ตอนที่ 7 บุตรชายคนโตสกุลซ่ง
สำนักวารีพยัคฆ์ เมืองตงฉวน แคว้นโจวหนาน
เด็กชายวัยย่างเข้าสู่วัยหนุ่มหลายคนกำลังฝึกฝนเพลงดาบกันอยู่อย่างตั้งใจ สถานที่แห่งนี้ขึ้นชื่อในการฝึกผู้นำและเหล่าทหารหน่วยพิเศษที่จะถูกส่งตัวไปทำหน้าที่อยู่ตามเมืองต่างๆ ทั่วแคว้นโจวหนาน ฮ่องเต้แห่งแคว้นโจวหนานนั้นตระหนักถึงความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของชาวเมืองต่างๆ ทั่วทั้งแคว้น จึงมีคำสั่งให้จัดตั้งหน่วยพิเศษที่ีหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือเหล่าขุนนางและชาวเมืองหากพบเจอกับเรื่องราวที่มิสามารถแก้ไขได้ พวกเขาจะปรากฏตัวหากมีคดีพิเศษต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าวได้ทันท่วงที
“ฝีมือของเจ้าพัฒนาไปมากเชียวคุณชายซ่ง” อาจารย์หนุ่มเอ่ยชมเชยเด็กหนุ่มจากเมืองตงหลาง สกุลซ่งเป็นขุนนางมาหลายชั่วคน
“ขอบคุณขอรับท่านอาจารย์ แต่ศิษย์ว่า ศิษย์ยังต้องเรียนรู้จากท่านอาจารย์อีกมาก”
ซ่งมู่เฉินเด็กหนุ่มวัยสิบสี่ปีที่มีใบหน้าหล่อเหลา คิ้วโค้งคมประดุจดังกระบี่ จมูกโด่งสันเป็นคม ริมฝีปากอิ่มได้รูปฉีกยิ้มเห็นฟันซี่ขาวออกมา เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีรอยยิ้มสะดุดตา อาจจะเป็นเพราะยามเขาฉีกยิ้มยามใด รอยบุ๋มที่แก้มก็ปรากฏให้เห็นได้อย่างชัดเจน
“เจ้าอย่าถ่อมตนไปเลย ตระกูลของเจ้าถึงจะมิได้ออกไปสู้รบแต่ก็มีความสำคัญต่อราชวงศ์มาช้านานหลายชั่วอายุคนแล้ว และแน่นอนว่าเจ้าจักต้องเก่งกาจมิแพ้บรรพบุรษของเจ้าอย่างแน่นอนมู่เฉิน”
อาจารย์เฟยเอ่ยชมพร้อมถึงกล่าวถึงตระกูลของศิษย์หนุ่มที่ใครๆ ในเมืองตงฉวนต่างก็รู้จักดี ซ่งมู่เฉินคร้านจะเอ่ยออกมาจึงได้แต่ส่งยิ้มให้กับท่านอาจารย์ก่อนที่เขาจะฝึกซ้อมต่อไป เพราะอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะมีการทดสอบเขาจึงต้องพยายามฝึกฝนให้มากขึ้นเพื่อมิให้เกิดความผิดพลาด
ความมุ่งมั่นและความพยายามของเด็กหนุ่มนั้นทำให้เขาผ่านการทดสอบอย่างง่ายดาย มิมีผู้ใดในรุ่นที่สามารถเอาชนะเขาได้ เขาคือผู้ที่ฮ่องเต้แคว้นโจวหนานทรงทำการคัดเลือกเองมากับมือ เพราะนอกจากบุคลิกของเด็กหนุ่มผู้นี้จะสุขุมนุ่มลึกแล้ว เขายังมีความฉลาดในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ทายาทคนโตสกุลมู่ ซ่งมู่เฉินผู้นี้นั้นมิได้เก่งเพียงแค่บู๊เท่านั้น เขายังมีความเก่งกาจในเรื่องบุ๊นอีกด้วย ซึ่งหากยากนักในราชสำนักในยุคสมัยนี้
“อันดับที่หนึ่งแห่งการทดสอบความพร้อมในคราวนี้คือซ่งมู่เฉิน” อาจารย์ที่เป็นผู้คุมการทดสอบในครั้งนี้ประกาศผลออกมาด้วยน้ำเสียงยินดี
“ยอดเยี่ยมไปเลย” บรรดาสหายที่เป็นมิตรกับเขาเอ่ยชมเชยออกมาจากใจจริง
“ขอบใจพวกเจ้ามาก แต่ข้าว่าพวกเจ้าก็ยอดเยี่ยมมิแพ้กัน”
