9. กัดฟัน[ข่มใจ]
เหวินโหรวหยุดเดินเมื่อได้ยินเสียงทักทาย เขามองกลับไปก็เห็นบุรุษรูปร่างสง่าคุ้นตา เพราะยามที่เขาเข้าวังหรือทำงาน ก็มักจะเห็นอีกฝ่ายอยู่บ่อยๆ จนนับว่าเป็นคนรู้จักคุ้นเคยกันไปแล้ว เพราะมีอายุเท่ากัน
“ใต้เท้าหวง ท่านเองก็ยังมามีหรือที่ข้าจะพลาด” ตอบด้วยถ้อยคำเย้าอย่างเป็นมิตร
“เช่นนั้นก็อย่ารอช้าเลย รีบเข้าไปในงานเถอะ ได้ยินว่าตลอดเส้นทางเดิน มีการแสดงมากมายเชียว” หวงเส้าจื่อเอ่ยกับสหายใหม่ในเมืองหลวง ก่อนจะหันมาเห็นสตรีตัวน้อยที่ยืนจ้องเขาอยู่ ใจแกร่งเต้นรัวในทันที เขายืนนิ่งไม่ไหวติงราวกับเป็นรูปปั้นเสียอย่างนั้น
“นี่คือน้องสาวของข้า ใต้เท้าหวงเคยพบนางแล้ว ในวันที่คนร้ายบุกเข้าจวน เราเข้าไปในงานกันเถอะ” เอ่ยจบเขาก็หันมาจับแขนคนน้องให้เดินต่อ
“นายท่านนางคือบุตรสาวของสตรีผู้นั้นหรือขอรับ” จงจวิ้นกระซิบทันที เส้าจื่อเผยยิ้มร้ายออกมาก่อนจะเดินเข้าไปประชิดอีกข้างของไป่อิง
“วันก่อนไม่มีโอกาสทักทายทำความรู้จักกับคุณหนูสาม วันนี้ข้าช่างโชคดีนัก” ใต้เท้าหนุ่มเอ่ยเสียงหวาน หมายจะหลอกล่อให้สตรีตัวน้อยติดกับ ซึ่งไป่อิงก็สวมบทบาทคุณหนูผู้ไม่ประสาเช่นกัน
“หึ! ข้าบอกไม่ได้หรอกว่าวันนี้เจ้าโชคดี หรือโชคร้ายที่เจอข้าเส้าจื่อ เพราะมันอาจจะเป็นวันสุดท้ายของเจ้าก็เป็นได้” เสียงเย้ยหยันในหัวดังก้อง นางอยากฆ่าเขาให้ตายเสียตรงนี้เลย แต่ถ้าทำเช่นนั้นก็ดูจะโจ่งแจ้งไปหน่อย
“ขออภัยใต้เท้าที่ข้าน้อยไม่รู้จักท่าน ไป่อิงอยู่แต่ในจวนไม่เคยได้ออกไปที่ใดเลยเจ้าค่ะ แต่ก่อนมักจะเจ็บป่วยบ่อยๆ อย่างที่ทุกคนรู้กัน” กล่าวเสียงหวานกับอีกฝ่าย แต่เส้าจื่อในยามนี้กำลังยืนนิ่ง ตั้งแต่ได้ยินชื่อการแทนชื่อของนางแล้ว มันทำให้เขานึกถึงใครบางคนขึ้นมา
“ข้าน้อยเอ่ยสิ่งใดผิดไปหรือเจ้าคะ” แสร้งถามไปเช่นนั้นเอง เหวินโหรวซึ่งยืนฟังอยู่ก็แปลกใจเช่นกัน
“ปะ..เปล่าข้าแค่นึกถึงคนรักที่ตายไปเมื่อเกือบสองเดือนก่อน นางมีนามเช่นเดียวกับคุณหนูสาม มันเลยทำให้ข้ารู้สึกเศร้าใจขึ้นมา” เสียงสั่นเครือเปล่งออกมา ทำเอาคนรอบข้างต่างก็หน้าเสียหดหู่ใจตามไปด้วย
