บทที่ 5 : ข้อตกลงของแม่
ณ บ้านตระกูลมุราตะ เวลา 17.45 น.
“ยินดีต้อนรับคุณหนูกลับบ้านค่า ~”
เสียงแม่บ้านกล่าวต้อนรับดังระงมลั่นเมื่อฉันก้าวเท้าลงจากรถแท็กซี่ บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เลิกทำแบบนี้สักที โตจนทำงานหาเงินเองแล้วแต่ยังทำเหมือนว่าฉันเป็นเด็กอยู่ได้ แต่จะดุพวกเขาก็ใช่เรื่องเพราะมันเป็นความเคยชินล่ะมั้งที่ทุกคนต้องมารอรับเมื่อฉันกลับบ้าน
“กลับมาแล้วค่า~” ฉันขานตอบกลับทุกคนก่อนจะเดินเข้าไปยังภายในตัวบ้าน
ตระกูลมุราตะ เป็นครอบครัวนักธุรกิจด้านอาหารเสริมและยาอันดับต้น ๆ ของประเทศมาอย่างยาวนานหลายรุ่นจนมาถึงฉันที่ไม่มีความสนใจด้านการบริหารเลยสักนิด แต่โชคดีที่มีพ่อกับแม่เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองชอบ ให้เลือกเรียน เลือกทำงานได้ตามใจต้องการ แต่มีข้อแลกเปลี่ยนหนึ่งอย่างที่แม่เคยร้องขอเอาไว้
จะต้องตามใจแม่เหมือนที่แม่ตามใจฉัน
“กลับมาแล้วเหรอนางฟ้าของแม่ ~” เสียงแหลมเล็กคุ้นหูดังนำหน้าขึ้นมาก่อนที่ตัวจะปรากฏซะอีก เพียงเสี้ยววินาทีแม่ก็เดินออกมาจากห้องอาหาร ส่งยิ้มกว้างพร้อมอ้าแขนรอกอดลูกสาวเพียงคนเดียวของบ้านอย่างฉัน
หมับ!
“คิดถึงจังเลย แม่บินไปรอบโลกตั้งเป็นเดือน” ร่างบางตรงเข้าไปสวมกอดไว้แน่น แล้วพาเดินกลับไปยังห้องที่แม่เดินออกมา
“ไปทำงานจ้า” แม่รีบแก้ข่าวทันทีในขณะที่นั่งลงยังเก้าอี้หัวโต๊ะ
“จ้า ไม่ได้ว่าอะไรเลยรีบแก้ตัวเชียวนะ” หลังจากพาแม่ไปนั่งเรียบร้อย ตัวเองก็เดินมานั่งยังเก้าอี้ข้างกัน ดูเหมือนว่าจะมีแค่แม่นะที่กลับมาพ่อคงติดงานอยู่แน่ ๆ
“กระเป๋าสวยจังเลย ว่าแต่ใบนี้...ผู้ชายที่ไหนซื้อให้เหรอ” แม่สังเกตเห็นกระเป๋าใบหรูที่วางอยู่ข้างฉัน
“ผู้ชายซื้อให้จริงค่ะ แต่ไม่ใช่ผู้ชายของหนูหรอก แล้วทำไมแม่ไม่คิดว่ามิวะจะซื้อเองบ้างล่ะ” ซึ่งมันเป็นเรื่องยากมากที่ฉันจะเอาเงินไปซื้อกระเป๋าราคาแพงขนาดนี้ เพราะเงินเดือนตำรวจไม่ได้มากมายและไม่คิดจะเอาเงินของครอบครัวมาใช้ด้วย
ยังอยากทำอะไรด้วยตัวเอง เพื่อให้ทุกคนเชื่อมั่นว่าฉันสามารถใช้ชีวิตในทางที่ตัวเองเลือกได้
