ตอน 4
เช้าวันใหม่ต้นข้าวนั่งทำงานอยู่ในห้องทำงานกนธีเดินมาหยุดตรงโต๊ะทำงานของหญิงสาว เพื่อถามไถ่งานสำคัญที่ให้ตระเตรียม ขณะต้องฝึกงานให้กับผ้าไหมที่ไม่ค่อยสนใจการทำงานเท่าไหร่ด้วย จึงมีหลายเรื่องให้หญิงสาวต้องจัดการ หากว่าเรื่องนี้ค่อนข้างหนักใจกว่าเพราะหมายถึงความเป็นอยู่รอดไม่รอดของฟู๊ดโปรดักส์ สมาชิกในบ้านไม่มีใครทราบถึงสถานะบริษัทกำลังย่ำแย่ ยกเว้นต้นข้าวกับบิดา
“เป็นไงข้าว” กนธีเอ่ยทักบุตรสาวคนโตน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ต่างจากทักพนักงานคนหนึ่งในบริษัทเท่านั้น
“อ๋อ...พ่อเหรอคะก็ยุ่งๆ” ดวงตากลมโตละจากเอกสารบนโต๊ะเงยหน้ามองผู้มาเยือนระบายยิ้มบางเบา
“แล้วนี่ยัยไหมไปไหนซะล่ะ” แวะเข้าไปที่ห้องทำงานของบุตรสาวคนเล็กไม่พบร่างใครเลย ทั้งที่พยายามให้เรียนรู้งานเพื่อแบ่งภาระ หากแต่ผ้าไหมไม่เคยใส่ใจ แม้งานชิ้นใดก็ตาม
“เห็นออกไปกับคุณแม่แล้วค่ะ” เมื่อสองชั่วโมงที่ผ่านมา ต้นข้าวเข้าไปสอนงานน้องแต่น้องตัวดีไม่สนใจ ทั้งที่เธอขอร้องแล้ว หนำซ้ำยังโดนด่ากลับมาหญิงสาวจำต้องล่าถอยออกมาเพื่อทำงานของตน
“ให้มาทำงานวันแรกก็หนีงานแล้วไม่คิดช่วยพ่อแม่ทำมาหากินเลยไอ้ลูกคนนี้ นี่มันรู้บ้างไหมบริษัทกำลังแย่” กนธีบ่นกระปอดกระแปดหากแต่ไม่เคยสั่งสอนบุตรสาวคนเล็กจริงๆจังๆสักครั้ง กลับมาเคี่ยวเข็ญกับต้นข้าวเพียงฝ่ายเดียวนภิสาตามใจลูกจนเคยตัว ความจริงเขาก็ผิดด้วยจะโทษภรรยาฝ่ายเดียวย่อมไม่ได้ มีต้นข้าวที่ต้องรับเวรรับกรรมอยู่คนเดียว
“น้องคงยังไม่รู้หรอกค่ะ แล้วพ่อจะให้น้องรู้หรือเปล่าคะ” ความลับที่ทั้งต้นข้าวและกนธีเก็บไว้หากรู้ไปถึงนภิสาและผ้าไหมคงได้บ้านแตก ฉะนั้นความลับยังคงให้เป็นความลับต่อไป
“บ้านแตกแน่ถ้าไหมรู้” ลูกสาวคนนี้จนไม่เป็น อยากได้อะไรต้องได้ ที่สุดแล้วภรรยาเขานั่นล่ะตามใจลูกจนเคยตัว ข้าวของที่ใช้ล้วนแบรนด์ดังๆ ถ้าไม่ใช่ของแบรนด์เนม ผ้าไหมไม่เคยแล
“พ่อมาหาข้าวมีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ” เอ่ยถามธุระของบิดาเพราะท่านไม่ค่อยมาหาเธอหากไม่มีเรื่องไว้วานให้ทำ ซึ่งคงรวมครั้งนี้ด้วย แม้เวลาเธอโดนมารดาและน้องรังแกจิกหัวด่าว่าใช้สารพัดท่านยังไม่ออกตัวช่วยหรือเหลือรับหน้าเสื่อแทน ต้นข้าวได้แต่ปลงอนิจจังตัวเอง โทษชะตากรรมเธออาจเป็นลูกกองขยะเปียกจากเทศบาลไหนสักที่