ต่างจากสตรีตัวน้อยที่ยกยิ้มมุมปาก มองการกระทำอันเสแสร้งจอมปลอมของคนผู้นี้ เพราะทุกอิริยาบถที่เขาทำในคืนนั้นไป่อิงจำมันได้ดี เส้าจื่อเลือดเย็นสุดเกินจะบรรยายในความคิดนาง คมมีดที่เขากดลงบนอกนางนั้น ไป่อิงยังจำความรู้สึกนั้นได้ไม่ลืมเลือน หากจะฆ่าเขาให้ตายในคราวเดียวมันคงจะดูง่ายเกินไป
“ใต้เท้าคงจะรักแม่นางผู้นั้นมากสินะเจ้าคะ” เสียงของเหม่ยหลินดังขึ้น เพราะเดินย้อนกลับมาทันได้ยินพอดี แต่เส้าจื่อไม่ได้ตอบอันใด เพราะเขากำลังโศกเศร้ากับสิ่งที่กำลังนึกถึงอยู่ ซึ่งไม่มีใครรู้ว่ามันจริงหรือเท็จกันแน่
“ใต้เท้ารักไป่อิงมากขอรับ คบหากันมาร่วมสี่ปี แต่นางมาตายเพราะบิดาขัดแย้งกับพวกค้าเกลือเถื่อน คนตระกูลจางก็เลยถูกลูกหลง ตายกันยกครัวขอรับ” จงจวิ้นเอ่ยแทน เมื่อเห็นผู้เป็นนายยังนิ่งไม่เปล่งวาจาใดออกมา
ไป่อิงยิ้มเหยียดมองอีกฝ่าย ดวงตาสวยหรี่ลงเล็กน้อย แต่ด้านในนั้นมันเต็มไปด้วยความแข็งกร้าว สองมือที่วางทับกันอยู่ยามนี้บีบเข้าหากันแน่น นางเหมือนตกอยู่ในห้วงแห่งอารมณ์จนเกือบจะหลุดคุมตนเองไม่อยู่ เมื่อต้องทนเห็นคนผู้นี้แสดงละครตบตาผู้คน ราวกับเขานั้นเป็นคนดีเสียเหลือเกิน แต่ความจริงโหดเหี้ยมยิ่งนัก
“พวกเจ้ามายืนออกันทำไมตรงนี้ ไม่เห็นหรือว่าท่านอ๋องและองค์ชายเสด็จมา” ฟางเฟิงองครักษ์คนสนิทของจิ่งอ๋องส่งเสียงดุมาทันที ก่อนที่ขบวนรถม้าจะมาจอดเทียบ
“พี่ชิงหงเราเดินเข้าไปในงานกันเถอะ”
“เอ๋! ไม่รอไปพร้อมทุกคนหรือเจ้าคะ”
“ไม่” ตอบเพียงเท่านั้น ร่างเล็กของไป่อิงก็หันหลังให้กับทุกคน ซึ่งกำลังรอรับเสด็จราชนิกูลอยู่
ชิงหงวิ่งตามผู้เป็นนายไปทันที เป็นจังหวะที่จิ่งอ๋องออกมาจากรถม้า เขาทันได้เห็นสตรีตัวน้อยเดินเลี่ยงผู้คนเข้างาน ริมฝีปากหนายกยิ้ม ก่อนจะหันมาพยักหน้ารับผู้ที่คำนับเขาและพระนัดดาอยู่เบื้องล่าง
“ตามสบายเถอะ ไม่ต้องใส่ใจพวกเราหรอก” องค์ชายรองซ่งเทียนเอ่ยขึ้น ยามนี้เขามีสิทธิ์ในราชบัลลังก์มากที่สุด หลังจากที่พระเชษฐาสิ้นพระชนม์ไปเมื่อครึ่งปีก่อน ด้วยโรคประหลาดที่เป็นมานานนับปี
เมื่อผู้เป็นเจ้านายลงมาจนหมดแล้ว ทุกคนก็ถอยเปิดทางให้ ยามนี้เองเหวินโหรวจึงได้รู้ว่าไป่อิงหายไป เขาจึงรีบออกตามหาทันทีด้วยความเป็นห่วง จิ่งอ๋องมองตามร่างสูงของลูกน้องในหน่วยก็รู้ได้เลยว่าร้อนใจเรื่องใด
“หยางจินเจ้าไปทำงานให้ข้าที” เขาเอ่ยกับคนสนิทแล้วกระซิบบางอย่าง ก่อนจะเดินเข้าไปในงาน