“ของฟรีย่อมดีกว่าเสียเงินเอง คติประจำใจมิวะแม่จำได้ดี” พูดสิบครั้งก็ถูกสิบครั้ง
“สมกับที่เราเป็นแม่ลูกกัน แล้วพ่อล่ะคะไม่ได้กลับมาด้วยเหรอ”
“พ่อยังเคลียร์งานที่ไต้หวันอยู่เลย ความจริงบ้านของเราช่วงนี้งานเยอะมาก” พูดเหมือนมีนัยยะอะไรบางอย่าง
“พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงคะ พูดออกมาเลยตรง ๆ ดีกว่า” อ้อมค้อมไปไม่มีประโยชน์แล้วแหละ
“เล่นเป็นคุณตำรวจเบื่อยังจ๊ะนางฟ้าของแม่” คำถามแปลก ๆ เริ่มทำฉันหายใจไม่ทั่วท้อง
“ยังค่ะ มิวะพึ่งบรรจุเข้ามาได้ไม่นานเองนะ”
“แต่แม่เป็นห่วง แม่คิดว่าเดี๋ยวมิวะก็คงเบื่อแน่ ๆ ทั้งเรียนหนัก ทำงานก็หนักและเราก็มีลูกแค่คนเดียวนะ ถ้าไม่ใช่มิวะมาดูแลทุกอย่างต่อเราก็ไม่มีใครแล้ว ทุกอย่างต้องจบลงในรุ่นของมิวะ” แม่พูดด้วยสีหน้าเศร้า ทำไมมันเร็วแบบนี้ล่ะ
“งานมิวะไม่ได้เหนื่อยหรอก ยังไม่เก่งพอที่จะออกไปสืบคดีข้างนอก ตอนนี้โดนขยับมาเป็นเลขาหัวหน้าหน่วยคนใหม่แล้วด้วย” ฉันพยายามอธิบายให้แม่เข้าใจ รู้ดีว่าเรื่องธุรกิจของบ้านตัวเองต้องการคนสืบต่อแต่ฉันยังไม่พร้อมจะเข้ามาเรียนรู้
“แบบนั้นก็ยิ่งไม่ชอบเข้าไปใหญ่เลยสิ” แม่ยกมือขึ้นเท้าคางแล้วส่งยิ้มหวานมาให้
“....” ฉันทำเพียงเงยหน้าขึ้นสบตากับแม่ตัวเอง
“มิวะไม่ชอบงานเอกสาร ไม่ชอบความจำเจที่ต้องทำอะไรเดิม ๆ ทุกวันแล้วเป็นเลขาหัวหน้าแบบนี้ยิ่งต้องอยู่ใต้คำสั่งอีกฝ่ายตลอด มิวะไม่ชอบอะไรแบบนี้เอาซะเลยใช่มั้ยล่ะ” ที่พูดมาก็ถูกอีกนั่นแหละ ฉันอยากเข้าหน่วยพิเศษเพราะชอบความตื่นเต้น แม้ว่าความจริงตัวเองจะเป็นคนที่ขี้กลัวมากก็ตาม
“แต่งานบริหารก็ต้องอยู่กับเอกสาร แล้วก็อยู่กับอะไรที่จำเจ”
“จำเจที่ไหน บินไปทำงานแทบจะทั่วโลกและมันก็เหมือนเราได้เปิดหูเปิดตาด้วยนะ”
“....” ฉันเริ่มคิด วิเคราะห์ตามในสิ่งที่แม่พูด
“แล้วหัวหน้าสายงานนี้แต่ละคนก็...” ต่อให้แม่ไม่พูดต่อฉันก็พอจะรู้ บ้าอำนาจทั้งนั้น แม้จะยังไม่รู้ว่าคนใหม่จะเป็นยังไง แต่ระดับลูกรองรัฐมนตรีตระกูลใหญ่ก็คงเหมือนกันนั่นแหละ
“เรื่องนี้เอาไว้ก่อนก็แล้วกันนะคะ เอาไว้จนสุด ๆ แล้วมิวะไปไม่รอดจะมาบอกแม่แล้วกันนะ”
