ตอนที่ 3 ครอบครัว
ตอนที่ 3 ครอบครัว
หลังจากที่ฉันสัมภาษณ์งานเสร็จ ฉันก็ขับรถมอเตอร์ไซค์กลางใหม่กลางเก่าขับกลับบ้าน ระหว่างทางฉันเห็นรถยนต์ของพี่เอกจอดอยู่ เหมือนเขากำลังดักรอฉันช่วงขากลับ เมื่อฉันเห็นดังนั้นจึงรีบบิดคันเร่งให้เร็วขึ้นไปอีก ทำเป็นไม่เห็นก็แล้วกัน
“จอด!!!” เขาเดินมาอยู่บนกลางถนนแล้วกางแขนออก ทำให้ฉันต้องรีบเหยียบเบรคทันที
“พี่เอก! อยากตายหรือไง” รถสองล้อที่ฉันขับมาเกือบล้มแน่ะ ใจหายแว๊บเลย
“พี่ขอคุยด้วยหน่อย แป๊บเดียวก็ได้”
“มีอะไรก็รีบๆพูดมา ถ้าพูดไม่รู้เรื่องฉันจะไม่เกรงใจพี่แล้วนะ”
“ที่จริงเมล์ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้ พี่รู้ว่าเมล์ยังไม่มีแฟน” เขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่เลย...
“ถ้าเราสองคนเป็นแฟนกันไม่ได้จริงๆ ในฐานะเพื่อน...พอจะเป็นไปได้มั้ย”
“ได้ดิ”
“ขอบคุณน้องเมล์มากนะครับ พรุ่งนี้พี่ต้องกลับไปทำงานแล้ว” ก็ไปสิจะมาบอกทำไม!
“ดูแลตัวเองด้วยนะ เอาไว้ว่างๆพี่จะทักมาคุยด้วย พี่หวังว่าแค่สติ๊กเกอร์ตัวสองตัวกับข้อความที่ไม่ได้มากจนเกินไป น้องเมล์จะเปิดอ่านมันบ้าง” พูดซะน่าสงสารเลย...เฮ่อ
“พี่ไปทำงานของพี่เถอะ ในฐานะเพื่อนกัน ฉันจะเปิดอ่านก็แล้วกัน”
“จริงนะ”
“อื้อ” ฉันพยักหน้าให้
“ถ้าอย่างนั้นขับรถกลับบ้านดีๆนะ เย็นนี้พี่ต้องออกเดินทางกลับไปทำงานแล้ว” สถานที่ทำงานของพี่เอกอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แต่เคยรู้มาว่านานๆที เขาถึงจะได้กลับมาเยี่ยมที่บ้านสักครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นฉันไปนะ”
บ้านของฉันอยู่ไกลต้องใช้เวลาขับรถประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึง สมาชิกในบ้าน มีพ่อแม่ พี่ชาย พี่สะใภ้ และหลานสาวอายุห้าขวบอีกหนึ่งคน บ้านของฉันประกอบอาชีพทำสวนผลไม้และปลูกผักสวนครัวส่งตลาด ฐานะทางบ้านปานกลางจัดว่าพอมีพอกิน
“เมล์...ไปสมัครงานวันนี้เป็นยังไงบ้างลูก” เมื่อฉันเดินเข้าไปด้านในบ้าน เสียงแม่ของฉันก็เอ่ยถามขึ้น ฉันหันไปยิ้มให้ท่าน แล้วตอบกลับไปว่า...
“ฉลอง!!” นั่นก็แปลว่าฉันได้งานทำแล้ว
“เขารับแกเข้าทำงานจริงๆเหรอเนี่ย ไม่อยากจะเชื่อ” นี่เป็นเสียงพี่ชายของฉันเองค่ะ ชื่อพี่เมฆ พี่ชายของฉันอยากให้ฉันมาช่วยทำงานในสวนมากกว่า แต่ฉันอยากหางานที่มีเงินเดือนกินไปก่อน อาชีพชาวสวนฉันเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ ฉันเบื่อ...ถึงมันจะเป็นอาชีพที่ส่งฉันเรียนจนจบก็เถอะ
“ทำไม...คนอย่างหนูมันทำไม” ฉันทำหน้างอนๆส่งไปให้
“เปล่าหรอก ว่าแต่คุณปราชญ์เขาให้แกไปทำงานในตำแหน่งอะไรล่ะ”
“พนักงานบริการทั่วไปน่ะ แต่...เดี๋ยวนะ! พี่รู้จักเขาด้วยเหรอ เมื่อกี้พี่เรียกเขาว่าอะไรนะ”
“คุณปราชญ์...ทำไม” ฉันเพิ่งรู้จักชื่อเขาวันนี้เอง เขาชื่อจริงว่าปราโมทย์ ชื่อเล่นปราชญ์ ทำไมพี่เมฆถึงรู้จักล่ะ
“พี่รู้จักเขาด้วยเหรอ”
“แปลกตรงไหน เขาเป็นคนดังนะ”
“ทำไมหนูถึงไม่รู้จักเขามาก่อนเลยล่ะ”
“พี่จะไปรู้แกเหรอ ว่าแต่แกไปทำอะไรคุณปราชญ์เขาหรือเปล่า” อ้าว...ถามแบบนี้!