ซ่งมู่เฉินบอกสหายเหล่านี้ด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกมาถึงความจริงใจ กลุ่มเด็กหนุ่มที่อิจฉาในฝีมือของเขาก็มีอยู่ไม่น้อย แต่ก็ทำได้แค่เพียงอิจฉาเขาก็เท่านั้น เพราะมิว่าผู้ใดในวัยรุ่นก็มิสามารถเอาชนะเขาได้สักคน เด็กหนุ่มส่วนมากจึงเลือกที่จะมองข้ามมากกว่าการจะหาเรื่องอีกฝ่าย
“อีกสองข้างปีหน้าอาจารย์จะส่งพวกเจ้าไปประจำการอยู่แต่ละหน่วยที่มีฐานที่ตั้งอยู่ตามเมืองต่างๆ พวกเจ้าทุกคนคงจะรู้ถึงความหมายของการเป็นหน่วยพิเศษนั้น มีหน้าที่ต้องทำ และห้ามเปิดเผยตัวตนว่าพวกเจ้านั้นทำงานอยู่หน่วยใด”
“ขอรับ” เหล่าลูกศิษย์ตอบออกมาพร้อมกัน
“ถ้าเช่นนั้นวันนี้แยกย้ายกันไปพักผ่อนก่อนเถิด พรุ่งนี้พวกเจ้าค่อยฝึกซ้อมกันใหม่” เมื่อได้ยินเช่นนั้นเหล่าลูกศิษย์จึงยกมือขึ้นมาคำนับลาอาจารย์ ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนในที่ของตน
“มู่เฉิน นี่เจ้าจะกลับเมืองตงหลางหรือไม่”
เพราะผู้ที่สอบได้ลำดับที่หนึ่งถึงที่ยี่สิบจะได้สิทธิ์ในการกลับบ้าน ซ่งมู่เฉินได้ลำดับที่หนึ่ง จึงเป็นที่แน่นอนแล้วว่าเขาได้รับสิทธิ์นั้น
“นั่นสิขอรับคุณชาย ท่านจะกลับไปยังเมืองตงหลางหรือไม่” ลูกน้องคนสนิทที่ติดตามเขามาจากเมืองตงหลางเอ่ยถามออกมาบ้าง
“กลับสิ… ข้าคิดถึงน้องสาว และอยากกลับไปเยี่ยมท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าด้วย” อนาคตหัวหน้าหน่วยพิเศษเอ่ยออกมา
“น้องสาว… เจ้ามีน้องสาวด้วยเหรอ” สหายคนหนึ่งเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“มีสิขอรับ คุณชายของข้าน้อยมีน้องสาวอายุห่างกันหลายปี แต่นางหน้าตามิต่างจากคุณชายเลยขอรับ” จูจงฉีรีบตอบแทนคุณชายของตน
“เช่นนั้นข้าขอจองนางไว้ก่อนได้หรือไม่”
เด็กหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลามิแพ้กับคุณชายสกุลซ่งเอ่ยออกมาทันทีแบบมิต้องคิด เพราะถ้าผู้ใดได้เกี่ยวดองกับตระกูลซ่งนั้นนับว่าจะกลายเป็นที่นับหน้าถือตาของแคว้นโจวหนานเลยก็ว่าได้
“คงมิได้… เห็นท่านพ่อกับท่านแม่บอกว่าจะให้นางออกเรือนไปกับบุรุษที่อาศัยอยู่ที่เมืองตงหลาง บุรุษต่างเมืองเช่นเจ้าคงไม่มีหวัง”
เขาตัดสัมพันธ์กับเพื่อนตรงหน้าโดยไม่ต้องคิดมาก เพราะอีกฝ่ายนั้นมีเสน่ห์แพรวพราว หากน้องสาวของตนออกเรือนไปกับเพื่อนผู้นี้มีหวังจะได้พบกับความทุกข์มากกว่าความสุขเป็นแน่
“ฮ่าๆๆๆ ข้าก็พูดเล่นไปเช่นนั้นแหละ สตรีเมืองต้าหนานหลายสกุลที่ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าเตรียมไว้ให้เลือก เหตุใดข้าจักต้องไปเป็นเขยต่างเมืองด้วยล่ะ”
เพราะไม่อยากให้เสียหน้า เด็กหนุ่มจึงเอ่ยเช่นนี้ออกมา ซ่งมู่เฉินยิ้มเย็นก่อนที่เขาและจูจงฉี ลูกน้องที่ซื่อสัตย์จะพากันเดินออกจากบริเวณนั้นเพื่อกลับไปเตรียมตัวที่ห้องของตน สำหรับการเดินทางกลับเมืองตงหลางในวันรุ่งขึ้น
