บทย่อ
คริสเตียน ทายาทนอกคอกของเมดิสัน ฟาร์ม จำต้องกลับมากอบกู้ที่นี่อีกครั้ง เมื่อพี่ชายของเขา ชาลีน แสงตะวันแห่งเมดิสัน เกือบจะดับชีวิตลงเพราะผู้หญิงแพศยาคนนั้น เขาจะต้องทวงแค้น ลากตัวเจ้าหล่อนมาชำระความ ชดใช้ในทุกสิ่งที่ทำกับครอบครัวเขา แต่ทว่า...เขากลับได้ตัวประดับพลอย สาวตัวเล็ก ผอมแทบจะปลิวลม มาเป็นทาสแทนพี่สาวที่ตายไปแล้วแทน หญิงสาวหัวใจทองที่ก้มหน้าก้มตาทำทุกอย่างเพื่อชดใช้ เป็นนางทาสตามที่เขาบงการ เธอเอาชนะใจคนทั้งฟาร์มเมดิสันที่ตอนแรกรังเกียจเธอ และกำลังจะเอาชนะหัวใจที่เร้นสิ่งที่อ่อนไหวที่สุดไว้ในมุมลึกของหัวใจ “พี่เพชรทำเรื่องไว้เหลือเกิน ฉันคงยังชดใช้ให้ไม่พอ ฉันเข้าใจค่ะ แล้วก็ยินดีจะทำงานที่นี่ต่อไป โดยไม่รับค่าจ้างอะไร” เธอยิ้มแหยๆ ส่งให้เขา พร้อมกับทำท่าจะล้วงกระเป๋ากระโปรง เอาซองที่เธอใส่ไว้ในนั้นออกมา แต่คริสเตียนรวบมือเธอไว้เสียก่อน เขาเอ่ยเสียงทุ้ม “ไม่ต้องเอามาคืนหรอก พลอย ส่วนเรื่องค่าจ้างเงินเดือนที่เธอทำงานให้ที่นี่ ฉันกำลังคิดอยู่ว่า ควรจะให้เธอบ้าง ฉันไม่ได้เห็นเธอเป็นทาสอีกต่อไปแล้ว” “คุณคริสเตียน” เธออุทาน แล้วยิ้มกว้างส่งให้เขา รอยยิ้มนั้นกว้างขวาง เลยไปทั้งปากและตา ทำให้ชายหนุ่มถึงกับตาพร่า เขาลืมตัวเพราะรอยยิ้มสดใส เจิดจ้านั้น ชายหนุ่มค่อยดึงเธอเข้ามาสู่อ้อมกอดโดยละม่อม ประดับพลอยทำตาโต ตกใจกับกิริยาปุ๊บปั๊บของเขา กว่าเธอจะรู้ตัว ริมฝีปากอบอุ่นคู่นั้น ก็เคลื่อนลงมาทับทาบปากอิ่มจิ้มลิ้มของเธอ หัวใจของเธอกระตุกกับสัมผัสแผ่วราวผีเสื้อโบยนั่น ก่อนที่จะเขาจะเพิ่มน้ำหนักกดลงมา บดเคล้าหนักหน่วงยิ่งขึ้น เขากอดเธอแน่นขึ้น ร่างผอมบางนั่นแทบจะจมลงไปในมัดกล้ามของเขา คริสเตียนบรรจงสอนเธอค่อยประโลมไล้อย่างใจเย็น ก่อนที่เธอจะเผลอเผยอริมฝีปากให้เขาลิ้มชิมรสน้ำผึ้งภายใน จูบนั้นราวกับระเบิดที่สั่นสะเทือนหัวใจของคริสเตียน เขาจูบเธอซ้ำอีกหนอย่างระงับใจตนเองไม่อยู่ ชายหนุ่มผู้เก็บกลั้นความรู้สึกไว้ในเสี้ยวลึกของหัวใจ แต่เมื่อมันได้ปลดปล่อยแล้ว ก็ราวกับภูเขาไฟที่ระเบิดพรูพรั่ง หัวใจของเขาเต้นแรง เลือดลมหนุ่มสูบฉีดไปทั่วตัว บางส่วนกำลังแข็งขึง เพียงแค่จูบเธอ มันก็รู้สึกดีล้ำเลิศ เสียยิ่งกว่าได้เมคเลิฟกับผู้หญิงสวยที่สุดในสถานเริงรมย์เสียอีก เขาถอนจูบอย่างไม่เต็มใจนัก ตาทั้งสองคู่มองสบกัน คู่หนึ่งนั้นราวกับไฟเย็นที่กำลังลุกโชน ส่วนอีกคู่หวานเยิ้มและไหวระริกราวกับหินกระทบสายน้ำที่นิ่งสงบมานาน เขาลุกขึ้นยืน... และเดินหายไปในความมืด ทิ้งให้ประดับพลอยมองตามหลังเขาไป มือเรียวยกขึ้นลูบริมฝีปากที่เห่อบวมเล็กน้อย เลือดของเธอร้อนผ่าว ความรู้สึกสั่นไหว หัวใจเต้นแรงราวกับจะทะลุออกมา
บทที่ 1
บทนำ จุดเริ่มต้นของ...