“อ้าว...ทำไมพี่ถามแบบนี้ล่ะ หนูเป็นน้องพี่นะ” ฉันจะไปทำอะไรเขาได้ แค่ลักจูบไปทีเดียวเอง
“เปล่า แค่ถามดูเฉยๆ” แล้วไป...นึกว่าไปรู้อะไรมา อยู่ๆฉันก็ยกมือขึ้นไปคลำอยู่ที่ริมฝีปากของตัวเองอย่างเผลอไผล
“วันนี้เขาเป็นคนสัมภาษณ์หนูด้วยตัวเองเลยนะ” ที่จริงฉันเป็นคนขี้คุยในระดับหนึ่งเลยเชียวล่ะ
“ล้อเล่นน่า...”
“จริง! แต่ช่างเถอะ หนูได้วันหยุดวันจันทร์นะ”
“เลี้ยงอะไรล่ะ”
“เงินยังไม่ออกเลยพี่เลี้ยงหนูก่อนสิ”
“อาเมล์ขา...กิ๊บอยากกินน้ำส้มปั่นค่ะ” นี่เป็นเสียงหลานสาวของฉันเองค่ะ อายุห้าขวบชื่อน้องกิ๊บ ลูกสาวพี่เมฆ
“ได้สิคะหลานอา พี่เมฆ...” ฉันแบมือขอเงินพี่ชาย
“พันเดียวพอหรือเปล่า”
“พอค่ะ ขอยืมรถยนต์ด้วยนะ กิ๊บป่ะ” จากนั้นฉันก็พาหลานสาวไปซื้อน้ำส้มปั่นและกับข้าวที่ตลาด แล้วกลับมาฉลองกันในช่วงเย็น พร้อมหน้าพร้อมตาที่บ้าน
ทางด้านปราชญ์
บ้านหลังใหญ่ มีเครื่องใช้ไฟฟ้าอำนวยความสะดวกครบ มีแม่บ้านหนึ่งคนและคนทำสวนอีกหนึ่งคน ความเป็นอยู่ค่อนข้างสะดวกสบาย แต่ภายในบ้านกับมีกันอยู่แค่สองคนพี่น้อง นั่นก็คือปราชญ์ที่เป็นพี่ชาย และน้องสาวอายุสิบเจ็ดหนึ่งคน เธอชื่อพราวมุก หรือเรียกง่ายๆว่ามุก กำลังเรียนอยู่ชั้นม.6 ในโรงเรียนเอกชนชื่อดังในจังหวัด
“ก๊อกๆๆ มุก...กินข้าว” ในทุกๆวันพี่ชายคนนี้ก็มักจะต้องไปเคาะประตูเรียกน้องสาวให้ออกมากินข้าวพร้อมกันแบบนี้เป็นประจำ
ด้วยวัยที่ต่างกันมาก ช่องว่างระหว่างพี่กับน้องจึงค่อนข้างกว้าง หรือจะเรียกง่ายๆว่า ไม่ค่อยสนิทกันนั่นเอง ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะพักอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกันก็ตาม
“ค่ะเดี๋ยวออกไป” สักครู่น้องสาวคนเดียวของปราชญ์ก็เดินออกมา แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามกับพี่ชาย บนโต๊ะมีอาหารอยู่หลายอย่างกำลังร้อนๆ หอมกรุ่นน่ากินเชียว
“ทำอะไรอยู่”
“เรื่องของหนู”
“เขียนนิยายอีกแล้วใช่มั้ย” น้ำเสียงดุๆของพี่ชายถามกลับไปในแบบไม่ค่อยพอใจนัก
“ถ้าใช่แล้วจะทำไม”
“เอาเวลาไปอ่านหนังสือเรียนดีกว่ามั้ย ปีหน้าคิดเอาไว้หรือยังว่าจะไปเรียนต่อที่ไหน”
“ยัง”
“แล้วทำไมไม่คิด เหลือเวลาอีกไม่มากแล้วนะ” เสียงถอนหายใจของน้องสาวดังเฮือก
