ห้วงจันทราลิขิตรัก

84.0K · จบแล้ว
หลินซี
29
บท
19.0K
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

ถูกคนรักหักหลังปักมีดลงกลางใจ จนต้องเกิดใหม่รอบที่สอง ผู้ที่มาจากยุคอื่น จึงไม่อาจทำใจเชื่อในความรักได้อีก เป็นเช่นนี้แล้วเขาจะทลายกำแพงของนางได้สำเร็จหรือไม่ ในเมื่อความแค้นยังคงฝังอยู่ในใจนาง

แก้แค้นรักหวานๆดราม่านิยายจีนโบราณความจำเสื่อมแต่งงานก่อนรักจีนโบราณท่านอ๋อง18+เกิดใหม่

1. ชะตาถูกลิขิต

เมืองจิงซู ยามโหย่ว [17:00-18:59]

จวนท่านเจ้าเมืองจิงซูยามนี้กำลังครึ้กครื้นไปด้วยเสียงดนตรี ซึ่งขับกล่อมยินดีกับงานแต่งของบุตรชายคนโตของตระกูลจาง ไป่อิงยืนมองพี่ชายดื่มสุราใบหน้าชื่นมื่น ก็พาให้มีความสุขตามไปด้วย ก่อนที่มือเล็กจะถูกรั้งให้เดินตามคนรัก ทั้งคู่แอบหนีออกมาจากงานทางประตูหลัง

เดินตามทางลัดเลาะมาเรื่อยจนกระทั่งถึงเรือนพักของคนรัก ซึ่งมันไม่ได้อยู่ห่างไกลกันเลย หวงเส้าจื่อพานางขึ้นมายังชั้นสองของเรือน ซึ่งมีระเบียงยื่นออกไปมองเห็นจวนเจ้าเมืองอย่างชัดเจน ทั้งคู่นั่งมองจันทราซึ่งปรากฏอยู่บนท้องนภา แสงประกายส่องระยิบระยับงดงามนัก ช่างเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขยิ่ง ไป่อิงนึกถึงวันเวลาที่ตนคบหากับเส้าจื่อมันก็นานนับสี่ปีแล้ว และทั้งคู่ก็ได้ฤกษ์แต่งงานกันในอีกสองเดือนข้างหน้า

“คืนนี้จันทราสวยมากเลยเจ้าว่าหรือไม่เส้าจื่อ” ไป่อิงเอ่ยขึ้นแก้เขิน เพราะยามนี้ถูกอีกฝ่ายจ้องจนไม่กะพริบตา เส้าจื่อยกยิ้มมองความไร้เดียงสาของคนรัก ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนรับรู้ถึงลมหายใจอุ่นที่เป่ารดกัน

“ข้ารักเจ้านะไป่อิง” เสียงทุ้มกระเส่าดังขึ้น ก่อนจะแนบริมฝีปากลง ซึ่งมันเป็นคราแรกที่อีกฝ่ายทำเช่นนี้กับนาง ทำเอาร่างเล็กของสตรีที่ไม่ประสาตัวสั่นเทาทันที

เส้าจื่อขบเม้มเบาๆ เพื่อให้นางเปิดปากออก ซึ่งมันก็ง่ายดายเสียเหลือเกิน เพราะใจดวงน้อยมันยกให้คนผู้นี้ไปหมดแล้ว เพียงเท่านั้นคนโตกว่าก็ส่งปลายลิ้นเข้าไปตวัดเกาะเกี่ยวกันทันที ซึ่งคราแรกไป่อิงนั้นถดถอยหนี

แต่พอนานเข้าก็ต่อสู้กลับจนเกิดเสียงดังผสมกับเสียงลมหายใจหอบถี่ของทั้งคู่ ซึ่งเส้าจื่อนั้นกอดรัดคนตัวเล็กเอาไว้แน่น ราวกลับกลัวว่านางจะหนีหายไปเสียอย่างนั้น ก่อนจะผละออกมามองใบหน้าอีกฝ่าย ซึ่งยามนี้นัยน์ตาสวยหยาดเยิ้มเชิญชวนเขาเสียเหลือเกิน

“เรามาซ้อมดื่มเหล้ามงคลสักจอกนะ” เขาเอ่ยก่อนจะเบี่ยงตัวไปรินสุราอย่างที่บอก ไป่อิงได้แต่ยืนยิ้มมองการกระทำของคนรัก พอเขายื่นจอกส่งให้นางก็รับมาอย่างเต็มใจ ทั้งคู่จึงเกี่ยวแขนคล้องกันไว้ สบตาสื่อความรู้สึกที่มีอยู่ข้างใน ซึ่งส่งผ่านออกมาบนแก้มเนียนใสที่แดงก่ำตอนนี้

