10. ฉวยโอกาสเก่ง
ทั้งคู่นั่งอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ มันจึงสามารถรับน้ำหนักได้เป็นอย่างดี และมุมนี้ก็สามารถมองเห็นด้านล่างได้ถนัด เพราะทั้งสองอยู่ในความมืดของต้นไม้ จึงไม่เป็นที่สังเกต ส่วนคนเหล่านั้นเดินถือคบเพลิงไปมาในสวน
ซานหลางนั่งนิ่งมองการเคลื่อนไหวด้านล่าง แต่พอเวลาผ่านไปอากาศมันก็เย็นลง ไป่อิงเงยหน้ามองคนตัวโตซึ่งนั่งอยู่ด้านหลัง แสงสว่างเล็กน้อยจากจันทร์เสี้ยวยังส่องลงมาให้เห็นหน้ากันและกันได้บ้าง
“ทำไม หนาวหรือ เสียใจนะ ข้าไม่ถอดเสื้อคลุมห่มให้เจ้าหรอกอย่าได้หวัง” พอได้ฟังถ้อยคำเน้นย้ำของคนด้านหลัง ไป่อิงก็ถึงกับถอนหายใจ
“หึ! หม่อมฉันก็ไม่คิดว่าพระองค์จะมี..อ๊ะ!” ยังเอ่ยไม่จบด้วยซ้ำ ร่างเล็กก็ลอยขึ้นมานั่งบนตักอีกฝ่ายเสียแล้ว
“ทำอะไรเพคะ เดี๋ยวก็ตกลงไปหรอก” ตำหนิเสียงเบา
“อยู่เฉยๆ สิ อย่าดิ้น” เสียงทุ้มกระซิบอยู่ข้างหู ก่อนจะชี้นิ้วให้คนตัวเล็กดู เพราะยามนี้มีคนเดินถือคบไฟตรงมา ทำเอาไป่อิงรีบยกมือขึ้นมาปิดปากตนเองเอาไว้ เพราะเกรงจะหลุดถ้อยคำออกมาจนถูกจับได้
ซานหลางกอดเอวคอดไว้แน่น อีกมือก็รั้งกิ่งไม้เอาไว้เพื่อพยุงตัว แต่ช่วงเวลาเช่นนี้เขากลับยิ้มออกมาเสียอย่างนั้น ทำเอาคนที่นั่งอยู่บนตักค้อนขวับเข้าให้ “อีตาอ๋องนี่ ทำไมถึงเป็นคนฉวยโอกาสนักนะ” ตำหนิอีกฝ่ายในใจ
“ต่อว่าข้าทางสายตาจะต้องโทษเอาได้รู้หรือไม่” ยังไม่วายกระซิบใส่หูนางจนอีกฝ่ายขนลุกซู่ เมื่อลมหายใจเขามันเป่าลดแล้วลามมาที่ต้นคอ ไป่อิงนั่งตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยับ เพราะรู้ว่าจิ่งอ๋องต้องรับน้ำหนักตัวนางไว้ด้วย
ชายฉกรรจ์เดินมาหยุดอยู่ใต้ต้นไม้ ก่อนจะชูคบไฟขึ้นเหนือหัวเพื่อส่องสำรวจ เป็นจังหวะที่นกฮูกซึ่งเกาะอยู่บนกิ่งไม้ตกใจตื่น กระพือปีกทันทีเมื่อเห็นแสงไฟ ทำเอาคนผู้นี้ตื่นตระหนกไม่แพ้นกที่อยู่ด้านบน
“เจ้านกบ้า ข้าเกือบหัวใจวาย” ตวาดตำหนิทันที ก่อนจะเดินผละออกไปทำงานต่อ ซึ่งตอนนี้หีบไม้ทรงสี่เหลี่ยมถูกขนเข้าไปจนหมดแล้ว กลุ่มคนเหล่านี้จึงเริ่มแยกย้ายกันไป มีเพียงยามที่เดินไปมาไม่ถึงห้าคนเท่านั้น
“ท่านอ๋องปล่อยนะเพคะ พวกมันไปกันหมดแล้ว” ไป่อิงเปล่งเสียงออกมาแผ่วเบา ซานหลางยกยิ้มก่อนจะรั้งนางแน่นขึ้นด้วยแขนเดียว แล้วปีนไต่ลงมาโดยง่ายดาย ราวกับทั้งคู่ไม่ได้อยู่บนต้นไม้เสียอย่างนั้น