“นั่นกำลังทำอะไรง่วนเชียว” เมื่อเห็นเอกสารวางอยู่บนโต๊ะทั้งภาพทั้งรายละเอียดจึงเอ่ยถาม
“โครงการที่เราจะเสนอผู้ที่จะมากอบกู้กิจการบริษัทเราไงคะ ข้าวพิมพ์เสร็จแล้วกำลังตรวจทานค่ะ” เอกสารหลายสิบหน้าต้นข้าวตระเตรียมเองทั้งหมด ตลอดสองปีที่เธอเข้ามาทำงานก็พบว่าบริษัท มีปัญหาหนักหนามากมายหลายเรื่อง ที่สำคัญเรื่องงบดุลที่ขาดทุนสะสมมาหลายปี เม็ดเงินรายได้ไม่สมดุลกับรายจ่ายที่ประเดประดังเข้ามา
“พอดีพ่อจะเข้ามาถามว่าจัดแจงไปถึงไหนแล้วเรื่องเตรียมการต้อนรับนักธุรกิจชาวสเปน” หมายกำหนดการต้อนรับแขกคนสำคัญคือพรุ่งนี้ ป่านนี้ฝ่ายนั้นคงยังเดินทาง เพราะได้แจ้งไว้ว่าไม่ต้องการจัดการเรื่องโรงแรมไว้ ฝ่ายนั้นจะจัดการเอง แปลกจังคนระดับนั้นไม่มากพิธี
“ให้ฝ่ายการจัดงานธุรการเตรียมห้องประชุม อาหารเครื่องดื่มและเอกสารต่างๆในการประชุมเรียบร้อยครบถ้วนแล้วค่ะ เขามาพรุ่งนี้คิดว่าคงไม่มีอะไรต้องการจัดการอีก พ่อสบายใจได้เลยค่ะ” เธอเตรียมการตั้งแต่ทราบหมายกำหนดการ ต้นข้าวทำงานมุ่งมั่นจริงจัง รวดเร็วไม่เคยให้ใครตำหนิได้แม้ยุ่งทั้งงานราษฎร์งานหลวงเธอยังสามารถจัดการได้อย่างลงตัว เสียดายต้องมาแบกรับภาระที่ตนไม่ได้ก่อ
“พึ่งพาได้จริงๆเลยลูกพ่อ” แม้ตลอดเวลาไม่ได้เห็นคุณค่าในตัวต้นข้าวมากกว่าผ้าไหม หากแต่ทุกสิ่งทุกอย่างต้นข้าวจัดการให้ได้ตามที่กนธีสั่ง แม้แต่ครั้งนี้มอบหมายให้เตรียมการเพื่อต้อนรับแขกคนสำคัญนักธุรกิจจากสเปน ได้ยื่นความจำนงสนใจบริษัท จวนล้มไม่ล้มแหล่ของเขาด้วยแล้วกนธีคิดว่าตัวเองไม่ควรพลาด หากพลาดอีกไม่นานบริษัท คงโดนฟ้องล้มละลาย อย่างในอดีตที่เขาเคยทำบริษัทตัวเองพังครืนลงมาแล้วอย่างไม่เป็นท่า
โดยครั้งนี้เขาต้องหาคนช่วยพยุง โชคดีมีนักธุรกิจฝีมือดีท่านหนึ่ง ได้กว้านซื้อหุ้นในบริษัท ฟู๊ดโปรดักส์ไว้เกือบทั้งหมด กนธีเสนอให้ทางนั้นเข้ามาช่วยพยุงและพร้อมให้ทางนั้นเข้ามาบริหาร แม้เขาอาจตกจากเก้าอี้ผู้บริหารสูงสุดคงต้องยอม หากให้บริษัท ผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้ จากนั้นค่อยหาทางคิดว่าจะซื้อหุ้นกลับมาอย่างไร โดยอุตส่าห์ปิดบังส่วนเน่าเหม็นไว้หลายส่วน พยายามเสนอแต่ส่วนดีและจุดเด่นที่เคยผ่านมาเมื่อหลายปีก่อน
