บทย่อ
ฉีอันหนิง ผู้เป็นบุตรีของท่านเจ้าเมืองตงหลาง ความสามารถที่เก่งเกินสตรีทำให้นางไปเตะตาหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำ ซ่งมู่เฉิน บุตรชายคนโตสกุลซ่ง ผู้ซึ่งคอยดูแลปกป้องเมืองตงหลางให้สงบสุขอย่างเงียบๆ จากพี่ชายของสหายสนิทค่อยๆพัฒนากลายมาเป็นคนรักและแต่งงานกัน
ตอนที่ 1 ฉีอันหนิง
ณ เมืองตงหลาง แห่งแคว้นโจวหนาน
เหมันตฤดูเวียนมา เหล่าหมู่มวลวิหคส่งเสียงร้องอยู่บนท้องนภาในยามอิ๋น ร่างเล็กของเด็กหญิงวัยเจ็ดปีขยับไปมาอยู่บนเตียงนอน ผ้าม่านที่ทอด้วยไหมปลิวไสวไปตามสายลมหนาว ผ้าห่มผืนหนาที่ปกคลุมกายอยู่ถูกเท้าเล็กถีบออกจนสาวรับใช้ที่คอยดูแลอยู่ต้องดึงขึ้นมาปกคลุมร่างเล็กของคุณหนูสี่เอาไว้เพื่อมิให้ร่างกายสัมผัสกับอากาศที่หนาวเย็น
“ข้าร้อน” เสียงเล็กเปล่งออกมาจากคนที่นอนปิดเปลือกตาอยู่
“แต่คุณหนูสี่เจ้าคะ… คุณหนูต้องห่มผ้าเอาไว้นะเจ้าคะ ถ้าคุณหนูป่วย… บ่าวโดนตีหลังลายแน่ๆ เลยเจ้าค่ะ”
ซุนซุนบอกคุณหนูสี่ด้วยเหตุและผล เด็กจิตใจดีอย่างฉีอันหนิง หรือคุณหนูสี่ บุตรีคนเล็กของใต้เท้า ฉีอันจวิ้น กับฉีฮูหยินย่อมได้ฟังแล้วต้องเห็นอกเห็นใจ
ใต้เท้าฉีเป็นเจ้าเมืองตงหลางเขาได้แต่งงานกับฉีฮูหยินมาเกือบสิบห้าปีแล้ว ทั้งสองมีบุตรชายทั้งหมดสามคนคือฉีอันหลง ฉีอันลิ่ง ฉีอันลู่และมีฉีอันหนิงที่เป็นบุตรีคนเล็กของตระกูลฉี บุตรีที่บิดาและมารดาหวงราวกับเป็นไข่ในหิน
“ข้าห่มแล้ว ข้าไม่อยากให้ซุนซุนถูกตี”
เสียงเล็กเอ่ยออกมา ถึงจะวัยเพียงเจ็ดปี แต่ทว่าเด็กหญิงกลับเฉลียวฉลาด นางขี่ม้าได้ อ่านหนังสือออก เล่นดนตรีเป็น และโยนลูกดอกลงกาเก่งที่สุดจนเหล่าพี่ชายอดไม่ได้ที่จะชื่นชมและพาน้องสาวติดตามไปเล่นด้วยทุกที สาวรับใช้วัยสิบสองส่งยิ้มให้คุณหนูสี่ ก่อนที่นางจะลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องนอนของฉีอันหนิงไป
“ข้าไม่หนาว…” เสียงเล็กดังออกมาแผ่วเบา ริมฝีปากเล็กฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
เมื่อเสียงก้าวเท้าเงียบลง ผ้าห่มที่คลุมร่างเล็กอยู่ก็ถูกเท้าของนางถีบออก ฉีอันหนิงนางเป็นเด็กหญิงที่เกิดในเหมันตฤดู ความหนาวเหน็บในปีที่นางเกิดนั้นหนาวกว่าปีนี้ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุให้นางไม่กลัวความหนาวเย็น กลับกันนางเกิดชอบอากาศหนาวเสียด้วยซ้ำ
