7. ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด
ซานหลางยกยิ้มเมื่อได้ฟังคำตำหนิของคนตัวเล็ก เพราะเกิดมาก็ยังไม่เคยมีใครกล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้กับเขาเลย คุณหนูสามถือว่าเป็นคนแรกเลยก็ว่าได้
“นี่คุณหนูสาม ท่านอ๋องก็แค่เอ็นดูเจ้า หาได้คิดจะฉวยโอกาสไม่ อย่าหลงตัวเองนักเลย” หยางจินเอ่ยตำหนิทันที
“ชิ! เอ็นดูหรือ ทำเช่นนี้เขาไม่ได้เรียกว่าเอ็นดูหรอก ก็แค่หาเศษหาเลยกับสตรีเท่านั้นแหละ” ตอบกลับเสียงดังเช่นเดิม ทำเอาผู้ที่โอบเอวนางอยู่กระชับแน่นขึ้นอีก จนทำให้เนินอกนั้นแนบชิดกันจนเกิดความวาบหวามขึ้นมา
“ปากดีจริงนะ คราแรกข้าก็เอ็นดูเจ้าอย่างที่หยางจินเอ่ยนั่นแหละ แต่ตอนนี้ข้าไม่อยากเอ็นดูแล้ว แต่อยากดูอย่างอื่นมากกว่า” เอ่ยจบเขาก็ก้มมองเนินเนื้อใต้ร่มผ้าของคนตัวเล็ก ซึ่งดูเหมือนมันจะโตเกินอายุนางเสียอีก ใบหน้าคมคายเผยยิ้มร้ายในเวลาต่อมา
ทำเอาไป่อิงอดหวั่นไม่ได้เหมือนกัน อีกฝ่ายเป็นถึงอ๋อง ถ้าคนธรรมดานางคงใส่เข่าเอาให้หน้าเขียวไปแล้ว แต่นี้ถ้าขืนทำอย่างใจคิดมีหวังหัวได้หลุดจากบ่าแน่
“จิ่งอ๋องต้องการอะไรเพคะ” เอ่ยถามเสียงเบา เพราะรู้ว่าคงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้แล้วเป็นแน่ อยู่ใกล้บุรุษตัวโตซ้ำยังมีอำนาจมากเพียงนี้ นางคงต้องทำทีโอนอ่อนเชื่อฟังไปก่อนเพื่อเอาตัวรอดไม่งั้นคงเกิดเรื่องไม่คาดฝันได้
“ว่าง่ายเช่นนี้ตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง ข้าอยากรู้เรื่องคืนนั้น และนิทานที่แม่เจ้าเล่าให้ฟัง” คนตัวโตเอ่ยถามทันทีไม่อ้อมค้อม พร้อมกับคลายการกอดรัดออก จนไป่อิงถอยกลับมายืนห่างออกมาเล็กน้อย
“เรื่องนิทานหม่อมฉันจำอะไรไม่ได้เลยเพคะ ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาก็จำไม่ได้แม้แต่ชื่อตนเอง ต้องให้พี่ชิงหงบอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างเกี่ยวกับสกุลว่านให้ฟังทั้งหมด หม่อมฉันไม่อาจช่วยสิ่งใดพระองค์ได้หรอก” ตอบไปตามจริงที่มีเพียงครึ่งเท่านั้น
เพราะอีกครึ่งมันเกิดจากนางไม่ใช่เจ้าของร่างที่แท้จริงนั่นแหละ ถึงจำเรื่องของอิงอิงไม่ได้เช่นนี้