“อย่าดื้อ” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาแค่นั้น เมื่อลงมาถึงพื้น เพราะไป่อิงพยายามดันร่างแกร่งให้ออกพ้นตัว
“ท่านอ๋องนั่นแหละ อย่ามือไวเพคะ” ว่าแล้วปลายเท้าเล็กก็เตะเข้าที่หน้าแข้งเขาทันที ก่อนจะยู้หน้าใส่ชอบใจเมื่อตนได้เอาคืนอีกฝ่าย แต่พอหันตัวหมายจะออกจากตรงนี้ กลับถูกมือใหญ่รั้งแขนเอาไว้ ซานหลางดึงนางกลับมา ก่อนที่มืออีกข้างจะตรึงท้ายทอยเด็กดื้อเอาไว้ ริมฝีปากหนาผุดยิ้มร้ายออกมา ก่อนที่มันจะแนบลงยังปากอิ่ม
ไป่อิงตาเบิกโตเมื่อถูกจิ่งอ๋องฉวยโอกาสอีกแล้ว ครานี้หนักกว่าทุกรอบ และดูเหมือนนางจะไม่อาจดิ้นหนี เมื่อเขาใช้มือใหญ่ตรึงรอบท้ายทอยนางไว้ แม้จะใช้มือข้างที่เหลือดันด้วยแรงที่มี แต่มันก็เหมือนกับแรงมดเสียเหลือเกิน
เพียงเท่านั้นจิ่งอ๋องผู้มากประสบการณ์ ก็เริ่มชักจูงสตรีตัวน้อยทันที เริ่มจากขบเม้มดูดดึงริมฝีปากอิ่มเบาๆ ความนุ่มหยุ่นที่ได้สัมผัสมันยิ่งเพิ่มความต้องการมากขึ้น เขาใช้ปลายลิ้นเลียไปตามริมฝีปากนางเบาๆ สร้างความสยิวให้กับคนตัวเล็กในอ้อมแขนเป็นอย่างมาก
จนไป่อิงส่งเสียงครางออกมาโดยไม่รู้ตัว “อื้อ!” ทำเอาคนตัวโตใจชื้นขึ้นมา ก่อนจะเริ่มรุกล้ำเข้าไปด้านในด้วยความเสน่ห์หาที่มีในยามนี้ จนปลายลิ้นทั้งคู่สัมผัสกันโดยไม่ตั้งใจ ทำเอาร่างเล็กเกือบจะยืนไม่อยู่ แขนแกร่งรั้งดึงเอวคอดขึ้นมา โดยตรึงท้ายทอยนางให้ใบหน้าแหงนขึ้นเพื่อที่เขาจะได้บดจูบง่ายๆ ซึ่งยามนี้ไป่อิงไม่มีท่าทีต่อต้านเลยสักนิด ซ้ำยังยกมือขึ้นมาลูบไปมาบนอกเขาอีก
“ฮืม” เสียงครางในลำคอดังขึ้น ก่อนจะเลื่อนมือใหญ่ลูบบนแผ่นหลังเล็กเบาๆ ยิ่งลิ้นอุ่นเกาะเกี่ยวกันมันยิ่งทำให้จิ่งอ๋องแทบคลั่ง เพราะในโพรงปากของสตรีผู้นี้ มันทั้งหวานและนุ่มหยุ่นละมุนมากเหลือเกินในความคิดเขา จนซานหลางไม่อยากจะผละออกเลย
แต่ก็จำต้องถอยเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ซึ่งน่าจะเป็นคนของเขานั่นแหละ ใกล้เข้ามาแล้วในยามนี้ เขาปล่อยให้มีคนเห็นไม่ได้ แม้แต่คนสนิททั้งสอง ไม่เช่นนั้นคงเข้าใจผิดคิดว่าเขาพอใจนางเป็นแน่ ที่ทำเช่นนี้จิ่งอ๋องก็แค่ต้องการสั่งสอนนางก็เท่านั้น จะได้ไม่กล้ากำแหงทำร้ายเขาอีก ซานหลางดันร่างเล็กออกจากตัว ก่อนจะยกยิ้มเมื่อเห็นนางก้มหน้าไม่พูดจา