“วางใจเถอะค่ะพ่อข้าวเป็นลูกของพ่อไม่ช่วยพ่อแล้วจะช่วยใครล่ะคะ” เธอมีเพียงบิดาและมารดาแม้ที่ผ่านมาอาจถูกเลี้ยงแตกต่างกันสักหน่อย ทำไงได้คงเป็นชะตากรรม ต้นข้าวมักโทษชะตากรรมเพื่อความสบายใจ
“เอ่อ...มันก็จริง” กนธีเอ่ยไม่เต็มปากนักผลุบสายตาปิดบังบางอย่างไว้เมื่อนานมาแล้ว
“อีกอย่างบริษัทนี้ก็เป็นน้ำพักน้ำแรงของพ่อ ถ้าเราไม่ช่วยกันทำให้มันรอดใครจะช่วยเราได้คะ”
“จ้ะจ้ะใช่” กนธีกดเสียงให้ปกติขณะตอบรับ ในใจเขาค้างคาหลายเรื่องไว้ เมื่อทราบความเคลื่อนไหวในงานที่สั่งให้ต้นข้าวตระเตรียมเขาจึงผละจากใจด้วยความสบายไปเปราะหนึ่ง หากแต่เพราะที่เหลือยังคงค้างคาใจ และหนักใจอยู่มาก
ขณะผละจากไปยังไม่ก้าวเท้าพ้นห้องทำงานของต้นข้าว เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าดังขึ้น ปลายเท้าที่กำลังก้าวเดินชะงัก รีบควานหาโทรศัพท์ราวกับมันถูกตั้งระเบิดเวลา
“ครับ” เขาเอ่ยต้อนรับสายตาปราดมองไปยังบุตรสาวที่ก้มหน้ากับงานบนโต๊ะ แล้วผละจากไปเกรงอีกฝ่ายจะล่วงรู้ถึงเรื่องที่จะคุยกับอีกฝั่ง “รับรองครับผมต้องจัดการให้ได้ในวันพรุ่งนี้แน่นอน”
“รับปากแล้วนะคุณกนธี ถ้าจัดการให้ไม่ได้รับรองผมได้ส่งลูกน้องไปเยี่ยมคุณถึงบริษัทแน่”
“รับรองครับ”
“งั้นพรุ่งนี้ออกมาเจอผมที่เดิมห้ามเบี้ยว ตุกติกเมื่อไหร่คุณเตรียมตัวไปเฝ้ายมบาลได้เลย แล้วลูกสาวคนสวยทั้งสองคนของคุณคงรู้นะจะไม่ปลอดภัยถ้าไม่มีคุณ”
“เออ...ผมรู้ไม่ต้องขู่”
“ผมเคยขู่ด้วยเหรอเท่าที่ผ่านมาผมก็ไม่เคยขู่”
“เอาเป็นว่าเจอกันพรุ่งนี้รับรองผมจัดการให้แน่”
“ดีมากขอให้เป็นคำพูด”
กนธีตัดสายทิ้งโทรศัพท์ลงกับโซฟากระเด้งกระดอนสองสามที ก่อนทรุดกายลงนั่งยกมือกุมใบหน้าด้วยความกลัดกลุ้ม หากแต่ความกลัดกลุ้มไม่ยุติเพียงเท่านั้น ชายวัย 58 ยังต้องสะดุ้งอีกเมื่อโทรศัพท์ที่เพิ่งวางไปดังขึ้นอีกครั้ง เขามองก่อนจะหยิบมันขึ้นมารับ หากแต่ไม่ใช่สายเดิมเขาจึงผ่อนลมหายใจก่อนรับ
“ว่าไงจ๊ะหนูลูกหว้า” คราวนี้โทนเสียงปรับเปลี่ยนแตกต่างจากเมื่อกี้ เมื่อเสียงหวานออดอ้อนลอยเข้ามากระทบหู
“ป๋าขาป๋าลืมแล้วหรือคะวันนี้วันอะไร”
“วันอะไรจ๊ะไหนทวนให้ป๋าฟังหน่อยสิ พอดีป๋าทำงานเยอะลืมไปบ้าง แต่รับรองไม่เคยลืมหนูลูกหว้าแน่นอนจ๊ะ”
“ตายจริงป๋าลืมจริงๆด้วย”
“ไหนว่ามาซิหนู”
“รถที่ป๋าซื้อให้ได้เวลาชำระค่างวดแล้วนะคะ ลูกหว้าบอกแล้วให้จ่ายสดก็ไม่เชื่อ”
“งั้นเดี๋ยวป๋าจัดการให้นะจ๊ะ”