บทที่ 5
“จะชดใช้อะไรยังไงเท่าไหร่? ไหนแกถามเค้าไปสิ”
เดือนใจสะกิดลูกสาว ที่มีทีท่า ลังเล อึกอักเล็กน้อย ที่จะส่งภาษาให้อีกฝ่าย ซึ่งกำลังจ้องมองพวกเธออยู่อย่างสนใจ ตามที่มารดาบอกให้ถาม ตอนนี้พวกเขาเผชิญหน้ากันในห้องรับรองแขก ของครอบครัวฟอสเตอร์ หลังจากร่วมพิธีศพของมอร์แกน และประดับเพชร ซึ่งมารดาเธอยืนยันว่าจะไม่ขอรับศพกลับเมืองไทย ขอให้ทำพิธีตามแบบของทางนี้ไปเลย นางบอกว่าเปลืองเปล่าๆ ประดับพลอยต้องคิดคำพูดเพื่อจะให้ทางนั้นไม่ตกใจกับความคิดอ่านของทางเดือนใจ
แล้วนี่จะให้มาถามเรื่องค่าเสียหายอีก หลังจากที่ทางฝ่ายชายจัดงานให้กับพี่สาวของเธออย่างสมเกียรติ ทำตามอย่างแบบของคนไทยเสียด้วย กับวัดของที่นี่ มีพระสวดอภิธรรมให้อย่างเรียบร้อย เพียงแค่เป็นงานสวดคืนเดียว ไม่ใช่สามหรือเจ็ดวันอย่างที่คนไทยนิยมทำกันก็เท่านั้น
จะถามไปตรงๆ แบบนั้นได้อย่างไรกันเล่า?
ฝ่ายชายก็ดูบอบช้ำไม่ใช่น้อย ที่สูญเสียลูกชายหัวแก้วหัวแหวน มารดาของมอร์แกนยังคงตาบวม นัยน์ตาแดงช้ำ นั่งเหม่อสักพักก็มีน้ำตาคลอออกมา จนต้องขยันซับบ่อยๆ นางใช้หมวกใบเล็กที่มีตาข่ายสีดำคลุมหน้าซีกหนึ่ง ปิดบังความโศกเศร้าไว้ แต่ก็ยังมองลอดไปเห็นได้ชัด ถึงความรันทดแห่งการสูญเสีย ผู้เป็นบิดานั้น ก็ไม่ต่างจากภรรยานัก แต่เขาแข็งแกร่งกว่า ตรงไม่ยอมร้องไห้ออกมาให้คนได้เห็นก็เท่านั้นเอง
แต่น้ำตาคงตกใน หัวใจคงแหลกสลายไม่แพ้ภรรยา
เธอเองเห็นประดับเพชร ก็น้ำตาหลั่งริน ตอนที่เห็นร่างของพี่สาวเป็นครั้งสุดท้ายใจของเธอก็วูบโหวง เศร้าสร้อย แม้ว่าตอนยังเป็น พี่สาวเธอจะกดขี่ โขกสับ และทำกับเธอเหมือนบางทีไม่ใช่น้องสาว แต่ส่วนดีของประดับเพชรก็มีให้ระลึกถึงบ้าง เยื่อใยแห่งสายเลือด มันทำให้ประดับพลอยรู้สึกเศร้าหมอง เหมือนขาดส่วนสำคัญบางส่วนไปในชีวิต
แต่ทำไมมารดาของเธอ ท่านถึงคิดถามแต่ผลประโยชน์แบบนี้กันหนอ
“ถามเร็วๆ สิ”
นางสะกิดอีกหน เมื่อเห็นว่าบุตรสาวไม่ยอมเอ่ยบอกเสียที ประดับพลอยมองมิสซิสลอร่าอย่างชั่งใจ ก่อนจะขยับเอ่ยคำถามตามท่านสั่งบอก พยายามคิดประโยคที่จะให้อีกฝ่ายหนึ่งไม่รู้สึกแย่มาก แต่...จะรอดไหมนะ
“เอ่อ...คือ”
“จริงๆ แล้วเราต้องเรียกร้องค่าเสียหายจากทางคุณ”
เสียงขรึมๆ เอ่ยขึ้น เล่นเอาประดับพลอยถึงกับกะพริบตาปริบๆ ส่วนเดือนใจที่ฟังไม่ออก ได้แต่มองคนโน้นที คนนี้ทีอย่างอยากรู้
“อะไรนะคะ? ค่าเสียหาย? ค่าเสียหายอะไร”
“การจากไปของมอร์แกนไม่ใช่อุบัติเหตุปรกติ”
นัยน์ตาคมกริบของผู้สูงวัยกว่า มองมายังเธอและเดือนใจอย่างไม่เป็นมิตร ประดับพลอยกลืนน้ำลาย มิสเตอร์นอร์ตันเอ่ยต่อเสียงเย็นเมื่อเห็นท่าทีของเธอที่ชะงักไป
“เราดูจากกล้องที่ติดรถยนต์ พี่สาวของเธอทะเลาะกับลูกชายฉัน พยายามแย่งพวงมาลัยจากการควบคุมของมอร์แกน ทำให้รถเสียหลัก...พี่สาวของเธอ ทำให้ลูกชายของฉันตาย ทำให้ทายาทของฉันสิ้น ฉันควรจะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากพวกเธอ แต่...”