เหม่ยหลินรีบตามไปเช่นกัน เมื่อมีโอกาสดีเช่นนี้นางก็ควรจะคว้าเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นองค์ชายทั้งสามหรือจิ่งอ๋อง นางก็ยินดีทั้งนั้นเพราะอยากใช้ชีวิตสูงส่งกับเขาบ้าง
ต่างจากคนที่เดินหนีจนมาสุดถนนด้วยความเร็ว จนไม่ได้ดูการแสดงที่มีตลอดเส้นทางเลย ชิงหงได้แต่งุนงงกับท่าทางของผู้เป็นนาย เพราะดูเหมือนจะโมโหโกรธเกรี้ยวให้ใครสักคนอยู่ จนยามนี้ใบหน้าแดงก่ำดูน่ากลัวยิ่งนัก แต่นางก็ยังเดินตามไปนั่งอยู่ข้างๆ ตรงบันไดริมคลองน้ำ
“คุณหนู มีอะไรคับแค้นใจบอกพี่ได้นะเจ้าคะ บนแผ่นดินนี้ก็เหมือนว่ามีแค่เราสองคนแล้วนะ อย่าเห็นพี่เป็นคนอื่นได้หรือไม่” น้ำเสียงนั้นสั่นเครืออย่างเห็นได้ชัด ทำเอาไป่อิงรู้สึกผิดไม่ได้ ที่ทำให้คนที่รักและหวังดีต้องห่วงกังวล แต่ใจหนึ่งนางก็คิดว่าคนที่ชิงหงเอ่ยด้วยก็คืออิงอิง หาใช่ตนที่มาอาศัยร่างนี้ไม่
“ข้าไม่เป็นไร เอาไว้สักวันข้าจะบอกพี่นะ” ใบหน้าหวานเผยยิ้มออกมาเล็กน้อย เพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ
“เช่นนั้นเราไปปล่อยโคมกันนะเจ้าคะ มีเรื่องใดให้ครุ่นคิดก็ปล่อยให้มันลอยไปกับโคมนี่แหละ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายยิ้มได้ สาวใช้คนสนิทก็รีบชักชวนไปทำเรื่องสนุกทันที ไป่อิงจึงได้แต่เดินตามแรงจูงของชิงหง ก่อนจะซื้อโคมไปปล่อยที่สะพาน ซึ่งตรงนี้ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน เพราะไปดูการแสดงข้างในกันหมด
ไป่อิงยืนจับคนละข้างกับสาวใช้ ก่อนจะหลับตาอธิษฐานเพียงครู่ แล้วค่อยๆ ปล่อยมือพร้อมกัน ทั้งสองยืนมองพร้อมกับยิ้มร่าเช่นเด็กน้อย
“คุณหนูขออะไรเจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยถามทันที
“ไม่บอก เดี๋ยวจะไม่สมหวัง” เอ่ยเย้าคนสนิท แล้วก็เดินหัวเราะอารมณ์ดี ก่อนที่เท้าเล็กจะหยุดชะงักเมื่อเจอใครบางคนกำลังเดินขึ้นมา ชิงหงซึ่งยืนอยู่ข้างผู้เป็นนายก็ถูกรั้งแขนให้เดินไปรอที่ด้านล่างแทน
“ข้าก็อยากปล่อยโคม ช่วยจับหน่อยสิ” เอ่ยบอกพร้อมกับส่งกระดาษในมือให้คนตรงหน้า
“เหตุใดไม่ปล่อยกับคนของท่านอ๋องล่ะเพคะ” ย้อนถามทันที แม้ในมือยามนี้จะถือโคมของอีกฝ่ายอยู่ก็เถอะ ก็เขาดันยัดใส่มาให้ จะปล่อยลงก็เกรงว่าจะขาดเอาได้