“เรื่องนี้หม่อมฉันเป็นพยานได้เพคะ คุณหนูจำสิ่งใดไม่ได้จริงๆ ที่นางเอ่ยตอนที่เกิดเรื่องก็แค่ทำเพื่อดึงความสนใจของคนร้ายเท่านั้น คุณหนูจำสิ่งใดไม่ได้จริงๆ เพคะ” ชิงหงคุกเข่าลงพร้อมกับเล่าเรื่องราวทันทีที่มาถึง
“หึ! นายของเจ้าเก่งกาจคิดได้เช่นนั้นเชียว” ฟางเฟิงเอ่ยหยัน เพราะสิ่งที่เคยได้ยินคุณหนูสามก็แค่คนขี้โรค
“เก่งหรือไม่คนที่สังหารคนร้ายก่อนหน้าพวกท่านมาก็คือคุณหนูข้านี่แหละ” ชิงหงหลุดปากเมื่อเห็นผู้เป็นนายถูกเหยียดหยามซึ่งหน้า นางทนไม่ได้หรอก
“พี่ชิงหง!” ไป่อิงส่งเสียงตำหนิทันที ทำให้สาวใช้ข้างกายถึงกับหน้าถอดสี ก้มหน้าลงสำนึกผิดแทบไม่ทัน
“คุณหนูพี่ขอโทษ” เอ่ยออกมาเสียงเบา ไป่อิงถอนหายใจยาว ก่อนจะเดินมานั่งบนท่อนไม้ ดวงตาสวยเหลือบมองจิ่งอ๋อง ซึ่งคาดว่าเขาคงกำลังจับผิดนางอยู่แน่ๆ
“หึ! เรื่องนั้นข้าก็พอจะรู้ตั้งแต่เห็นเจ้าปิดตายิงหน้าไม้แล้วล่ะ แต่ก็ยังไม่แน่ใจ ขอบใจคนของเจ้าแล้วกัน” ถ้อยคำเหน็บแนมเปล่งออกมา ก่อนจะยิ้มกริ่ม มองดูสตรีตัวน้อยที่นั่งหน้าบึ้งส่งสายตาค้อนมาให้เขา
ซานหลางพึ่งจะสังเกตคนตรงหน้า นางงดงามไม่แพ้คุณหนูสูงศักดิ์ในเมือง เพียงแต่ชอบทำตัวมอมแมม และแต่งกายด้วยชุดบุรุษแตกต่างจากสตรีทั่วไป แต่พอผมถูกปล่อยลงมาเช่นนี้ ความงามของนางมันก็ปรากฏให้เห็นจนเขาเองละสายตาออกจากใบหน้านี้ไม่ได้เลย
“เช่นนั้น อาวุธนี้เจ้าเป็นคนทำขึ้นมางั้นหรือ” ซานหลางหันมาสนใจสิ่งของที่เขาถืออยู่ในมือ ไป่อิงได้แต่มองตามก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เพราะดูท่าจิ่งอ๋องคงจะไม่ยอมปล่อยนางไปง่ายๆ ถึงได้หันมาสนใจหน้าไม้แทน
“เพคะหม่อมฉันประดิษฐ์ขึ้นมาเอง”
“ถ้าข้าจะให้เจ้าทำให้คนของข้าจะได้หรือไม่” เขาถามขึ้นพร้อมกับรอคำตอบ โดยส่งสายตาดุกดดันไปด้วย
“ชิ! มองขนาดนี้ ถ้าตอบว่าไม่ มีหวังโดนคาดโทษอีกแน่” แม้นางจะนึกในใจ แต่ดูท่าคนตัวโตคงจะรู้เป็นแน่ จิ่งอ๋องยกยิ้มเมื่อเห็นท่าทางของคนตัวเล็ก
“ตกลงว่าได้หรือไม่” เขาเอ่ยถามไปเช่นนั้นเอง เพราะพอจะเดาคำตอบได้แล้ว
“เพคะ แต่คงต้องใช้เหล็กมากหน่อย พร้อมกับอุปกรณ์ทำหน้าไม้ ท่านอ๋องพอจะจัดหาให้ได้หรือไม่”