“จ้า แม่ไม่บังคับมิวะอยู่แล้ว”
“ไม่บังคับแต่หว่านล้อมเก่ง” ในระหว่างที่เรากำลังพูดคุยกันไปเรื่อยตามประสาแม่ลูก แม่บ้านก็เริ่มทยอยนำอาหารมาจัดเรียงบนโต๊ะ
“มิวะจ๊ะ”
“คะ” ฉันหันมองไปตามเสียงเรียก วันนี้รู้สึกกลัวแม่ยังไงก็ไม่รู้ เหมือนจะมีเรื่องอะไรเข้ามาอีก
“จำคำสัญญาของเราได้มั้ย แม่ตามใจมิวะ มิวะก็ต้องตามใจแม่”
“ค่ะ แม่จะให้มิวะทำอะไรเหรอ” ฉันถามกลับด้วยความสงสัย ในขณะที่มือจับส้อมขึ้นมาจิ้มลงบนจานผักก่อนจะนำมันเข้าปาก
“ไปดูตัวกับลูกชายเพื่อนแม่หน่อย”
เคร้ง! ส้อมในมือร่วงหล่นลงกระทบจาน เรี่ยวแรงที่มีถูกดูดหายไปจนหมดเพียงเสี้ยววินาที
“....” ดูตัว...
“มิวะยี่สิบห้า เป็นช่วงวัยที่แม่คิดว่าหนูจะต้องมีใครสักคนเข้ามาดูแล”
“มิวะดูแลตัวเองได้ค่ะ มิวะดูแลตัวเองเก่งมาก ๆ” เก่งมั้ยไม่รู้แต่มั่นใจไว้ก่อนว่าฉันเก่ง
“....” รอยยิ้มบนใบหน้าของแม่หายไปทันที สิ่งที่แสดงออกตอนนี้ไม่ได้โกรธที่ฉันปฏิเสธแต่แม่กำลังเศร้า
“มิวะไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะยังมีอยู่ในสังคมปัจจุบันนะ”
“...แม่ก็แค่เป็นห่วงลูกสาวเพียงคนเดียวของแม่เท่านั้น แล้วเรื่องนี้ไม่ใช่ว่าแม่คิดเองคนเดียวหรอกนะปรึกษาพ่อมาเรียบร้อยแล้วเช่นกัน พวกเราไม่ได้อยู่กับลูกไปตลอดชีวิตเป็นร้อยปี” แม่พูดด้วยน้ำเสียงเศร้า ซึ่งนั่นส่งผลต่อฉันอย่างมากที่กำลังผิดสัญญาที่เคยให้ไว้กับแม่
“....” เอายังไงดีมิวะ แม่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แล้ว
“แม่ให้เอสเอเตรียมกระเป๋าไว้ให้มิวะด้วยนะ แม่ให้เลยคอลเลคชั่นใหม่ล่าสุดเป็นของขวัญแก่ลูกสาว” คอลเลคชั่นไหน? แล้วฉันมีหรือยัง? แต่ของฟรียังไงก็เอาไว้ก่อน
“ก็ได้ วันไหนคะ”
“อาทิตย์หน้าจ้ะ มิวะน่ารักที่สุดเลย ผู้ชายที่แม่เลือกให้หล่อ ดูดี เหมาะสมกับลูกสาวเพียงคนเดียวของแม่ที่สุด” ทันทีที่ฉันตกปากรับคำ รอยยิ้มของแม่ก็กลับมาสดใสเช่นเดิม ยังไม่ทันได้เห็นกับตาก็ได้คำการันตีด้วยความมั่นใจจากแม่แล้วว่าหล่อ
ก็แค่ดูตัวใช่มั้ยล่ะ...แค่เจอหน้ากันแล้วก็จบไปเท่านั้น