ไป่อิงยังคงยิ้มหวานให้คนรักเช่นเคยหลังจากดื่มสุราจนหมด ต่างจากเส้าจื่อที่ยกเพียงแค่มุมปากขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับเสียง “หึ!” ในลำคอที่ดังขึ้นมาจนคนฟังใจหาย เขาเดินไปนั่งไขว้ขากระดิกราวกับรอเวลาอะไรสักอย่าง

“เส้าจื่อไยเจ้าถึงทำหน้าเช่นนี้ล่ะ” เอ่ยถามเสียงสั่น เมื่อเห็นคนรักมีท่าทีเปลี่ยนไปจากเดิม

“อ๊ะ!..ทะ..ทำไมตัวขา..ถะ..ถึงได้รู้สึกชาเช่นนี้” เสียงติดขัดสั่นเครือเปล่งออกมา พร้อมกับร่างกายที่รู้สึกเหมือนถูกบีบจนเจ็บไปทั้งตัว ไม่กี่อึดใจนางก็กระอักเลือดออกมา จึงรีบสะกัดจุดตนเองไม่ให้พิษแล่นไปสู่หัวใจ แต่ดูเหมือนว่ามันจะช้าเกินไปร่างเล็กคุกเข่าทรุดลงกับพื้นแล้ว

ความเจ็บปวดเกาะกินใจดวงน้อยทันที บุรุษอันเป็นที่รักมอบสุราพิษให้แก่นาง หาใช่เหล้ามงคลอย่างที่เอ่ยไม่ และสิ่งที่ทำให้ไป่อิงต้องหลั่งน้ำตาหนักกว่าเดิม ก็คือภาพเบื้องหน้าซึ่งมองเห็นเพียงเปลวไฟที่ลุกจ้า แม้สติในยามนี้จะเหลือไม่ถึงครึ่งแต่นางก็รู้ว่านั่นคือจวนสกุลจาง

“หึ!..ไม่ต้องห่วง เจ้าจะได้ตามไปในไม่ช้า” เสียงเย็นชาไร้ซึ่งความอาทรเปล่งออกมา ไป่อิงละสายตาจากแสงไฟที่ลุกโหมเบื้องหน้าหันกลับมาหาคนรักช้าๆ

“ไยเจ้าถึงทำเช่นนี้” เอ่ยถามเสียงแหบพร่าไร้เรี่ยวแรง

“คิดว่าข้ารักเจ้าจริงๆ สินะ ข้าก็แค่หลอกใช้พวกเจ้าเท่านั้น แย่หน่อยที่ต้องทนมานานนับสี่ปี กว่าจะได้ลงมือกับพวกเจ้าเช่นนี้ แต่เพื่องานใหญ่ต่อให้สิบปีข้าก็จะทน”

เอ่ยจบเขาก็ดันร่างนางให้นอนราบลง เส้าจื่อยิ้มร้ายมองหยันคนตัวเล็ก หากให้สู้กันซึ่งหน้าเขาคงไม่อาจเอาชนะได้ เพราะไป่อิงนั้นเก่งกาจฉลาดเฉลียวอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่เป็นเพียงสตรีเท่านั้น

เขาจึงต้องอาศัยความไว้ใจวางยานางในวันนี้ ดวงตาสวยรื่นไปด้วยน้ำใส แล้วมันก็ไหลลงเป็นสายมารวมกันอยู่บนพื้น ไป่อิงมองหน้าบุรุษอันเป็นที่รักด้วยใจที่เจ็บปวด ก่อนจะแหงนขึ้นไปบนท้องนภา ซึ่งยามนี้เหมือนจันทรากำลังจ้องมองคนทั้งคู่อยู่ นางยิ้มบางๆ ออกมาเมื่อรู้ว่าตนนั้นคงไม่รอดแน่ “คิดว่าเกิดใหม่แล้วจะได้เจอรักดีๆ แล้วเสียอีก ไยถึงใจร้ายกับข้านัก” ไป่อิงตัดพ้อโชคชะตาในใจ

เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เส้าจื่อชักมีดสั้นออกจากฝัก ตัวเขานั้นนั่งอยู่บนร่างของไป่อิง ก่อนจะจับกระชับด้ามมีดจนแน่น แล้วกดมันลงตรงอกของนางอย่างเลือดเย็น นัยน์ตาสวยจับจ้องใบหน้าคนรักจนช่วงเวลาสุดท้าย ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบเลือนหายไปในที่สุด

เส้าจื่อมองใบหน้างามที่ไร้ลมหายใจเล็กน้อย เขายันกายออกมาจากร่างเล็ก ก่อนจะก้าวเท้ามานั่งมองภาพเบื้องหน้า ซึ่งยามนี้ไฟที่เคยลุกโหมมันเหลือแต่กลุ่มควัน

“ระหว่างข้ากับเจ้ามันไปด้วยกันไม่ได้หรอกไป่อิง”

ณ เมืองจิงซาง ยามโหยว [17:00-18:59]

นครหลวงของแคว้นหนานโจว ที่นี่มีผู้คนอาศัยอยู่เนืองแน่น มีกำแพงสูงล้อมรอบกินบริเวณกว้างสุดลูกหูลูกตา ระยะทางจากประตูเมืองถึงประตูวังมีความยาวถึง สิบสี่ลี้ [=7กิโลเมตร]

ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาสามารถมองเห็นความสวยงามโอ่อ่าได้จากระยะไกล เรียกได้ว่าหากยืนบนกำแพงเมืองด้านนอก ก็จะเห็นพระราชวังได้อย่างชัดเจน ไม่ต่างจากผู้คนในวังที่สามารถมองลงมายังทิวทัศน์งดงามด้านล่างได้เช่นกัน

และยามนี้บนถนนสายหลักที่จะเข้าเมือง กำลังมีขบวนเกี้ยวเจ้าสาวมุ่งหน้าไปสู่จวนเจ้าบ่าว ซึ่งมีผู้คนยืนเต็มสองข้างทางส่งเสียงพูดคุยกันอย่างคึกคัก เพราะเป็นงานมงคลยิ่งใหญ่ของเมืองในปีนี้เลยก็ว่าได้

จึงทำให้ชาวเมืองต่างก็พากันมารอดูจนแน่นขนัด แทบจะไม่มีที่ยืนกันเลยทีเดียว เพราะเจ้าบ่าวนั้นมาจากตระกูลขุนนางผู้มีอำนาจในเมือง เรียกได้ว่าเหมาะสมทั้งฐานะและชาติตระกูลเลยก็ว่าได้

แต่ภายใต้ความสุขของผู้คนที่โห่ร้องยินดีกับบ่าวสาว ยังมีหนึ่งสตรีที่ยืนนิ่งอยู่หน้าเรือนของตน ดวงตาคู่สวยของนางนั้นมันดูว่างเปล่าไร้ความรู้สึกใดๆ แม้บรรยากาศภายนอกจะอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะของแขกเหรื่อ

แต่มันกลับไม่อาจทำให้ว่านอิงอิงเผยยิ้มออกมาได้เลย เพราะเจ้าบ่าวที่กำลังจูงมือเจ้าสาวในยามนี้ คือคู่หมั้นของนางและมีใจต่อกันมาเนิ่นนาน แต่เหตุใดเล่าอีกฝ่ายจึงแปรเปลี่ยนไปชั่วข้ามคืน สู่ขอพี่สาวของนางเป็นภรรยา แทนที่จะเป็นว่านอิงอิงผู้นี้

“คุณหนูเข้าเรือนเถอะนะเจ้าคะ อย่ามายืนตากลมตรงนี้เลย ท่านกำลังป่วยอยู่นะเจ้าคะ” เสียงจากสาวใช้คนสนิทเอ่ยขึ้น ก่อนจะกระชับเสื้อคลุมให้กับคุณหนูสามแห่งสกุลว่าน ผู้ที่ไม่ได้เป็นที่รักของบิดาและมารดาเลี้ยง เพียงเพราะนางมักจะเจ็บไข้อยู่เช่นนี้ประจำ

“ข้าแค่อยากร่วมยินดีกับพี่สาวและพี่เขยเท่านั้น” เสียงสั่นเครือเปล่งออกมาแผ่วเบา ก่อนจะตามาด้วยเสียงไอ

ว่านอิงอิงรู้ดีว่าการแต่งงานมีขึ้นเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ ซึ่งเรื่องพวกนี้นางเข้าใจดี เพียงแต่ไม่คิดว่าคู่หมั้นของตนนั้นจะยอมง่ายเพียงนี้ ได้ยินว่าจานซั่วไม่ได้เอ่ยคัดค้านแม้แต่น้อย และไม่เอ่ยถ้อยคำปลอบโยนนางแม้เพียงนิด มันยิ่งทำให้ใจดวงนี้แตกสลาย เมื่อนึกถึงถ้อยคำรักที่อีกฝ่ายเคยพร่ำบอกนางทุกวัน