“ได้สิเช่นนั้นข้าจะให้คนเอามาส่งที่นี่ก็แล้วกัน เดี๋ยวจะให้คนมาสร้างกระท่อมเอาไว้ให้ด้วย ยามที่เจ้าหนีออกมาจากจวนจะได้มีที่หลบฝนหลบแดด” ถ้อยคำนี้ฟังดูเหมือนจะหวังดี แต่มันก็กึ่งคำเหน็บแนมอยู่เล็กน้อย
“ขอบพระทัยในน้ำใจของท่านอ๋อง..มาก..เพคะ” ไป่อิงตอบเน้นคำประชดอีกฝ่ายทันที ซานหลางทำเพียงแค่ยกยิ้มก่อนจะหันมาสนใจเป้าที่อยู่ห่างออกไป เขาทดสอบยิงหน้าไม้ในมือซึ่งมันถูกประดิษฐ์ขึ้นให้จับถนัดพอเหมาะกับมือของสตรีมากกว่า ใบหน้าคมคายจึงหันมาอีกครั้ง
“ข้าคงต้องให้เจ้าทำใหญ่กว่านี้แบบที่เหมาะกับบุรุษ”
“รู้หรอกน่า” ตอบออกไปเสียงเรียบ ก่อนจะลุกขึ้นไปแย่งเอาหน้าไม้ของตนกลับคืนมา แล้วยิงออกไปยังเป้าหมาย มันเข้าตรงจุดศูนย์กลางทุกดอก จนคนสนิทของจิ่งอ๋องถึงกับเป็นงงอีกครั้ง เพราะดูเหมือนคุณหนูสามจะไม่ได้เล็งเป้าหมายอย่างที่ควรจะเป็นเลยสักนิด
“ชิ! ตะลึงไปเลยล่ะสิท่า” ชิงหงเอ่ยหยันเบาๆ พอให้ได้ยินกันแค่สามคน ทำเอาสองสหายถึงกับหน้าเสีย
“ข้าได้ยินว่าคุณหนูเจ้ามีแต่ล้มป่วย เหตุใดนางจึงสามารถใช้อาวุธได้คล่องแคล่วเพียงนี้” หยางจินเอ่ยถาม
“นั่นสิ นางอ่อนแอมาก แม้แต่ต้องลมนิดหน่อยก็ยังเจ็บป่วย แต่ยามนี้นางกลับดูแข็งแกร่งทะมัดทะแมง ไม่ต่างจากบุรุษที่ฝึกมานานนับสิบปี” หยางจินเอ่ยขึ้นบ้าง
“เรื่องนี้ข้าน้อยเองก็อยากจะรู้เหมือนกัน ตั้งแต่คุณหนูฟื้นขึ้นมานางก็เปลี่ยนไปมาก แต่สำหรับข้าน้อยแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะคุณหนูสามารถปกป้องตนเองได้”
ชิงหงเอ่ยในสิ่งที่นางคิด พร้อมกับสายตาชื่นชมที่ส่งให้ผู้เป็นนายซึ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ สองสหายมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนจะหันไปสนใจผู้เป็นนายที่ยืนประกบสตรีตัวน้อยไม่ยอมออกห่างเลยสักนิด
“ฟางเฟิงเจ้าเห็นท่านอ๋องหรือไม่ ไยจึงยืนแนบชิดกับคุณหนูสามเพียงนั้น” หยางจินอดไม่ได้กระซิบเอ่ยกับสหายของตน ซึ่งอีกฝ่ายก็คงสงสัยไม่แพ้กัน
“คงจะจับสังเกตนางกระมัง ท่านอ๋องก็บอกแล้วนี่ว่าจะตีสนิทคุณหนูสามผู้นี้ เพื่อสืบเรื่องแผนผังที่ว่า”
“อืม คงจะจริงอย่างที่เจ้าว่า” เมื่อหารือกันเสร็จสรรพสององครักษ์หนุ่มก็คิดอย่างที่พากันเอ่ย