เสียงอ้อแอ้ที่ดังมาจากเครื่องเบบี้มอนิเตอร์ ทำให้แม่ครัวประจำฟาร์มร่างอวบท้วม ที่กำลังขะมักเขม้นกับการนวดแป้งทำขนมปัง ละมือจากงานที่ทำอยู่ ใช้สองมือปัดตรงกระโปรงลวกๆ พลางเดินแกมวิ่งไปยังต้นเสียง ที่เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ วันนี้พ่อขวัญใจประจำฟาร์ม เมดิสัน ลาเวนเดอร์ ดูเหมือนจะเกรี้ยวกราดมากกว่าทุกวัน เพราะเสียงแผดกำลังดังขึ้นเรื่อยๆ
“หิวหรือยังไงนะ เอ...วันนี้คุณชาลีนนอนด้วยนี่นา ปรกติแล้วจะอารมณ์ดี มีคนหานมเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ แล้วทำไมวันนี้เบบี้ตัวน้อยของป้าฟิโอ ร้องเสียงดังจังเลย”
นางบ่นพึม ก้าวทีละสองขั้นด้วยซ้ำในการขึ้นไปหาพ่อตัวน้อย อายุเพียงสามเดือนนิดๆ นางลอบถอนใจเมื่อนึกถึง ‘คุณชาลีน’ ประมุกของฟาร์มเมดิสัน ชายหนุ่มร่างท้วม อารมณ์ดี ที่ยิ้มแย้ม เป็นมิตร เป็นที่รักของผู้คน ซึ่งเป็นบิดาของชาลล์ เมดิสัน ทายาทแห่งฟาร์มเมดิสัน ลาเวนเดอร์ ฟาร์มที่ผลิตดอกไม้ชนิดนี้ได้มากเป็นอันดับต้นๆ ของรัฐ
พ่อตัวน้อยที่มีกรรมนัก...
คิดเพียงเท่านี้ก็ถอนใจออกมาอีกหน นางต้องยิ้มให้มากๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าชาลีน เพราะหวังให้เขาอารมณ์ดี ยิ้มตอบนางอย่างที่เคยเป็น ทุกคนในฟาร์มเมดิสัน เป็นแบบนี้กันไปโดยอัตโนมัติ เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้านายที่พวกเขารัก ไม่มีใครกล้าทำหน้าบึ้งตึง เคร่งเครียด พยายามมีรอยยิ้มให้มาก ไม่กล้าถามไถ่ พูดจาอะไรให้ชาลีน ระลึกนึกถึงสิ่งที่ทำให้เขาเปลี่ยนไปจากชาลีนผู้มีความสุข มีความรักในทุกสิ่ง กลับกลายเป็นชาลีนผู้เศร้าตรม จนกลายเป็นโรคซึมเศร้า จนต้องได้รับการรักษา
การเปลี่ยนไปของเจ้านายของฟาร์ม นอกจากเกี่ยวพันไปถึงหัวใจของทุกชีวิตในฟาร์มแห่งนี้แล้ว มันส่งผลไปถึงบุรุษหนุ่มอีกคนหนึ่ง ซึ่งจากที่นี่ไปนาน และกำลังกลับมาพร้อมกับภาระหน้าที่ ซึ่งเขายินดีแบกมันแทนผู้เป็นพี่ชาย พี่ชายซึ่งดูแลและรับทุกอย่างแทนเขามาตลอดเวลา
“คุณชาลีนคะ วันนี้ไชนี่น้อยของป้าร้องดังจริงๆ นมหมดหรือเปล่าเอ่ย? ป้าจะได้ให้พอลออกไปซื้อในเมืองให้”
“...”
มีเพียงเสียงแผดร้องที่ดังขึ้นเรื่อยๆ อย่างโมโหของทารกน้อยที่นอนดิ้นใช้มือไขว่คว้าหาสิ่งที่ตนเองต้องการอยู่ในเปลเด็ก ฟิโอนาที่ผลักประตูเข้ามาขมวดคิ้ว ไร้ร่องรอยของนายของบ้าน นางมองหาขวดนมก่อนจะรีบนำมันไปให้เจ้าตัวน้อย ที่หยุดร้องทันทีเมื่อได้รับอาหารยามเช้า
ตาแป๋วๆ คลอไปด้วยน้ำตานั้นมองนาง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มซึ่งไม่ใช่สีของชาวยุโรป การผสมผสานอย่างดีของสองเชื้อชาติบนหน้าพ่อหนูน้อยคนนี้ บ่งบอกถึงที่มาของตนได้ดีนัก นางจุ๊ปาก ล้อเล่นกับพ่อหนูไชนี่ ชาลล์มีชื่อเล่นว่าไชนี่ (shiny) ฟิโอนาเป็นคนตั้งให้พ่อหนูคนนี้ เพื่อหวังจะให้เรียกความสดใส ความสดชื่น กลับมายังบิดาของเขาได้บ้าง
หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูขนาดนี้ ทำไมแม่ของเบบี้ไชนี่ของป้าฟิโอ ถึงทิ้งขว้างได้ลงกันหนอ...