เสียงเคาะฆ้องบอกยามเหม่าดังขึ้น พร้อมกับเสียงของคนที่คอยแจ้งเตือนบอกยามตะโกนดังขึ้นมาเป็นประโยคซ้ำไปซ้ำมา
'ถึงยามเหม่าแล้ว ตะวันแทนที่จันทรา หิมะยังไม่ละลาย ใส่ใจสวมใส่เสื้อผ้าให้มาก'
สาวรับใช้เตรียมอ่างน้ำและผ้าเช็ดหน้าเข้าไปให้คุณหนูสี่ที่นอนอยู่ในห้องเพียงลำพัง ฉีฮูหยินให้นางนอนตามลำพังตั้งแต่คุณหนูสี่อายุได้เพียงห้าปี นัยน์ตากลมเบิกโพลงยามเมื่อได้เห็นร่างเล็กของคุณหนูไร้ผ้าห่มกาย ซุนซุนรีบเข้าไปใช้มือเล็กของตนสัมผัสร่างกายของคุณหนูสี่ก็พบว่าร่างกายของนางเย็นเฉียบ นางตกใจจนรีบปลุกคุณหนูสี่ให้ตื่นนอน
“คุณหนู…. คุณหนูสี่เจ้าคะ”
“อื้อ… พี่ซุนซุน พี่ปลุกข้าทำไม กำลังนอนสบายเลย” เสียงเล็กดังออกมาจากเจ้าของร่างเล็กที่เริ่มบิดกายไปมาเพื่อขับไล่ความเกียจคร้าน
“คุณหนู… ท่านไม่ห่มผ้านอนอีกแล้วนะเจ้าคะ” ซุนซุนเอ่ยออกมาอย่างอ่อนใจ ขอภาวนาอย่าให้คุณหนูสี่เจ็บป่วยก็พอ มิเช่นนั้นนางคงจะโดนฟาดหลังหลายอีกแน่ๆ
“ข้าร้อน… มิเป็นไรหรอกพี่ซุนซุน ข้าแข็งแรง ข้าไม่ป่วยง่ายๆ อย่างแน่นอน”
ร่างเล็กลุกขึ้นจากที่นอนทันทีเมื่อความง่วงที่มีอยู่ก่อนหน้าหมดสิ้น นางล้างหน้าและเดินไปนั่งลงที่หน้ากระจก ซุนซุนละมือจากการเก็บที่นอนให้กับคุณหนูก่อนที่จะเดินไปหวีผมให้กับนาง
“ผมของคุณหนูสี่สวยมากเลยนะเจ้าคะ” ผมสลวยเส้นหนาดกดำลื่นมือยามที่เด็กรับใช้ ใช้หวีสางเส้นผมให้กับคุณหนูของนาง
“รีบหน่อยพี่ซุนซุน เดี๋ยววันนี้ไปไม่ทันพวกพี่ใหญ่ เขาบอกข้าว่าจะไปเรียนกับอาจารย์ที่สำนักศึกษาหลี่ชุน ข้าอยากไปเรียนกับพวกพี่ๆ ด้วย” เสียงใสเจื้อยแจ้วออกมารัวๆ
“แต่คุณหนูเจ้าคะ สำนักศึกษาหลี่ชุนเขาต้องให้ผู้ที่อยากเป็นศิษย์ของที่นั่น สอบเข้าก่อนถึงจะเรียนได้นะเจ้าคะ อีกอย่างคุณหนูต้องไปขออนุญาตนายท่านกับนายหญิงใหญ่ก่อนนะเจ้าคะ” ซุนซุนหวีผมและมัดผมให้คุณหนูสี่จนเสร็จก่อนที่จะเอ่ยออกมา
“ท่านพ่อกับท่านแม่ตามใจข้าที่สุด ข้าอยากไปท่านพ่อท่านแม่ต้องให้ข้าไปอยู่แล้ว”
ฉีอันหนิงเอ่ยออกมาอย่างรู้ใจบิดามารดา นางเป็นบุตรีเพียงคนเดียว เพราะนางมีแต่พี่ชายที่มีอายุห่างกันไม่มาก พี่ชายใหญ่อายุสิบสามปี พี่ชายรองอายุสิบเอ็ดปี พี่ชายสามอายุเก้าปี ส่วนนางอายุเพียงแค่เจ็ดปีเท่านั้น