“เป็นบุรุษปล่อยโคมกับบุรุษคนก็จะครหาเอาน่ะสิ” ว่าพร้อมกับจุดไฟด้านในไปด้วย พอมันลุกไหม้เขาก็กุมมือเล็กที่จับอยู่ทันที เสียงถอนหายใจดังขึ้นจากฝั่งตรงข้ามเพียงเท่านั้นซานหลางก็ขำออกมาเบาๆ เพราะรู้อยู่แล้วว่าคนตัวเล็กไม่ได้เต็มใจ แต่เป็นเพราะนางขัดอำนาจเขาที่มีไม่ได้ จึงจำต้องยอมให้เขาตอดเล็กตอดน้อย
แต่ยิ่งนางเป็นเช่นนี้ เขาก็ยิ่งอยากแกล้ง เวลาที่เห็นนางหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่ มันทำให้เขารู้สึกกระชุ่มกระชวยอย่างไรก็บอกไม่ถูก รู้แต่ว่าเห็นแล้วก็อยากแกล้ง เช่นตอนนี้ที่เขาไม่ยอมปล่อยมือนาง
“ท่านอ๋องมันร้อนนะเพคะ พระองค์คิดจะอธิษฐานเอาทุกอย่างบนโลกนี้เลยหรือ” เสียงตำหนิดังขึ้น เพียงเท่านั้นโคมไฟสีแดงก็ถูกปล่อยขึ้นฟ้า
แต่เจ้าของมันไม่ได้มองขึ้นไปด้านบน เพราะมัวแต่จ้องใบหน้างามตรงหน้าเสียมากกว่า ทำเอาคนตัวเล็กถึงกับไปไม่เป็น เพราะอีกฝ่ายสง่างามเป็นอย่างมาก อาภรณ์ที่เขาสวมใส่มันก็ดูน่าเกรงขาม ยิ่งลายปักมังกรทองบนเสื้อคลุมสีดำสนิทที่เขาสวมทับ มองดูแล้วก็ดุดันไม่ต่างจากจิ่งอ๋องผู้นี้เลย
ใบหน้าก็รูปงามคมคาย แม้อายุจะสามสิบแล้วก็เถอะ หนุ่มๆ รุ่นไป่อิงยังสู้ไม่ได้เลย “ไม่แปลกใจเลยกับคำเรียกที่ว่า จิ่งอ๋องคือบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ไม่ผิดจริงๆ” มัวแต่นึกในใจ จนไม่ทันสังเกตุว่าอีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้แล้วในยามนี้
“จ้องเพียงนี้ ตกหลุมรักข้าแล้วหรือ” ซานหลางเปล่งเสียงเย้าคนตัวเล็กข้างหู ทำให้นางได้สติรีบหันไปเพราะตกใจทันที ริมฝีปากอิ่มและจมูกเรียวสวย ชนเข้ากับแก้มเขาทันทีโดยไม่ตั้งใจ แต่คนตัวโตก็กะระยะเอาไว้แล้วจึงไม่ยอมถอยใบหน้าหนี รอแค่นางขยับเท่านั้น
“อ๊ะ!..นี่ท่าน ชิ!แค่นี้ก็เอาหรือท่านอ๋อง ท่านนี่!” ได้แต่ยกนิ้วชี้หน้าอีกฝ่าย เพราะทำอะไรไม่ได้ แต่สุดท้ายไป่อิงก็ระบายอารมณ์กับเท้าของเขา ด้วยการเหยียบลงไปหนักๆ ก่อนจะรีบวิ่งหนีไปอีกทาง ซึ่งไม่มีคนของเขาดักอยู่
“คุณหนู จะไปไหนเจ้าคะ” ชิงหงตะโกนถามเพราะยามนี้อยู่กันคนละฝั่ง แม้ในใจจะกลัวหัวหลุดจากบ่าก็เถอะ ก็ผู้เป็นนายดันไปทำเช่นนั้นกับท่านอ๋องเสียได้
