากนั่งฟังบทกวีกันอย่างเพลิดเพลินแล้ว ใต้เท้าฉีและฉีฮูหยินจึงพาบุตรทั้งสี่ไปลอยโคมไฟ ก่อนที่จะพากันเดินทางกลับจวนเพราะยามนี้ก็เริ่มดึกพอสมควรแล้ว เด็กๆ ควรกลับไปนอนหลับพักผ่อนเพราะวันรุ่งขึ้นพวกเขาต้องไปเรียนที่สำนักศึกษาหลี่ชุน ระหว่างทางที่เดินไปนั้นมีชาวเมืองเข้ามาทักทายท่านเจ้าเมืองกับครอบครัวมิได้ขาดสาย เขาเป็นขุนนางที่ดีจึงเป็นที่รักของชาวเมืองตงหลาง
“ท่านแม่ ลูกอยากได้โคมกระต่ายเจ้าค่ะ”
ฉีอันหนิงเดินเข้าไปกอดแขนมารดาก่อนที่จะเอื้อนเอ่ยออกมาด้วยวาจาออดอ้อนออกมา มีหรือที่ฉีฮูหยินจะทำใจแข็งกับนางได้
เงินสองตำลึงเงินถูกส่งให้กับฉีอันหนิง เด็กหญิงฉีกยิ้มออกมาก่อนที่จะคำนับมารดาและรับเงินไปเพื่อซื้อโคมไฟรูปกระต่าย ซุนซุนและสาวรับใช้ที่โตกว่าพวกนางอีกสองคนติดตามไปด้วย เมื่อได้โคมไฟรูปกระต่ายมาฉีอันหนิงก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
หลังจากลอยโคมไฟแล้ว ครอบครัวสกุลฉีจึงเดินทางกลับจวน สำหรับค่ำคืนนี้ฉีอันหนิงได้แสดงความสามารถของนางออกมาจนกลายเป็นที่กล่าวถึงในหมู่ชาวเมือง ต่างพากันชื่นชมบุตรชายและบุตรีของท่านเจ้าเมืองที่เก่งกาจในการโยนศรและการเล่นหมากล้อม ความสามารถที่ผู้ใหญ่บางคนก็มิอาจมี เรียกได้ว่าบุตรของสกุลฉีนั้นมีความสามารถเกินเด็ก
“หนิงเอ๋อร์ แม่ก็นึกว่าเจ้าจะนำเจ้ากระต่ายนี้ไปลอย ใยนำกลับจวนด้วยล่ะลูก” ฉีฮูหยินเอ่ยถามบุตรียิ้มๆ ขณะที่นั่งอยู่บนรถม้า
“ลูกอยากนำโคมรูปกระต่ายนี้มาเก็บไว้เป็นความทรงจำของลูกเจ้าค่ะ นี่เป็นครั้งแรกของลูกในการออกไปเที่ยวกับท่านพ่อท่านแม่และพวกท่านพี่”
ฉีอันหนิงคลายความสงสัยของมารดา ฉีฮูหยินได้ฟังเช่นนั้นจึงยกมือขึ้นไปลูบศีรษะเล็กของบุตรี นางยังคงห่วงฉีอันหนิงกว่าผู้ใดเพราะบุตรีเป็นหญิงที่มีความสามารถมิแพ้ชาย นางกลัวว่าสักวันความเก่งกาจของบุตรีจะทำให้มิมีชายใดอยากได้นางไปเป็นฮูหยินในจวน
“ปีหน้าพ่อก็สามารถพาเจ้าไปเที่ยวได้อีก”
ใต้เท้าฉีเอ่ยออกมาอย่างเอ็นดู ยังอีกหลายปีกว่าบุตรีจะถึงวัยปักปิ่นและนางก็ต้องออกเรือน แต่เขาจะมิยอมยกบุตรีผู้นี้ให้ไปเป็นสะใภ้สกุลไหนง่ายๆ และเขาจะให้นางเป็นคนตัดสินใจเลือกคู่ครองของนางเอง ฉีอันหนิงเปรียบเสมือนเป็นดั่งดวงใจของเขาและภรรยา เพราะเหตุนั้นเขาจึงมิอยากให้นางต้องเสียใจเพราะผู้อื่นแม้แต่นิดเดียว
“ท่านพ่อ… ลูกอยากฝึกขี่ม้าเจ้าค่ะ” คำขอของบุตรีทำให้เขามองหน้าภรรยา แต่มีหรือว่าคนที่รักนางดั่งดวงใจเช่นเขาจะขัดใจ
“ได้สิ… รอสำนักศึกษาปิดอีกครา พ่อจะให้ลุงลู่ช่วยฝึกให้” ลุงลู่ที่ว่าคือบ่าวที่ติดตามรับใช้เขามานาน เปรียบดังเป็นคนหนึ่งในครอบครัว
“จริงๆ นะเจ้าคะ ท่านพ่อรับปากลูกแล้วนะเจ้าคะ” ฉีอันหนิงเอ่ยถามบิดาออกมาอีกคราด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ใต้เท้าฉีมองไปยังฉีฮูหยินก่อนที่จะพยักหน้าให้กับบุตรี
ฉีอันหนิงยิ้มออกมาอย่างมีความสุข มิใช่เพียงฝึกขี่ม้าเท่านั้น แม้แต่วิชายิงธนูหรือเพลงดาบ นางก็อยากจะร่ำเรียนเพื่อมีไว้ป้องกันตัวในอนาคต