ซุนซุนพอได้ยินเช่นนั้นก็มิได้กล่าวอันใดออกมาอีก นางรู้ดีว่าคุณหนูของนางนั้นถูกนายท่านกับนายหญิงใหญ่เลี้ยงดูแบบตามใจ แต่ทว่านางกลับมิได้มีนิสัยที่ไม่ดีเลยสักนิด เอาแต่ใจในเรื่องบางเรื่องเท่านั้น
ที่โต๊ะอาหารของเรือนใหญ่ สมาชิกทุกคนในครอบครัวตระกูลฉีนั่งล้อมวงกันอยู่ที่โต๊ะ อาหารหลากหลายเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะเป็นประจำเช่นทุกวัน พี่ชายใหญ่ของฉีอันหนิงนั้นมีนิสัยสุขุม สุภาพ เก็บความรู้สึกเก่งสมกับเป็นพี่ชายคนโต พี่ชายคนรองนั้นมีนิสัยรักสนุก ชอบบทกลอนและดนตรี ส่วนพี่สามนั้นมีนิสัยอยากรู้อยากเห็นและขี้สงสัยเป็นที่สุด
“ท่านพ่อท่านแม่เจ้าคะ” เสียงเรียกขานของบุตรีคนเล็กทำเอาสองสามีภรรยาละสายตาจากอาหารไปมองที่นางพร้อมๆ กัน
“เสียงหวานเช่นนี้มีอันใดจะขอพ่อกับแม่หรือหนิงเอ๋อร์” ใต้เท้าฉีรู้ดี ยามเมื่อบุตรีผู้นี้ของตนอยากได้สิ่งใด นางมักจะใช้น้ำเสียงเช่นนี้อยู่เสมอ
“ลูกอยากไปสำนักศึกษาหลี่ชุนกับพวกพี่ชายค่ะ" สามเด็กชายหันมามองหน้าน้องสาวเป็นตาเดียวกัน
“เจ้าจะไปทำไม ที่นั่นถ้าเจ้าไปต้องเรียนหนังสือ เขียนอักษรนะ” พี่สามหรือฉีอันลู่เอ่ยถามน้องสาวออกมา
“นั่นสิ… เจ้าเขียนอักษรเก่งแล้วจะไปที่นั่นอีกทำไมกัน” พี่รองหรือฉีอันลิ่งเอ่ยออกมาบ้าง เป็นเขาหน่อยไม่ได้ เขาจะอยู่บ้านเล่นพิณ ดีดฉินและแต่งบทกลอนให้สนุกไปเลย
“ข้าเบื่อ… ข้าอยากไปเรียนบ้าง นะเจ้าคะท่านพ่อ… นะเจ้าคะท่านแม่ ให้ลูกไปเถอะนะเจ้าคะ”
ฉีอันหนิงตอบตามความจริง นางเบื่อที่จะต้องเดินเล่นอยู่ในจวน ชมนกชมไม้ หรือเรียนมารยาทของกุลสตรีและเย็บปักถักร้อยกับแม่นมคัง
“ได้ๆๆ แต่เจ้าต้องสอบเข้าให้ผ่านก่อนนะ ถ้าเจ้าผ่าน พ่ออนุญาตให้เจ้าไปเรียนกับพี่ๆ ได้”
ท่านเจ้าเมืองมิได้ขัดใจบุตรีอีกตามเคย ฉีฮูหยินได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มออกมา ส่วนพี่ชายทั้งสามก็เลิกสนใจน้องสาวหันไปสนใจอาหารตรงหน้าแทน การไปเรียนที่สำนักศึกษาหลี่ชุนเป็นเรื่องที่ดี แต่พวกเขาก็อดที่จะเป็นห่วงน้องสาวคนเล็กไม่ได้ จากนี้ไปที่นั่นคงจะสนุกอยู่ไม่น้อย