วันต่อมาซ่งมู่เฉินและเพื่อนร่วมหน่วยที่สอบผ่านลำดับหนึ่งถึงยี่สิบได้เดินทางกลับไปยังเมืองของตนเพื่อเยี่ยมเยือนครอบครัว ก่อนที่จะต้องเดินทางกลับมาฝึกฝนต่อ จูจงฉีนั้นเป็นบ่าวรับใช้ของคุณชายซ่งมานานตั้งแต่เขาจำความได้ จูงจงฉีจึงถูกส่งมาคอยดูแลซ่งมู่เฉินและมีโอกาสได้เข้าร่วมการฝึกในครั้งนี้ เขาผ่านการทดสอบเป็นลำดับที่สิบห้า
“คุณชายขอรับ นายท่านกับฮูหยินให้ข้าน้อยมารอรับคุณชายขอรับ” บ่าวรับใช้ที่เดินออกมาจากรถม้าของจวนสกุลซ่งรับคำนับคุณชายใหญ่และเอ่ยขึ้นมาทันที
“ท่านพ่อท่านแม่รู้ได้เช่นไรว่าข้าจะได้กลับไปวันนี้” ซ่งมู่เฉินรู้สึกงุนงงอยู่ไม่น้อย ว่าเพราะเหตุใดบิดาและมารดาของตนถึงได้ทราบว่าเขาจะได้กลับเมืองตงหลางในวันนี้
“คุณชายขอรับ… ท่านลืมไปแล้วหรือขอรับว่าท่านอาจารย์หยุ่นซีเป็นสหายสนิทกับท่านพ่อของท่าน”
จูจงฉีไขข้อข้องใจของคุณชายใหญ่ออกมา ซ่งมู่เฉินได้ยินเช่นนั้นจึงเดินไปขึ้นรถม้าแต่โดยดี จูจงฉีเดินตามคุณชายไปก่อนที่รถม้าของจวนสกุลฉีจะมุ่งหน้ากลับเมืองตงหลาง เมืองซึ่งอยู่ห่างจากเมืองตงฉวนอยู่หลายร้อยลี้
จวนสกุลซ่ง
วันนี้ฉีอันหนิงได้มาเยือนจวนสกุลซ่งเพราะคำเชิญของซ่งเจียวซิน คุณหนูรองของที่นี่ ใต้เท้าซ่งและฮูหยินซ่งต่างพากันต้อนรับบุตรีคนเดียวของท่านเจ้าเมืองด้วยความยินดี สองสามีภรรยารู้สึกเอ็นดูในความช่างเจรจาของเด็กหญิงอยู่ไม่น้อย เพราะนางดูมีทั้งไหวพริบและสติปัญญา อีกทั้งยามเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่นางก็ดูสำรวมมิเหมือนกับเด็กหญิงสกุลอื่นที่แยกแยะมิได้ว่ายามไหนควรกระทำแบบไหน
“คุณหนูฉี น้าได้ข่าวว่าเจ้าขี่ม้าเก่งจริงหรือไม่" ซ่งฮูหยินเอ่ยถามออกมาด้วยความตื่นเต้น แม้แต่บุตรีของนางยิ่งขี่ม้ามิได้
“จริงเจ้าค่ะท่านน้า หลานเรียนไปพร้อมๆ กับเหล่าพี่ชายของหลานเองเจ้าค่ะ” ฉีอันหนิงวางขนมกุ้ยฮวาลงก่อนที่จะตอบมารดาของสหายคนสนิท
“ท่านเจ้าเมืองเลี้ยงลูกได้ดียิ่งนัก นี่เจ้าอย่าบอกข้านะว่าเจ้ายิงธนูเป็นด้วย” ใต้เท้าซ่งชมท่านเจ้าเมืองออกมาอย่างมิปิดบัง ก่อนที่จะเอ่ยถามเด็กหญิงกลับไปด้วยความสนใจ
“เจ้าค่ะ”
ฉีอันหนิงยิ้มก่อนที่จะตอบออกมา สองสามีภรรยาหันมามองหน้ากันแล้วยิ้มจางๆ ออกมา ในเมืองตงหลางนี้คงมิมีผู้ใดเหมาะที่จะเป็นสะใภ้ตระกูลซ่งเท่ากับนางอีกแล้ว
“ช่างน่าสนใจยิ่งนัก”
ใต้เท้าซ่งเอ่ยออกมาก่อนที่จะยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ เขายอมรับว่าใต้เท้าฉีนั้นเลี้ยงดูลูกๆ ได้ดี และมีหลากหลายตระกูลไม่น้อยในเมืองตงหลางที่อยากจะเกี่ยวดองกับสกุลฉี