“หึ! ไม่เก่งเหมือนเมื่อครู่แล้วหรือ” เอ่ยเสียงหยันออกไป ก่อนจะกล่าวอีกคำ “ถ้าเจ้ายังกล้าทำร้ายข้าหรือไม่เชื่อฟังอีก เจ้าก็จะโดนเช่นวันนี้” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างเป็นต่อ เมื่อเห็นคนตัวเล็กยังคงก้มหน้าอยู่ เป็นจังหวะที่คนของเขามาถึงพอดี
“ท่านอ๋องทรงเป็นอะไรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” หยางจินเอ่ยถามในทันที ก่อนที่สองสหายจะมองมายังร่างเล็กของคุณหนูสามที่เอาแต่ก้มหน้าไม่พูดไม่จา
“ไม่ เจ้าสองคนสืบได้เรื่องอันใดหรือไม่” จิ่งอ๋องเอ่ยถามคนของตน ซึ่งทั้งสี่ก็ยังคงยืนอยู่ในเงามืดของต้นไม้
“กระหม่อมพึ่งเข้ามาเมื่อครู่พ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็ระวังตัว ข้าอยากรู้ว่าในหีบนั้นมีสิ่งใดกันแน่ ไยคนพวกนี้ถึงได้ทำลับๆ ล่อๆ” เอ่ยจบเขาก็ดึงเอาแขนเล็กของไป่อิงให้เดินตามมาด้วย จนกระทั่งลัดเลาะมาถึงห้องที่น่าสงสัย แต่ก็ไม่อาจเข้าไปได้เพราะมีกุญแจคล้องไว้
ไป่อิงยืนมองคนทั้งสามที่ดูเหมือนจะหัวเสียเป็นอย่างมาก เพราะไม่อาจเข้าไปตรวจสอบด้านในได้ หากรู้แน่ชัดว่ามันคือสิ่งใดก็คงไม่ต้องรั้งรอเช่นนี้ เพราะถ้าเป็นเพียงผ้าหรือข้าวของเครื่องใช้ แล้วจิ่งอ๋องกระทำการบุ่มบ่าม ก็รั้งแต่จะสร้างเรื่องมาให้เขาเป็นแน่
“หลบเพคะ” นางเอ่ยเสียงเบา
ก่อนจะดึงบางสิ่งออกมาจากในแขนเสื้อ แล้วแหย่เข้าไปในรูไม่นานสลักก็คลายออก ทำเอาทั้งสามถึงกับหันมองหน้ากัน ใช่ว่าจะไม่รู้ว่ามีวิธีสะเดาะกุญแจ เพียงแต่มันเป็นแบบใหม่ซึ่งยังไม่แพร่หลายในเมืองหลวง จึงเป็นเรื่องยากที่จะเรียนรู้วิธีเหล่านี้
“เจ้าไปเรียนเรื่องพวกนี้มาจากไหนกัน” ซานหลางถามทันที แต่คำตอบที่ได้มันก็ทำให้เขากำหมัด
“มันใช่เวลาถามหรือเพคะ” ตอบแล้วก็รีบเปิดประตูเข้าไป โดยไม่รู้ว่าตอนนี้มีสายตามาดร้ายจ้องอยู่
“คงติดใจรสจูบของข้าสินะ ถึงได้กล้าปากดีเช่นนี้ เอาไว้จบเรื่องนี้ก่อนเถอะคุณหนูสาม” จิ่งอ๋องนึกในใจ พร้อมกับเดินตามเข้าไป ทั้งสี่สำรวจหีบเบื้องหน้า ซึ่งมันถูกปิดผนึกเอาไว้ ไม่ต่างจากหีบผ้าไหมที่ทุกคนเคยเห็น
“ดูเหมือนจะเป็นลังผ้านะพ่ะย่ะค่ะ” ฟางเฟิงเปิดออกสำรวจหนึ่งหีบ ก็เห็นเป็นเพียงผ้าไหมเท่านั้น หยางจินจึงเปิดอีกหนึ่งก็เจอไม่ต่างกัน
“คงเป็นของพ่อค้าในเมืองพ่ะย่ะค่ะ” ฟางเฟิงเอ่ยอีก