มองเด็กน้อยแล้ว ความน่ารักน่าเอ็นดูอย่างเหลือเกินนั้น ก็ทำให้ฟิโอนาต้องกลั้นน้ำตา นังเด็กสาวผู้หญิงไทยใจร้ายคนนั้น ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นตายร้ายดียังไง เหอะ! แต่ไปเสียก็ดีแล้ว คนแบบนั้น ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่า จะทำอะไรกับคุณชาลีนอีก
เมื่อได้รับอาหารเพียงพอต่อความต้องการแล้ว เจ้าตัวดีก็ทำท่าจะเคลิ้มหลับไปอีกหน หลับปุ๋ยไปง่ายๆ ฟิโอนาอมยิ้มนิดๆ ขณะที่ทำความสะอาดร่างกายและเปลี่ยนผ้าอ้อมให้กับทารกตัวจ้อย ทารกวัยนี้ยังเลี้ยงง่าย แค่กินกับนอน ถ้าพ่อหนูโตขึ้นอีกนิด คงจะต้องหาพี่เลี้ยงมาช่วยดูแล เพราะงานในฟาร์มของทุกคนตอนนี้ก็เริ่มจะล้นมือ เนื่องจากเข้าใกล้กับฤดูเก็บเกี่ยวลาเวนเดอร์แล้ว ไหนจะเจ้านายคนใหม่ ที่เพิ่งกลับมาเรียนรู้งาน เลยยังขลุกขลักกันอยู่บ้าง คุณคริสเตียน น้องชายของคุณชาลีน ไม่เหมือนคุณชาลีนเลยแม้แต่น้อย ถ้าคุณชาลีนเป็นความสว่างสดใส คุณคริสเตียนคงจะเป็นความหม่นครึ้ม อาจจะเพราะบุคลิกของเขาก็เป็นได้ ชาลีนยิ้มเก่ง พร้อมจะยิ้มกว้างให้กับทุกคน แม้กระทั่งต้นไม้ดอกไม้ในฟาร์มของเขา ส่วนคริสเตียนนั้น เหมือนเขาจะสงวนรอยยิ้มไว้ จนนางแทบไม่เห็นเขาขยับยิ้มกว้างเลยก็ว่าได้
เห็นอยู่ครั้งหนึ่งสินะ...
คิดแล้วก็อมยิ้ม พลางมองคนในอ้อมแขน ที่นางกำลังร้องเพลงคลอเบาๆ ให้เจ้าตัวน้อยฟัง ดูเหมือนว่าเสียงเพลงของฟิโอน่า จะทำให้ทารกน้อยอารมณ์ดี เพราะขยับปากยิ้มทั้งที่ตาหลับพริ้ม
Lavender blue, dilly-dilly
Lavender green
If you were king, dilly-dilly
you'd need a queen
Whoa-oh, who told me so?, dilly-dilly
Who told me so?
I told myself, dilly-dilly
I told me so
If your dilly-dilly heart
Feels a dilly-dilly way
And If you'll answer yes
In a pretty little church
On a dilly-dilly day
I'll be wed in a dilly-dilly dress of
Lavender blue, dilly-dilly
Lavender green
เสียงของฟิโอน่า ที่ขับกล่อมเจ้าตัวน้อย ดังไปในใจของคนที่กำลังยืนมองลอดช่องประตู เห็นภาพของหญิงร่างอวบท้วม กำลังประคองลูกชายของเขาไว้ในอ้อมแขน สีหน้าของนาง ช่างอ่อนโยน และมีความสุขนัก ยามที่มองหน้าเจ้าหนูไชนี่
ไชนี่...ความสดใส สว่าง อบอุ่น
ไชนี่...ที่หายไปจากหัวใจเขาแล้ว ตั้งแต่วันที่ผู้หญิงคนหนึ่งกระชากมันติดมือไปด้วย
เขาไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ได้ ถ้าปราศจากซึ่ง ความสว่างในหัวใจ ในชีวิต
ชาลีนกัดริมฝีปาก หัวใจวูบโหวง เขามองฟิโอน่า ค่อยวางเด็กทารกลงบนเปล เท้าพาเขาเคลื่อนจากที่ตรงนั้นมาอย่างเงียบเชียบ
หัวใจเขาไร้สิ้นซึ่งความหวังใดๆ
หัวใจเขามันช่างมืดหม่นเหลือเกิน
เขามันไร้ค่า...ไม่เป็นที่ต้องการ ไม่สามารถทำให้ผู้หญิงที่เขารักสุดหัวใจมีความสุขได้
แล้วเขาจะอยู่มันไปทำไมกัน
จิตใจของชาลีนจมดิ่งลงเรื่อยๆ ดิ่งลง ดิ่งลง
เท้าพาเขาเดินไปเรื่อยๆ เดินไป เดินไป
ทุ่งสีเขียวขจีผืนมหึมาเบื้องหน้า อีกไม่กี่เดือน ก็จะแปรสภาพเป็นสีม่วง สวยทั้งผืน ดอกลาเวนเดอร์สีม่วงเข้ม จะบานสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอม เรียกนักท่องเที่ยว ให้มาเยือน มาเยี่ยมชมความงามของฟาร์มแห่งนี้
แต่เขาอาจจะอยู่ไม่ถึงวันนั้น...