เขาปรายตาหมิ่น สายตาแบบนั้น ทำให้คนที่ฟังไม่ออกอย่างเดือนใจ ยังรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ และรู้สึกเหมือนกำลังถูกถ่มน้ำลายรดหน้าก็ไม่ปาน เพราะมันเหมือนกับพวกเธอเป็นตัวอะไรที่ช่างน่าขยะแขยงนัก
“พวกเธอคงจะไม่มีปัญญาชดใช้อะไรหรอก เดี๋ยวฉันจะให้เลขานุการของฉัน เอาตั๋วเครื่องบินขากลับให้กับเธอและแม่ รวมถึงเงินติดตัวอีกสักนิด มอร์แกนจะไม่ได้เห็นว่าฉันใจไม้ไส้ระกำกับคนที่มันรักนักรักหนา รักจนตัวเองต้องมาตาย หึ!”
เขาผุดลุกขึ้น พลางฉุดมือภรรยาให้ลุกตามออกไปด้วย เดือนใจมองตามหลังคนทั้งสอง แล้วหันมาถามประดับพลอย ที่ยังคงมีสีหน้าซีดเซียว
“ว่ายังไงนังพลอย เค้าจะให้อะไรเรายังไงเท่าไหร่ ดูหน้าดูตามันสิ ทำไมมองพวกเรายังงั้นกันนะ ยังกับจะกินเลือดกินเนื้อ ฉันไม่ชอบสายตาของมันเลย มองเรายังกับไส้เดือนกิ้งกือ ทั้งที่ลูกมัน ทำยัยเพชรตายแท้ๆ”
“พี่เพชรต่างหากล่ะคะ ที่ทำให้คุณมอร์แกนและตัวเองตาย” เสียงเครือของประดับพลอย ทำให้นางขมวดคิ้วมุ่น
“อะไรนะ”
“หนูบอกแม่ว่า พี่เพชรต่างหากที่เป็นคนทำให้เกิดอุบัติเหตุนี้ขึ้นมา เอ่อ เมื่อครู่คุณนอร์ตันบอกว่าเขาดูจากหลักฐานกล้องติดรถยนต์ พี่เพชรกับคุณมอร์แกนทะเลาะกัน แล้วพี่เพชรกระโดดเข้าแย่งพวงมาลัย ทำให้รถเกิดอุบัติเหตุ แม่คะ เราอย่าไปเรียกร้องอะไรจากพวกเค้าอีกเลยค่ะ เรานั่นแหละจะซวยเอา”
“...”