“หนิงเอ๋อร์… เจ้าอยากฝึกตีคลีหรือไม่” ฉีฮูหยินเอ่ยถามบุตรีที่กำลังทำท่าครุ่นคิดอยู่อย่างน่ารัก
“อยากเจ้าค่ะท่านแม่” นางรีบตอบออกมาทันทีแบบมิต้องคิดให้เปลืองเวลา
“ตอบแบบมิคิดเลยนะลูก” ใต้เท้าฉีเอ่ยหยอกล้อบุตรสาวออกมา
“เจ้าค่ะ ลูกอยากเรียนรู้ทุกอย่าง ท่านพ่อท่านแม่สอนลูกด้วยนะเจ้าคะ” เสียงใสๆ บอกบิดามารดา
“หากเจ้าเติบโตขึ้นมาแล้วเก่งกาจเกินชาย ผู้ใดจะมาแต่งเจ้าออกเรือนไปล่ะทีนี้” ฉีฮูหยินมิวายเอ่ยถึงสิ่งที่นางคาดคิดเอาไว้ออกมา เป็นคนเก่งมิใช่ว่ามิดี แต่หากเก่งเกินบุรุษไปนั้น ก็อาจจะหาคู่ครองยากในภายภาคหน้า
“มิเป็นไรหรอกเจ้าค่ะท่านพ่อท่านแม่ หากมิมีผู้ใดกล้ามาขอลูก ลูกก็ขออยู่ดูแลท่านพ่อท่านแม่ไปจนแก่เฒ่าเลยเจ้าค่ะ”
คำตอบของบุตรีทำให้สองสามีภรรยามองหน้ากันด้วยความหนักใจ ทั้งสองคนก็ได้แต่แอบหวังว่าคงมีชายใดในวันข้างหน้าที่จะรักบุตรีของตนอย่างที่นางเป็น
สองเค่อต่อมา รถม้าของจวนสกุลฉีทั้งสองคันก็หยุดอยู่ที่หน้าจวน ก่อนที่ใต้เท้าฉี ฉีฮูหยินและเด็กๆ ทั้งสี่จะลงจากรถม้ามาแล้วเข้าไปในจวนพร้อมๆ กัน ทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับเข้าห้องนอนของตน ซุนซุนคอยดูแลคุณหนูสี่ตั้งแต่เตรียมที่นอนและพาเข้านอน สิ่งสำคัญที่นางละเลยมิได้เลยนั่นก็คือผ้าห่ม เพราะฉีอันหนิงนั้นเป็นเด็กขี้ร้อน แต่อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ ซุนซุนก็มิอาจปล่อยผ่านไปได้
เช้าวันต่อมาฉีอันหนิงก็ได้ไปสำนักศึกษาพร้อมกับเหล่าพี่ชายอย่างเช่นทุกวัน แต่ทว่าเช้านี้ความสามารถของพี่ชายและตัวนางเองกลับเป็นที่กล่าวถึงในวงกว้าง แม้แต่เหล่าอาจารย์เองก็ยังรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย หากจะเป็นแค่ฉีอันหลงเพียงผู้เดียวคงจะมิแปลกอันใด แต่นี่ยังมีฉีอันหนิงอีกคนที่สร้างชื่อเสียงให้กับสกุลฉี
“หนิงเอ๋อร์ เมื่อวานที่งานโคมไฟ เจ้าสามารถเอาชนะผู้ที่โยนศรมิเคยแพ้ผู้ใดในเมืองตงหลางมาก่อนเช่นนั้นหรือ” อาจารย์หลี่เอ่ยถามออกมาในช่วงพักกลางวัน
“เจ้าค่ะ…” ฉีอันหนิงตอบอาจารย์ตามความจริง
“แล้วผู้ใดเป็นผู้ฝึกวิธีโยนศรให้เจ้ากัน” อาจารย์เอ่ยถามเด็กหญิงอีกครั้งด้วยความสงสัย
“ศิษย์ฝึกด้วยตนเองเจ้าค่ะ ยามเมื่อศิษย์อายุได้ห้าหกปี ศิษย์ได้โยนศรกับพี่ชายอยู่บ่อยครั้งน่ะเจ้าค่ะ”
เด็กหญิงตอบด้วยน้ำเสียงสดใส เมื่อยามกล่าวถึงเรื่องราวในอดีต เท่าที่นางจำได้ในวัยห้าหกขวบนั้น นางมักจะติดตามพี่ชายไปเล่นซนเช่นเดียวกันกับพวกเขา มิได้แบ่งแยกว่าตนจะเป็นสตรีหรือบุรุษ เล่นเพียงเพื่อความสนุกเท่านั้น
อาจารย์หลี่พยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนที่เขาจะเดินจากไป เขารู้อยู่แล้วว่าคุณหนูสี่จากสกุลฉีผู้นี้นั้นมีความสามารถที่เกินวัย ดูจากการสอบเข้าศึกษาที่สำนักศึกษาแห่งนี้ในครั้งแรกจวบจนถึงวันนี้ นางมักจะทำให้เขาและเหล่าอาจารย์คนอื่นๆ ประหลาดใจอยู่เสมอ