เดือนแห่งความทุกข์ทรมานของเขา
เดือนที่เขาได้พบเจอผู้หญิงผมดำยาว นัยน์ตากลมโตสีนิลช่างสะกดใจเขานัก รอยยิ้มที่สวยสดใสเสียยิ่งกว่าแสงตะวันในฤดูใบไม้ผลิ
โอ...
เขาอยู่ไม่ได้จริงๆ
ต้นสนต้นนั้น เป็นต้นไม้ที่ระลึก ซึ่งบรรพบุรุษของเขาได้ปลูกไว้ มันโดดเด่นอยู่กลางทุ่งลาเวนเดอร์ เป็นสัญลักษณ์ของตระกูลเมดิสัน
คนไร้ค่าอย่างเขา...คนที่ทำให้ที่นี่ตกต่ำ คนที่ถูกทิ้งอย่างไร้ค่า จะอยู่ไปทำไมกันเล่า
ไม่มีใคร...
ไม่มีใครเลย...
เขามันแย่...
ยิ่งคิด ยิ่งดิ่ง ยิ่งมืดดำ ถลำไปในห้วงแห่งความมืดมิดแห่งจิตใจ โรคที่เขาเป็นนั้น มันร้ายแรงนักหนา โรคแห่งใจ ที่ยารักษาใดๆ บางทีก็ไม่อาจบรรเทาได้
ชาลีนมองไปยังต้นสนสูงตระหง่าน อายุนับร้อยปี ซึ่งตั้งตรงอยู่เบื้องหน้า
เดินไป...เดินไป... เดินไป...
เขากำเชือกในมือแน่นเข้า
เดินไป...เดินไป...เดินไป
คนไร้ค่า...ไม่สมควรอยู่...
คนที่ไม่มีใครต้องการ...
โลกนี้ไม่มีประดับเพชร...
ก็ไม่มีอะไรแล้วสำหรับเขา...
ไม่มีอะไรอีกแล้ว
เท้าพาเขาหยุดอยู่ตรงหน้าต้นสนนั้นในที่สุด เขาแสยะยิ้มน้อยๆ เป็นรอยยิ้มสุดท้ายของชาลีน เมดิสัน นายแห่งฟาร์มลาเวนเดอร์ เมดิสัน ฟาร์มที่เคยรุ่งโรจน์ แต่...ตอนนี้...
เพราะเขา...
ชาลีนหลับตาลงอีกหน เขาตัดสินใจแล้วที่จะลงโทษชีวิตตัวเอง
เชือกถูกผูกไว้แน่นหนา ยังกิ่งสนที่ต่ำที่สุด แต่ก็ยังสูงกว่าส่วนสูงของชาลีน เก้าอี้ตัวยาวซึ่งอยู่ใต้ต้นสนต้นใหญ่ เพื่อให้นักท่องเที่ยวไว้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก กำลังถูกใช้งานต่อตัวเขาขึ้นไป ผูกกิ่งไม้ไว้ เข้ากับลำคอของตนเอง
ลาก่อน!
ชาลีนทิ้งตัวลงมาจากเก้าอี้ เชือดรัดคอจนแน่น มือเขาไขว่คว้าโดยไม่รู้ตัว ตาเหลือกลาน อากาศกำลังจะหมดจากปอด ร่างกระตุกเกร็ง มือคว้าไปเบื้องหน้า ร่างแกว่งไปมากับเชือก ตามสัญชาตญาณสุดท้ายเพื่อการมีชีวิตอยู่ แม้เจ้าของจะไม่ไยดีกับลมหายใจของตนเองก็ตาม
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด”
นั่นคือเสียงสุดท้าย ที่หูของชาลีน เมดิสันได้ยิน...