“ใต้เท้าทั้งสองเปิดถึงก้นหีบหรือยัง” ไป่อิงตั้งคำถามบ้าง เพราะนางสังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติ ตอนที่คนเหล่านั้นยกหีบเข้ามาด้านใน
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” ซานหลางเอ่ยถาม ก่อนเดินมาเปิดหีบอีกใบซึ่งมันก็ใส่ผ้าไหมเช่นกัน แต่ที่เขาสังเกตเห็นก็คือ ขนาดของความสูงจากด้านบนถึงพื้นล่างมันต่างกัน มือใหญ่จึงรีบยกพับผ้าออกมากอง
คนสนิทและไป่อิงจึงตรงเข้ามามุงดูด้วย พอผู้เป็นนายดึงเชือกเส้นเล็กที่โผล่ขึ้นมาจากแผ่นไม้ มันก็เปิดออกพร้อมกับตัวดาบมากมายเรียงเป็นระเบียบ ทั้งสี่ถึงกับเงยขึ้นสบตากันไปมา เพราะไม่คิดว่าจะมีคนลอบขนอาวุธเข้าเมืองหลวงมากมายเพียงนี้ ดูจากหีบที่บรรจุนับสิบที่ตั้งซ่อนเรียงรายเต็มห้อง มันคงถูกขนเข้ามาเรื่อยๆ ตั้งแต่เริ่มจัดงานเมื่อสามวันก่อนแล้วเป็นแน่
“ท่านอ๋อง ทำเช่นไรดีพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าไปส่งคุณหนูสาม แล้วนำคนของเรามา ปล่อยให้อาวุธพวกนี้เล็ดลอดออกไปไม่ได้เด็ดขาด” จิ่งอ๋องหันมาสั่งฟางเฟิง “กลับไปกับคนของข้า” ก่อนจะหันมาหาคนตัวเล็ก
“เพคะ” ไป่อิงตอบรับอย่างว่าง่าย ซึ่งดูแล้วมันผิดวิสัยของนางมาก จนท่านอ๋องหันกลับมาหานางอีก แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด คิดว่านางคงกลัวคำขู่ของเขากระมัง
ซานหลางออกมาซุ่มดูยังจุดเดิมกับจินหยาง เขามองตามร่างเล็กที่หลบลัดเลาะออกไปบนหลังคาพร้อมกับคนของเขา ก็นึกเบาใจขึ้นมาบ้าง
“เป็นห่วงคุณหนูสามหรือพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์หนุ่มถาม
“ไยข้าต้องห่วงนาง สตรีโง่เขลา ยอมตายเพราะรักเยี่ยงนั้น” เอ่ยหยันเสียงเบา ก่อนจะพิงหลังใส่ต้นไม้ เพราะทั้งคู่แอบซุ่มอยู่ในความมืด
“ถึงนางจะโง่เรื่องความรัก ซึ่งเรื่องเหล่านี้มันก็เกิดได้กับทุกคนอยู่แล้ว แต่อย่างอื่นนางก็เก่งกาจและฉลาดมากนะพ่ะย่ะค่ะ ดูอย่างการสะเดาะกุญแจก็รู้”
จิ่งอ๋องหันกลับมามองคนของตนตาขวาง ก่อนจะหันหนีไปอีกทาง เสียงถอนหายใจดังมาให้ได้ยิน ไม่รู้ยามนี้เขาคิดเช่นใด เพราะไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป ฟางเฟิงก็กลับมาพร้อมกับคนของหน่วยมังกรทอง เขาตรงเข้ามารายงานผู้เป็นนายก่อน
“คนของเราพร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม เช่นนั้นก็บุกเข้ามาเลย” เขาออกคำสั่ง ก่อนที่ฟางเฟิงจะตรงไปเปิดประตูให้ทุกคนเข้ามา