“เมื่อไหร่พี่จะมีแฟนสักที”
“ทำไม”
“ก็จะได้เลิกยุ่งเรื่องของหนูสักทีไง หนูอิ่มแล้วพี่กินเถอะ”
“นี่ยัยมุก! แกยังไม่ได้กินสักคำเลยนะ”
“กินไม่ลง ปั้ง!!” เสียงปิดประตูดังลั่น บ่งบอกว่าไม่พอใจ ซึ่งภาพที่เห็นมันเป็นเรื่องปกติของพี่น้องคู่นี้
เช้าวันรุ่งขึ้น
@โรงแรม
ช่วงเช้าฉันขับรถมอเตอร์ไซค์เข้ามาในบริเวณโรงแรมกำลังจะหาที่จอดรถ แต่อยู่ๆสายตาของฉันก็บังเอิญเหลือบไปเห็นบอสยืนคุยอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง ฉันมองไปแว๊บแรก เห็นเขาส่งสายตาขอความช่วยเหลือมาแต่ไกล...แต่เช้าเลยเหรอเนี่ย อะไรจะฮอตขนาดนี้!
“บอสค่ะ มีเรื่องจะปรึกษาหน่อยค่ะ” ฉันรีบจอดรถใกล้ๆกับที่เขายืนอยู่ ซึ่งตรงที่ฉันจอดรถมันเป็นถนน มีฟุตบาทขั้นกลาง ถัดไปอีกหน่อยเขากับผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น ฉันรีบตะโกนถามออกไป ฉันไม่รู้หรอกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร แต่ไม่ใช่สองคนเมื่อวานนี้แน่นอน ถ้าเขาเล่นด้วยกับฉันแสดงว่าเขาต้องการให้ช่วยจริง แต่ถ้าเขาไม่เล่นด้วยก็แสดงว่าฉันคิดไปเอง
“ว่ามาสิ...”
“เชิญขึ้นรถก่อนค่ะ”
“เธอเป็นใคร พนักงานใหม่เหรอทำไมฉันไม่เคยเห็นหน้า” ผู้หญิงคนนั้นถามกลับมา ฉันจึงหันสายตาไปมองเขา...จะเอายังไง!
“บอสคะ จะขึ้นมามั้ยคะ ถ้าไม่ขึ้นจะไปแล้วนะ”
“เออๆไปๆ ผมขอตัวก่อนนะครับ”
“ปราชญ์...” ผู้หญิงคนนั้นทำหน้าไม่พอใจ ส่วนเขาก็รีบเดินขึ้นมานั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ของฉันทันที
“ถึงแล้วค่ะ” ฉันพูดพร้อมกับถอดหมวกกันน๊อคออก แล้วรีบแบมือขอค่าแรงเมื่อกี้นี้ด้วย
“อะไร...” แน่ะ! ทำหน้างง
“ก็ตามที่ตกลงกันไว้ไงคะ” หนึ่งพัน!
“แค่ขึ้นซ้อนท้ายรถมาแค่นี้เนี่ยนะ”
“ใช่ค่ะ ก็บอสเป็นคนบอกเองว่าแล้วแต่สถานการณ์ ฉันก็ช่วยบอสออกมาได้แล้วนี่ไง”
“ตอนแรกผมก็คิดว่าคุณจะแสดงตัวเป็นแฟนผมซะอีก” อี๋...คิดอะไรกับฉันหรือเปล่าเนี่ย
“บ้าสิ ถ้าหากฉันโดนตบขึ้นมา บอสจะช่วยฉันมั้ยล่ะ”
“มันเป็นหน้าที่ของเธอ”
“จ่ายมา อย่าโอ้เอ้”
“เลิกงานแล้วค่อยมาเอา” พูดจบประโยคเขาก็เดินหนีไป...ชิ! จากนั้นฉันจึงเดินไปหาพี่คนเมื่อวานที่ดูแลเรื่องพนักงานใหม่ วันนี้ฉันเริ่มงานวันแรกต้องไปรายงานตัวก่อน ห้ามสายเด็ดขาด