บทที่ 4 : ห้องทำงานใหม่
ณ ห้องทำงานหัวหน้าหน่วยสืบสวนสอบสวนที่ 3
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
มือเล็กยกขึ้นเคาะประตูกระจกสีดำทึบไม่เห็นแม้แต่เงาสะท้อนของตัวเอง เป็นการขออนุญาตตามมารยาทก่อนจะเข้าห้องบุคคลที่เป็นหัวหน้า แต่ดูท่าแล้วมารยาทที่เอามาใช้จะไม่ได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกันกลับมา มือทั้งสองกำราวเหล็กรถเข็นแน่นรอให้ประตูเปิดราวเกือบ 10 นาที
นิ่งสงบ...ตั้งใจกวนประสาทกันหรือเปล่าเนี่ย!
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
ฉันเก็บความหงุดหงิดไว้ในใจแล้วยกมือขึ้นเคาะประตูซ้ำอีกครั้ง แต่สิ่งที่ได้กลับมายังมีเพียงความเงียบ
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
“เปิดประตูด้วยค่ะ...คุณหัวหน้าที่สุดแสนจะน่ารำคาญ” ประโยคหลังแผ่วเบา ฉันไม่ได้มีความเก่งกล้ามากพอจะพูดมันออกเต็มเสียง แม้ว่าในใจอยากจะตะโกนออกไปให้รู้แล้วรู้รอดก็ตาม
“ได้ยิน” เสียงทุ้มกระซิบข้างหูทำฉันสะดุ้งสุดตัวแล้วหันไปตามเสียง สิ่งแรกที่เห็นคือนัยน์ตาสีดำที่จ้องมา ลมหายใจร้อนเพราะใบหน้าของเราอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่เซนติเมตร
ปึก! โครม!
ร่างบางก้าวเท้าขยับตัวออกห่างอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วและด้วยความไม่ระวังตัว ทำให้ถอยไปชนรถเข็นที่ขนของมาล้มลงกับพื้นทำให้เกิดเสียงดังสนั่นทั่วบริเวณ โชคดีที่ทุกอย่างอยู่ในกล่อง มันเพียงตกลงจากรถเข็นเท่านั้นไม่ได้กระจัดกระจายสร้างความลำบากให้ฉันไปมากกว่านี้
“ซุ่มซ่าม” เขาพูดด้วยระดับเสียงปกติ สายตาที่มองมานั้นก็ไม่แสดงออกทางอารมณ์ใด ๆ เช่นกัน
“คุณเก็นไม่ควรเข้ามายืนชิดมิวะขนาดนี้นะคะ แล้วในสถานที่แบบนี้ด้วยไม่คิดว่าจะมีคนมาเห็นหรือไง...เอาหน้ามาซะใกล้”
“เธอหันมาเอง ฉันไปบังคับคอให้หันมาหรือไง” อ่าว...
“แต่คุณเก็นเอาหน้ามาใกล้มิวะก่อน” ฉันเถียงกลับอย่างไม่ยอมแล้วเดินไปยกรถเข็นขึ้น ซึ่งผู้ชายที่ตัวโตกว่ากลับยืนมองโดยไม่คิดจะเข้ามาช่วยสักนิด
ตัวเองเป็นหัวหน้าฉันนะ!
เขาไม่ต่อปากต่อคำให้เสียพลังงาน ร่างสูงยกมือขึ้นใช้นิ้วชี้กดลงบนจอสแกนนิ้วให้ประตูเปิดออกแล้วเดินนำเข้าไปในห้องทำงาน ประตูถูกล็อกให้อ้าค้างไว้แบบนั้น ฉันรีบยกลังขึ้นตั้งบนรถจนครบแล้วเข็นเข้าไปในห้องจากนั้นจึงกดปุ่มปิดประตู
ครืด! ติ้ด!