ว่านอิงอิงหันกลับมายิ้มจางๆ ให้กับสาวใช้คู่กาย ซึ่งอายุมากกว่าแค่สองปี นางเดินกลับเข้าด้านในด้วยท่าทางอิดโรย นั่นเป็นเพราะร่างกายยามนี้กำลังถูกความโศกเศร้าเกาะกิน จนไม่อยากมีลมหายใจอยู่ต่อไปอีกแล้ว เพราะทุกคนต่างก็เย้ยหยัน ขบขันกับเรื่องที่เกิดขึ้น

“นอนเถอะนะเจ้าคะ คุณหนูพึ่งจะเลยวัยปักปิ่นมาไม่นาน อย่าได้กังวลเรื่องรักใคร่จนตรอมใจเช่นนี้เลย หากฮูหยินรองรับรู้คงเสียใจแย่ ที่คุณหนูทรมานตนเองเช่นนี้” ชิงหงเอ่ยปลอบเสียงเบา พร้อมกับดึงผ้าห่มให้ นางไม่กล้าออกห่างผู้เป็นนายเลยเพราะเกรงจะคิดสั้น

“ใจข้าแตกสลายแล้ว จะให้อยู่ต่อไปได้เช่นไร” เสียงสั่นเครือดังขึ้น ก่อนที่มันจะเลือนหายไปเมื่อว่านอิงอิงปิดตาลง นั่นเป็นเพราะนางแอบกินยาพิษเพื่อปลิดชีพตนเอง เพียงแค่หนึ่งก้านธูป [=30นาที] ภายในจวนก็วุ่นวายโกลาหลอีกครั้ง เพราะต้องเปลี่ยนจากงานผ้าสีแดง กลายเป็นสีขาวดำในเวลาต่อมา

โลงไม้สี่เหลี่ยมขนาดพอดีกับคุณหนูสามสกุลว่าน กำลังถูกนำเข้ามาในจวนเพื่อใส่ร่างที่ไร้ลมหายใจ ซึ่งมีชิงหงเดินนำทางไปยังเรือนด้านหลัง พร้อมกับขอบตาแดงก่ำเพราะร้องไห้ตลอดหนึ่งชั่วยาม [=2ชั่วโมง]

แต่สิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อสตรีซึ่งตายไปแล้วกลับลุกเดินออกมาจากห้องพร้อมกับท่าทางมึนงง หันซ้ายแลขวาไปทั่วบริเวณ ใบหน้าซีดเผือดของว่านอิงอิงทำเอาทุกคนต่างก็พากันตื่นกลัว วิ่งหนีกันไม่คิดชีวิต

“ผี! ผี!หลอก” เสียงของพ่อบ้านวิ่งหน้าตื่นไปยังห้องโถงของจวน ซึ่งมีแขกมารอไว้อาลัยกันมากมาย

“อะไรของเจ้าพ่อบ้านหรุ่ย ร้องเอะอะโวยวายลั่นเชียว” ประมุขจวนหันมาตะคอกใส่คนของตน

“นายท่านคุณหนูสามเดินออกมาจากห้องขอรับ ตอนนี้นางเดินไปทั่วจวนเลยขอรับ” หรุ่ยเสิ่นรายงานด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ทำเอาแขกในจวนต่างก็พากันแตกตื่นไปด้วย จึงรีบออกมาดูให้เห็นกับตาว่าเป็นเช่นไรกันแน่

“คุณหนูจะไปไหนเจ้าคะ” ชิงหงร้องถามผู้เป็นนาย น้ำตาก็ไหลพรากเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่

“ข้าคือใคร?” ผู้ที่ฟื้นจากความตายหันกลับมาตั้งคำถามทันที นางมองไปโดยรอบซึ่งยามนี้มีผู้คนยืนจับจ้องด้วยท่าทางตื่นกลัวอยู่เช่นกัน ดวงตาสวยหรี่ลงเล็กน้อยเพราะร่างกายยังอ่อนล้าไม่คงที่ ก่อนจะดับวูบจนร่างนั้นล้มทั้งยืน แต่ยังดีมีแขนแกร่งของใครบางคนรับไว้ได้ทัน