“พวกเจ้าเป็นใครกันกล้าบุกรุกเข้ามาเช่นนี้” เสียงหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่กลุ่มคนจะกรูกันออกมานับสิบ
“พวกมันแอบซุ่มอยู่จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ” หยางจินเอ่ยกับผู้เป็นนาย แต่พวกเขาก็ไม่ได้ตื่นตกใจ เพราะคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้วนั่นเอง ของสำคัญเช่นนี้คงไม่ปล่อยให้มีคนเฝ้าแค่ตาเห็นในคราแรกหรอก จินหยางจึงเอ่ยขึ้นเสียงดัง
“หึ! พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าคนผู้นี้เป็นใคร กล้าลักลอบขนอาวุธเข้ามาในเมืองหลวง ไม่รู้หรือว่าจะต้องโทษประหาร”
“อาวุธอะไรกัน ที่นี่เป็นเรือนเก็บผ้าไหม จะมีอาวุธที่ว่าได้อย่างไร” อีกฝ่ายตอบกลับเสียงแข็ง
“ใช่หรือไม่เดี๋ยวจะได้รู้กัน” เอ่ยจบฟางเฟิงก็สั่งสหายร่วมงานเข้าตรวจค้น ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันที่มีคนของทางการแห่กันมา ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหยวนปิงเหอเจ้า กรมถิงเว่ยผู้มีหน้าที่ตรวจตราจับกุมผู้กระทำผิด
“ท่านอ๋องไยถึงมาอยู่ที่นี่ได้พ่ะย่ะค่ะ” เอ่ยถามเสียงทุ้ม ก่อนจะคำนับอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม
“พอดีข้าเห็นคนกลุ่มหนึ่งท่าทางมีพิรุธ จึงได้แอบตามมา ไม่คิดว่าพวกมันจะซ่อนบางสิ่งที่ไม่คู่ควรเอาไว้” จิ่งอ๋องตอบคำถามอีกฝ่ายเสียงเรียบ
“เช่นนี้นี่เอง ข้าน้อยเองก็เห็นคนของหน่วยมังกรทองมุ่งมาทางนี้จึงรีบตามมา เช่นนั้นจะช่วยท่านอ๋องตรวจสอบอีกแรงพ่ะย่ะค่ะ ว่าแต่ด้านในเป็นสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” เจ้ากรมถิงเว่ยเอ่ยถามถึงสิ่งของที่ว่า เพราะเขาต้องรู้ก่อนจะสั่งให้คนเข้าตรวจค้นบ้านเรือนผู้อื่น
“อาวุธจำพวกดาบที่ยังไม่มีการประกอบ” ซานหลางเอ่ยบอกในสิ่งที่ตนค้นพบ ทำให้หยวนปิงเหอรีบสั่งคนของตนเข้าไปตรวจทันที ไม่นานทั้งหมดก็ออกมารายงาน
“มีเพียงหีบผ้าชนิดต่างๆ และผ้าไหมขอรับใต้เท้า”
“เจ้าตรวจใต้พื้นหีบหรือยัง มันซ่อนใต้พับผ้า” ฟางเฟิงรีบถามคนของกรมถิงเว่ยทันที ซึ่งอีกฝ่ายก็บอกว่าดูทั้งหมดแล้ว แต่ไม่มีสิ่งใดเลย ซานหลางจึงรีบตรงไปตรวจด้วยตนเอง โดยมีหยวนปิงเหอตามเข้ามาด้วย
“ไม่มีได้อย่างไรกัน” จิ่งอ๋องเอ่ยออกมาแผ่วเบา ด้วยท่าทางผิดหวังเป็นอย่างมาก