บรรยากาศภายในห้องมีเพียงความเงียบและไม่น่าอยู่เอาเสียเลย เพราะมีอีกคนอยู่ด้วยนี่แหละ ฉันเข็นรถตรงไปยังโต๊ะมุมห้องซึ่งเป็นโต๊ะของเลขา ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมพวกระดับหัวหน้าต้องมีเลขาจากการเลือกคนภายในหน่วยโดยไม่ถามความสมัครใจ แต่อีกฝ่ายก็เป็นคนที่ยศใหญ่ฉันก็ไม่กล้าปฏิเสธคำสั่งเหมือนกันนั่นแหละ
แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นฉัน!
“ทำไมต้องเป็นมิวะคะ?” ด้วยความข้องใจจึงถามออกไปตรง ๆ ตอนนี้ทางสะดวกมากพอที่ฉันจะพูดอะไรก็ได้แล้ว
“....” อีกฝ่ายไม่สนใจสิ่งที่ถามสักนิด
“คนอื่นที่เก่งกว่ามีเยอะแยะ”
“....” เขาเอาแต่จ้องมองหน้าจอโน้ตบุ๊กตรงหน้าอยู่แบบนั้น
“มิวะไม่เชื่อหรอกว่าคุณเก็นเลือกเลขาอย่างที่พูดต่อหน้าคนอื่น คุณเก็นแค่อยากแกล้ง” ในเมื่อเขาเอาแต่นิ่ง ฉันก็จะยืนจ้องเขาอยู่แบบนี้แหละ
“รู้ตัวก็ดีเรื่องที่คนอื่นเก่งกว่า จะได้เอาเวลาเถียงฉันไปพัฒนาตัวเอง” หลังจากเงียบมาสักพักเขาก็เปิดปากพูด แต่สายตายังให้ความสนใจที่งาน
“....” ควรให้เงียบแบบเดิมก็ดีอยู่แล้ว เปิดปากพูดออกมาแต่ละทีไม่รักษาหน้ากันบ้างเลย!
“แล้วฉันก็ไม่ได้อยากเลือกเธอเหมือนกัน” ที่คิดไว้ไม่มีผิด
“แล้วเลือกทำไม” คำถามที่ฉันย้อนกลับไปหา ทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมามองในที่สุด
“คำขอของเซริน”
“...” พี่เซรินขอมางั้นเหรอ? แสดงว่ารู้เรื่องที่เขาจะรับตำแหน่งหัวหน้าหน่วยอยู่แล้วสินะ
“เซรินยังเป็นห่วงก็เลยฝากมาแต่ให้เป็นเลขาไม่นานหรอกรำคาญ ส่วนเธอช่วยเห็นความเป็นห่วงคนอื่นบ้างไม่ใช่คอยแต่คิดว่าคนอื่นเขาจะแกล้ง”
“....” ริมฝีปากบางเม้มแน่น พูดอะไรออกมาไม่ถูกเลย
“หยุดสงสัย หยุดพูดมากแล้วไปทำงาน” พูดจบเขาก็ละสายตาจากหน้ามองกลับไปยังงานของตัวเองตามเดิม
“ค่ะ...ขอบคุณนะคะที่ไปส่งมิวะคืนนั้นด้วย”
“....” ไม่มีเสียงตอบกลับมา พอพูดดีด้วยก็ทำตัวแบบนี้ทำตัวน่าหมั่นไส้...
“ได้ยินที่มิวะพูดมั้ยคะ” ด้วยความข้องใจจึงถามย้ำออกไปและสิ่งที่ได้กลับมา...
“ได้ยิน ได้ยินจนรำคาญมาก ๆ เมื่อไหร่จะเงียบ” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรำคาญ
“ทำไมต้องดุด้วยล่ะคะ มิวะก็แค่ขอบคุณที่คุณเก็นไปส่ง”
“อือ” อีกฝ่ายส่งเสียงตอบกลับในลำคอ ในระหว่างที่กำลังพิมพ์อะไรบางอย่างลงในโน้ตบุ๊ก
“มิวะไม่ได้ทำอะไรแปลก ๆ ใช่มั้ย” คำถามของฉันทำเอามือที่กำลังพิมพ์อยู่นั้นชะงักและหันมามอง
“จะไปทำงานได้หรือยัง จะให้พูดอีกกี่ครั้งว่ารำคาญ”
“ค่ะ รับทราบค่ะ! มิวะจะรูดซิปปากให้สนิท!” ฉันกระแทกเสียงใส่เขาอย่างไม่พอใจแล้วเริ่มจัดโต๊ะทำงานของตัวเอง พูดดี ๆ ด้วยก็เป็นแบบนี้!