นางถึงกับพูดไม่ออก เมื่อได้ยินดังนั้น แต่เดือนใจก็คือเดือนใจ สะอึกนิ่งไปครู่เดียว นางก็บ่นด่าครอบครัวของทางฝ่ายชายต่อ ส่วนประดับพลอยได้แต่นั่งซึม พยายามไม่ฟังสิ่งที่ท่านพูด เพราะยิ่งฟัง ยิ่งรู้สึกแย่
รอสักพัก เลขานุการของทางครอบครัวฟอสเตอร์ก็เดินเข้ามาพร้อมกับซองสีน้ำตาล ยื่นส่งให้กับหญิงสาว ประดับพลอยยกมือไหว้รับ ส่วนมารดานั้น ท่านทำหน้าเชิดใส่ ทางนั้นเชิญให้เธอออกมาจากบ้านฟอสเตอร์ ไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ รถพาสองแม่ลูกไปยังย่านถนนดาว์นทาว์นของนิวยอร์คที่การจราจรค่อนข้างจะแน่นหนา
“หนวกหู อึดอัดจะตายแถวนี้ ทำไมไม่ให้เราพักที่แถบๆ นั้นกันนะ”
เดือนใจบ่น เมื่อนางขึ้นมายังห้องพักของโรงแรมได้ ทางนั้นให้พวกเธอพักในโรงแรมเกรดระดับแค่สามดาว แน่นอนว่ามันไม่ได้หรูหราอะไร และแน่นอนว่าเดือนใจต้องไม่พอใจ
“แถบนั้นเค้าเรียกอัพทาว์นค่ะแม่ เลยเงียบหน่อย หาโรงแรมยากมาก เค้าเลยให้เรามาพักที่นี่” ประดับพลอยแก้ตัวให้กับทางครอบครัวฟอสเตอร์ จริงๆ แล้วทางนั้นไม่ต้องเสียเงินอะไรกับเธอและมารดาเพิ่มเติมอีกแล้วก็ได้
“เหอะ!” นางทำหน้าเบ้ แล้วทรุดนั่งลงบนเตียงมองกวาดไปรอบๆ ห้อง หน้าตายิ่งบูดบึ้งมากขึ้น นางยังไม่หยุดบ่น
“ห้องหับก็นิดเดียว คนรวยอะไรขี้งกนัก มันกล้าให้เช็คเรามาได้ยังไง แค่สองหมื่นเหรียญ โอ๊ย...” นางลากเสียงจนแสบแก้วหู
“บวกลบคูณหารดูสิ มันถึงไหมล้านหนึ่งนี่ ไหนค่าเงินตอนนี้มันเท่าไหร่?” ประดับพลอยก้มหน้ากับโทรศัพท์ในมือ สักพักก็ตอบมารดาเสียงอ่อย
“สามสิบหกบาทค่ะแม่”
“โอ๊ย!” นางรีบกดเครื่องเมนูเครื่องคิดเลขในโทรศัพท์ หน้าตามุ่ยมากกว่าเดิม เมื่อเห็นผลลัพธ์ที่ออกมา
“ไม่ถึงล้าน นี่ค่าชีวิตพี่แกไม่ถึงล้าน โอ๊ย...ทุเรศจริงๆ”
“แม่จะเอาแค่นี้ หรือว่าจะให้เค้ามาเรียกค่าเสียหายจากเราละคะ”
เจอไม้นี้ไป เดือนใจก็ชะงัก และค้อนบุตรสาวคนเล็ก ที่มองนางอยู่ด้วยสายตาชนิดหนึ่ง ที่ทำให้นางละอายขึ้นมาบ้าง
แค่บ้าง...แต่เดือนใจก็คือเดือนใจ
“อย่ามาพูดมาก พูดเข้าข้างพวกมันเลยนังพลอย แกทำแหยไม่เข้าท่า พอมันขู่มาแค่นั้น แกก็ยอมรับไอ้เศษเงินของพวกมันไปแล้วล่ะ นี่ถ้าเกิดว่าฉันฮึดขึ้นมา ฟ้องพวกมันกลับบ้างนะ จะเอาให้หมดตัวเลย”
“คนจะหมดตัว คงจะเป็นเรานะคะแม่” หญิงสาวรำพึงเบาๆ เดือนใจไม่ทันได้ฟัง นางเดินเข้าไปในห้องน้ำเสียก่อน
หญิงสาวมองตามแล้วได้แต่ลอบหายใจ แล้วแบบนี้ ครอบครัวของเธอจะเป็นอย่างไรต่อไปนะ ยอมรับว่า ประดับเพชรเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการหาเงินทองมาให้มารดาได้ใช้ ส่วนเธอเป็นเพียงพนักงานเล็กๆ ในบริษัท เงินเดือนไม่ถึงหมื่น ตามวุฒิของตนเองที่มารดาให้เรียนแค่มอหกเท่านั้น
เดือนใจใช้เงินเหมือนเบี้ยแบบนั้น
แล้วต่อไปนี้เธอจะทำอย่างไรดีหนอ
หญิงสาวล้มตัวลงนอน พลางยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก เธอไม่อยากจะคิดถึงชะตาชีวิตของตนเอง เมื่อกลับไปยังเมืองไทยเลย
เมื่อหมดเงินที่ทางครอบครัวฟอสเตอร์ให้ ซึ่งคงจะไม่กี่เดือนหรอก
เธอจะทำเช่นไรกันนะ