“ส่งนางกลับจวน เจ้าสองคนไปกับข้า” สั่งแล้วก็รีบตามคนตัวเล็กไปทันทีใช่ว่าจะตามไปเอาคืน แต่ซานหลางอดเป็นห่วงนางไม่ได้ เรื่องแผนผังก็ยังไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นจะยอมยุติหรือไม่ เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังตามสืบและอยากได้มันมา คนอื่นก็คงคิดไม่ต่างกัน
ไป่อิงเดินลัดเลาะไปตามตรอก ซึ่งฝั่งนี้ดูเงียบเหงามาก เพราะผู้คนกำลังดูการแสดงกันอีกฝั่ง ในใจก็นึกห่วงสาวใช้อยู่ แต่ก็เชื่อว่าจิ่งอ๋องคงไม่ลงโทษนางหรอก เมื่อนึกถึงตรงนี้สองเท้าก็หยุดชะงัก “เราไม่ควรเชื่อใจใคร”
ไป่อิงเตือนสติตนเอง แต่พอตั้งท่าจะหันกลับ ก็ได้ยินเสียงพูดคุยกันแว่วมาจากตรอกข้างหน้า ร่างเล็กจึงมองหาที่เหมาะๆ เพื่อจะปีนหลังคา พอเห็นถังไม้ตั้งอยู่จึงวิ่งไปสปริงตัวเหยียบแล้วหมุนตัวขึ้นไปอย่างแผ่วเบา ทำเอาผู้ที่ตามมาถึงกับยืนชะงักนิ่งงันเมื่อเห็นเช่นนั้น
“นั่นคุณหนูสาม” หยางจินชี้นิ้วไปยังหลังคาเรือน ซึ่งยามนี้มีร่างเล็กกำลังไต่ไปเรื่อยๆ ราวกับนางกำลังตามบางสิ่งอยู่ ซานหลางยกยิ้มก่อนจะทำเช่นเดียวกับคนตัวเล็ก
“เช่นนั้นพวกเราตามไปด้านล่างนี่แหละ” ฟางเฟิงเอ่ย ก่อนจะเดินลัดเลาะตามเสียงไป ซึ่งภาพที่ปรากฎให้เห็นก็คือกลุ่มคนนับสิบ กำลังขนย้ายบางอย่างอยู่ ทุกคนล้วนแต่ถืออาวุธครบมือ บนรถลากก็มีหีบมากมาย
“พวกมันขนสิ่งใดกัน คงไม่ใช่ของใช้เป็นแน่ อาศัยช่วงเวลาที่ไม่ค่อยมีคนเช่นนี้ ในหีบคงเป็นสิ่งที่ให้ผู้คนรู้ไม่ได้เป็นแน่” หยางจินเอ่ยกับสหาย เขาทั้งสองยังตามดูไปจนกระทั่งถึงเรือนใหญ่หลังหนึ่ง ไป่อิงไต่มาตามแนวหลังคา ก่อนจะหยุดลงที่มุมหนึ่งของเรือน ซึ่งมีต้นไม้ใหญ่พอให้บังกายซ่อนเร้นได้
“ไม่กลัวหรือถึงตามพวกมันมาเช่นนี้” ซานหลางตำหนิทันที เมื่อจับตัวนางได้ เขาคิดว่าไป่อิงจะตกใจ แต่เปล่าเลยเมื่อได้ยินสิ่งที่นางเอ่ย
“ไยหม่อมฉันต้องกลัว ท่านอ๋องกับองครักษ์ตามมาด้วย เกิดอะไรขึ้นพระองค์ก็ต้องช่วยอยู่แล้ว จริงไหมเพคะ”
“เจ้าเห็นหรือว่าข้าตามมา” ถามกลับเสียงเบา
“ชิ! ตัวโตขนาดนี้มองไม่เห็นก็บ้าแล้วเพคะ” เอ่ยจบก็หันไปสนใจกลุ่มคนด้านล่าง ซึ่งยามนี้พวกมันกำลังขนหีบเข้าไปในเรือน ซึ่งไม่น่าจะมีคนอยู่อาศัย