ยามเฉินรถม้าของจวนสกุลฉีขับเคลื่อนออกจากบริเวณหน้าจวนไปทั้งหมดสองคัน คันแรกมีบุตรชายคนโตกับบุตรชายคนรองของสกุลฉีนั่งไปด้านใน ส่วนอีกคันนั้นมีบุตรชายคนที่สามและบุตรีคนเล็กติดตามมาด้วย สาวรับใช้ที่ติดตามมาดูแลคุณหนูสี่เดินไปพร้อมกับรถม้า เพียงครึ่งชั่วยามรถม้าก็ไปหยุดอยู่ที่หน้าสำนักศึกษาหลี่ชุน นักเรียนมากมายหลั่งไหลกันมา มีทั้งมาสอบและมาพร้อมเข้าเรียน
“ท่านพี่สามเจ้าคะ ท่านพี่สามเรียนที่นี่มีเรื่องใดน่าสนุกบ้างเจ้าคะ” หากจะถามเรื่องราวต่างๆ ให้ถามที่พี่ชายสามเพราะเขามักจะมีคำตอบมาให้นางทุกอย่าง
“สนุกที่ใดกัน น่าเบื่อจะตาย เจ้าอยู่จวนสบายๆ มิชอบ อยากมาเรียนเพื่อเหตุใดกัน เมื่อถึงวัยปักปิ่นแล้วเจ้าก็ต้องออกเรือนไปอยู่ดี”
ฉีอันลู่ตอบด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย เรื่องสนุกสำหรับเขาคงจะเป็นการได้ฟังเรื่องเล่าต่างๆ จากเพื่อนๆ ในสำนักศึกษาแห่งนี้ แต่ถ้าจะตอบน้องสาวไปเช่นนั้น มีหวังนางได้ไปบอกบิดามารดาอย่างแน่นอน
“อยู่แต่ในจวนน่าเบื่อจะตาย มาที่นี่ได้พบเจอเพื่อนมากมาย อีกอย่างผู้ใดบอกว่าข้าจะออกเรือน ข้าจะอยู่กับท่านพ่อท่านแม่” คำตอบของน้องสาวทำเอาพี่สามส่ายหน้าไปมาก่อนที่ทั้งคู่จะพากันลงจากรถม้า
“น้องหญิง เจ้ามากับพี่ พี่จะพาเจ้าไปหาท่านอาจารย์เพื่อขอสอบ” พี่ใหญ่บอกน้องเล็กด้วยน้ำเสียงเอ็นดู
“เจ้าค่ะพี่ใหญ่” เด็กหญิงขานรับก่อนที่จะรีบเดินตามพี่ชายคนโตไป
“อันลิ่ง นั่นน้องสาวของเจ้าใช่หรือไม่”
สหายร่วมห้องของฉีอันลิ่งเอ่ยถามพลางชี้นิ้วไปยังเจ้าของร่างเล็กที่กำลังเยื้องย่างไปกับเด็กชายร่างสูง ซึ่งเขาเองรู้จักเป็นอย่างดี
“ใช่… นางอยากมาเรียนด้วยน่ะ” ฉีอันลิ่งตอบก่อนที่จะเดินนำสหายที่ถามเขาเข้าประตูสำนักศึกษาตามหลังพี่ชายกับน้องสาวคนเล็กไป
ฉีอันหลงพาน้องสาวไปพบกับอาจารย์และนางก็ได้ทำข้อสอบเพื่อเข้าศึกษาในสำนักศึกษาหลี่ชุน ผลการสอบของเด็กหญิงสร้างความประหลาดใจให้กับอาจารย์เป็นอย่างมาก ถ้าเทียบกับวัยเดียวกันแล้วคุณหนูสี่จากจวนสกุลฉีนี้ทำคะแนนได้ดีที่สุด นางจึงได้เข้าศึกษาตามที่ตั้งใจเอาไว้
“ฉีอันหนิง…" เสียงเรียกขานนามผู้สอบผ่านดังขึ้น
“เจ้าค่ะ” เด็กหญิงยกมือก่อนที่จะลุกขึ้นยืน