“ท่านพ่อท่านแม่เจ้าคะ ลูกขอพาอันหนิงไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ในจวนนะเจ้าคะ”
ซ่งเจียวซินเอ่ยออกมาเมื่อเห็นว่านั่งพูดคุยกับบิดาและมารดาของตนมาสักพักแล้ว อีกอย่างนางเองก็คิดว่าฉีอันหนิงก็คงจะมิอยากนั่งนิ่งอยู่เช่นนี้แล้วเป็นแน่
“อ้อ… ได้สิ ไปกันเถอะลูก หนิงเอ๋อร์ เดี๋ยวเจ้าอยู่รับประทานมื้อกลางวันที่บ้านของน้าก่อนหนา แล้วค่อยกลับจวน” ใต้เท้าซ่งตอบบุตรสาวก่อนที่จะหันไปบอกกับเด็กหญิง
“เจ้าค่ะ...ท่านน้า”
เด็กหญิงทั้งสองคำนับลาผู้ใหญ่ก่อนที่จะพากันเดินออกจากบริเวณเรือนรับรองไปยังสวนดอกไม้ในจวนโดยมีซุนซุนและซูฉี สาวรับใช้ของคุณหนูทั้งสองเดินตามนางทั้งสองไปไม่ห่าง
สวนดอกไม้จวนสกุลซ่งมีดอกไม้หลากสายพันธุ์ที่กำลังเบ่งบานสะพรั่ง ร่างเล็กของเด็กหญิงทั้งสองจับมือกันเดินเคียงข้างกันเข้าไปในสวนที่มีดอกไม้ส่งกลิ่นหอมอบอวลมาจากทั้งสองข้างทาง ซ่งเจียวซินพาฉีอันหนิงหยุดนิ่งก่อนที่นางจะเด็ดดอกไม้ดอกหนึ่งมาส่งให้กับเพื่อนสนิทได้ดม
“หอมจัง…” เสียงเล็กดังออกมาจากริมฝีปากสีชมพู
“ใช่… นี่เป็นดอกไม้ที่ท่านพี่ของเราชอบมากเลยนะ” ซ่งเจียวซินบอกกับเพื่อนสนิทด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มเมื่อเอ่ยถึงพี่ชายของตน
“ท่านพี่ของเจ้าจะกลับมาเยี่ยมท่านน้าอีกเมื่อใดกัน” ฉีอันหนิงเอ่ยถามออกมาด้วยความสนใจ เพราะนางยังมิเคยได้มีโอกาสพบหน้าพี่ชายของเพื่อนสนิทเลยสักครั้ง
“ข้าก็มิอาจรู้ได้ แต่เห็นท่านพ่อบอกว่าเมื่อวันก่อนท่านพี่ส่งสารมาบอกว่าจะกลับมาเร็วๆ นี้เพราะท่านพี่ของข้าผ่านการทดสอบได้ลำดับที่หนึ่ง” ซ่งเจียวซินเอ่ยออกมาด้วยความตื่นเต้นยามเมื่อนึกถึงใบหน้าของผู้เป็นพี่ชายที่ไม่ได้พบเจอกันมานานเกือบสองปี
“ท่านพี่ของเจ้าช่างเก่งกาจยิ่งนัก” ฉีอันหนิงเอ่ยชมพี่ชายของเพื่อนออกมาจากใจ
“ท่านพี่ของเจ้าก็เก่งอันหนิง” คุณหนูรองสกุลซ่งเอ่ยชมพี่ชายอีกฝ่ายกลับเช่นเดียวกัน
“อีกสองปีท่านพี่ใหญ่ของข้าก็จะไปสอบเค่อจวี่แล้ว ข้าก็หวังให้เขาสอบผ่านได้เป็นขุนนางเช่นเดียวกับท่านพ่อของข้า”
ซ่งเจียวซินพยักหน้า นางเชื่อว่าพี่ชายใหญ่ของฉีอันหนิงนั้นจะต้องสอบผ่านและได้เป็นขุนนางตั้งแต่อายุยังน้อยอย่างแน่นอน ก็อยู่ที่สำนักศึกษาเขามีผลการเรียนโดดเด่นไม่แพ้ผู้ใด เรียกว่าได้ลำดับที่หนึ่งในหมู่ศิษย์ที่เป็นชายเลยก็ว่าได้
เด็กหญิงทั้งสองส่งยิ้มให้กันก่อนที่จะพากันเดินต่อไปจนหยุดอยู่ที่ศาลาริมน้ำ สระบัวของจวนสกุลซ่งทำให้ฉีอันหนิงรู้สึกผ่อนคลาย ดอกบัวสีชมพูมีทั้งดอกตูมและดอกบาน ภู่ภมรก็บินตอมราวกับกำลังหาน้ำหวานจากบัวเหล่านั้น ซูฉีรินน้ำชาให้กับคุณหนูทั้งสอง ก่อนที่สาวรับใช้ในจวนจะนำของว่างมาให้กับคุณหนูรองและสหายของนางได้รับประทานระหว่างที่นั่งพูดคุยกันอยู่ที่ศาลาริมน้ำ