ผู้หญิงในหน่วยงานเอาตาส่วนไหนดูว่าเขาเป็นคนดี สมแล้วแหละที่พี่เซรินไม่ชอบ!
2 ชั่วโมงต่อมา
“ไปบอกทุกคนด้วยว่าวันศุกร์ฉันจะมีงานเลี้ยงที่บ้าน หลังเลิกงานก็ไปกันได้เลย” หลังจากเข้าสู่ความเงียบสงบมาราว 2 ชั่วโมงในที่สุดหัวหน้าของฉันก็อ้าปากพูด
“....” อีก 3 วันข้างหน้าสินะ ได้ยินแล้วแหละแต่ไม่อยากตอบสายตาจดจ้องยังเอกสารคดีด้วยความตั้งใจ
“ได้ยินหรือเปล่า” เขาถามย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงดุ
“ได้ยินค่ะ มีหูสองข้างได้ยินชัดแจ๋ว” เสียงเล็กตอบกลับทั้งที่ยังสนใจแค่งาน ทำมาเป็นทำเสียงไม่พอใจใส่ทั้งที่ตอนตัวเองทำยังไม่นึกถึง
“แล้วทำไมไม่ตอบตั้งแต่ทีแรกที่พูด”
“ทีตอนมิวะถามคุณเก็นยังไม่ตอบในทันทีเลยค่ะ แล้วพอมิวะพูดคุณเก็นก็บอกว่ารำคาญ พอเงียบก็ถามว่าทำไมไม่พูด” ครั้งนี้ฉันหันไปสบสายตากับผู้ชายที่นั่งอยู่ยังโต๊ะทำงานใหญ่
“จะร่ายยาวเพื่อ?”
“อธิบายให้เข้าใจความรู้สึกของคนอื่นบ้าง” จากตอนแรกเสียงแข็งใส่ตอนนี้เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาแล้ว ฉันก็ลืมไปเลยว่าตอนนี้เขาเป็นหัวหน้าของตัวเองอย่างสมบูรณ์แล้ว บุคคลที่ไม่ควรต่อปากต่อคำด้วยมากที่สุดแม้ว่าที่ผ่านมาจะทำมาตลอดก็ตาม
“ไม่ได้ร้องขอ ไปทำในเรื่องที่สั่งก็พอ”
“ค่ะ” วันแรกยังไม่ผ่านพ้นไปก็รู้สึกเหมือนจะขาดใจตายแล้ว!
ก่อนเวลาเลิกงาน ณ ส่วนสำนักงานของหน่วยที่ 3
“มิวะมีข่าวมาแจ้งค่า ~” เสียงหวานส่งเสียงพร้อมกับปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าทุกคนในหน่วย ทุกสายตาจับจ้องมาและรอฟังสิ่งที่ฉันกำลังจะพูดต่อ
“หัวหน้าเก็นแจ้งว่า วันศุกร์นี้จะมีงานเลี้ยงสำหรับพวกเราในหน่วยสามที่บ้านของหัวหน้า ขอให้ทุกคนไปเจอกันที่บ้านตระกูลไดอิจิได้เลยเมื่อเลิกงาน แต่หลังไหนเดี๋ยวจะส่งแผนที่เข้าในกลุ่มแชตของหน่วยอีกทีนะคะ สิ้นสุดการรายงานและการทำงานเพียงเท่านี้มิวะขอตัวกลับบ้านก่อน บาย ~” เมื่อทำหน้าที่ของตัวเองเรียบร้อยก็เดินออกจากจุดนั้นทันที ปล่อยทุกคนดีใจกับงานที่กำลังจะมีขึ้น วันนี้ต้องรีบกลับบ้านหน่อยเพราะแม่เรียกให้ไปหาที่บ้านไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไร
ส่วนงานเลี้ยงนั่นฉันไม่ไปได้มั้ยเนี่ย...แค่วันแรกก็จะขาดใจตายอยู่แล้ว!