"วันนี้เจ้ากลับไปก่อนนะ พรุ่งนี้เจ้าค่อยมาเรียน ตอนนี้สำนักศึกษาหลี่ชุนรับเจ้าเป็นศิษย์ของที่นี่แล้วล่ะ”
คำบอกกล่าวของอาจารย์สร้างความดีใจให้แก่เด็กหญิงวัยเจ็ดปี อย่างน้อยความหวังที่นางจะได้ออกจากจวนมาศึกษาที่สำนักศึกษาหลี่ชุนแห่งนี้ก็เป็นจริง
“เจ้าค่ะ…ท่านอาจารย์”
ฉีอันหนิงคำนับลาอาจารย์ก่อนที่จะเดินออกจากสำนักศึกษาหลี่ชุน เพื่อกลับไปบอกข่าวดีกับบิดาและมารดา เรื่องที่นางได้รับการคัดเลือกให้เป็นศิษย์ของสำนักศึกษาหลี่ชุน ซึ่งก็เป็นไปตามคาดเพราะผู้ใดในจวนบ้างจะไม่รู้ว่าคุณหนูสี่นั้นทั้งเก่งและเฉลียวฉลาดเกินวัย หากนี่เป็นสิ่งที่นางอยากทำก็มิมีผู้ใดมาขัดขวางนางได้
เหล่าบรรดาพี่ชายที่กลับมาจากสำนักศึกษาในยามเชินก็ได้รับทราบข่าวดีจากผู้เป็นน้องสาวที่มารอคอยเจื้อยแจ้วให้พี่ชายทั้งสามได้ฟัง พี่ชายใหญ่ยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู ส่วนพี่ชายอีกสองคนค่อนข้างจะรู้สึกเบื่อหน่ายเสียด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าน้องสาวนั้นคิดเช่นไรอยู่ถึงอยากไปเรียนที่สำนักศึกษาเช่นเดียวกันกับพวกเขา เพราะที่นั่นมิได้มีสิ่งใดน่าสนใจเลยสักนิด วันหนึ่งวันก็มีแต่การศึกษาเล่าเรียน
“ท่านพี่ใหญ่ ไปจวนสกุลอิ่นกันไหมเจ้าคะ พี่หญิงจูหรงส่งบ่าวมาเชิญน้องไปแข่งปาศรที่จวนของนาง” หลังจากเก็บกระเป๋าเรียบร้อยน้องสาวตัวน้อยก็เอ่ยชวนพี่ชายใหญ่ไปเล่นกับนางทันที
“จวนสกุลอิ่น จวนข้างๆ เรานี่น่ะเหรอ” เด็กหญิงพยักหน้าหงึกพร้อมกับฉีกยิ้มออกมา
“ไปเถอะนะเจ้าคะ น้องอยากให้ท่านพี่ชายใหญ่ไปด้วย” น้องสาวออดอ้อนจนหัวใจของพี่ชายอ่อนระทวย
“ไม่เห็นเจ้าจะชวนพวกพี่ไปด้วยเลย ชวนแต่พี่ชายใหญ่” พี่ชายรองทักขึ้นขณะที่กำลังจะเดินผ่านห้องของพี่ชายใหญ่
“ไปกันทั้งหมดนี่แหละเจ้าค่ะ”
นางตอบออกมาพร้อมรอยยิ้ม สี่พี่น้องจึงพากันไปเยือนจวนสกุลอิ่น
การโยนศรให้ลงเป้านั้นเป็นการละเล่นที่มีอยู่ทั่วทั้งแคว้นโจวหนาน และเป็นการละเล่นที่ผู้คนชื่นชอบ เด็กหญิงกลับมาที่จวนพร้อมกับชัยชนะจนพี่ๆ เอ่ยปากชมนางไม่ขาด รวมไปถึงผู้ใหญ่จากจวนสกุลอิ่นด้วย ที่ต่างพากันชื่นชมเด็กหญิงที่เป็นเด็กเฉลียวฉลาดและมีความสามารถเกินวัย นางจึงได้รับปิ่นหยกขาวที่ใต้เท้าอิ่นให้เป็นรางวัลกลับมาอีกด้วย