“คุณหนูเราออกมานานแล้วนะเจ้าคะเดี๋ยวนายท่านจะสงสัย เรารีบกลับกันเถอะ” ชิงหงรีบเตือน เพราะเกรงว่าจะมีคนรู้ว่าพวกตนนั้นแอบออกมาที่นี่กันบ่อยๆ
“จริงด้วยข้าก็ลืมไปเสียสนิท เช่นนั้นวันพรุ่งท่านอ๋องให้คนนำสิ่งของเหล่านั้นมาส่งที่นี่นะเพคะ”
“ได้สิ เช่นนั้นเจ้าก็รีบกลับเข้าจวนเถอะ” เสียงทุ้มเอ่ยบอก มันต่างจากทุกครั้งที่เขาพูดคุยกับนาง จนทำให้คิ้วสวยผูกเป็นปมเพราะไม่คุ้นชินเลย
“แล้วท่านอ๋องจะเสด็จกลับทางใดเพคะ” ถามในสิ่งที่สงสัย เพราะคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะมาจากประตูหลังของจวนสกุลว่านนั่นแหละ นางเกรงว่าหากเขากลับเข้าไปทางนั้นอีก ดูท่าสถานที่นี้อาจจะถูกคนร่วงรู้ในเร็ววันเป็นแน่
“สบายใจเถอะ ข้าจะเดินอ้อมออกไปมีตรอกอยู่ที่ข้างกำแพงจวนของเจ้า ข้าเองก็ไม่อยากตกเป็นผู้ต้องสงสัย สอดแนมจวนสกุลว่านหรอก” เอ่ยจบก็เดินผละออกไปดื้อๆ
“อะไรของเขา นึกอยากจะมาก็มา นึกอยากจะไปก็ไป พวกคนใหญ่คนโตเป็นแบบนี้สินะ” เอ่ยจบก็คว่ำปากใส่
“คุณหนูเหตุใดแสดงกิริยาเช่นนี้เจ้าคะ ไม่น่ารักเอาเสียเลย” ว่าพร้อมกับตีเข้าที่ต้นแขน
“อ๊ะ! เจ็บนะพี่ชิงหง คนผู้นั้นไม่ได้มีตาหลังเสียหน่อย อย่างไรเสียเขาก็มองไม่เห็นหรอก รีบเข้าเรืยนกันเถอะ”
ใบหน้าหวานยิ้มร่าออกมา สาวใช้ได้แต่ส่ายหัวมองตามอย่างเอ็นดู จนกระทั่งทั้งคู่กลับมาถึงเรือน พอดีกับจังหวะที่เหม่ยหลินเดินตรงมา
“ดูท่าจะมาถามหาท่านอ๋องนะเจ้าคะ ดีที่เรากลับมาถึงก่อน ไม่เช่นนั้นถ้านางตามออกไปนอกเรือน มีหวังต้องฟังเสียงโวยวายอีกเป็นแน่” ชิงหงกระซิบกับผู้เป็นนาย
“เดี๋ยวนี้พี่กล้าพูดถึงคุณหนูสี่แบบนี้หรือ” ไป่อิงเย้าทันที
“ก็พี่มีคุณหนูสามคอยปกป้องนี่เจ้าคะ ไม่เห็นจะต้องกลัวผู้ใดเลย” ว่าแล้วก็ยิ้มกริ่มส่งให้ผู้เป็นนาย ก่อนจะถอยออกมายืนด้านหลังเล็กน้อย เพื่อรอดูว่าผู้ที่กำลังตรงมานั้นต้องการสิ่งใด และมันก็เป็นอย่างที่คาดเมื่อนางเอ่ยถาม
“เจ้าเห็นท่านอ๋องหรือไม่” น้ำเสียงนั้นห้วนจนคนฟังยืนนิ่ง ไม่ตอบคำถามแม้แต่น้อย “ไม่ได้ยินที่ข้าถามหรือ”
“คุณหนูถามใครหรือเจ้าคะ หากถามข้าน้อยก็ไม่เห็นเจ้าค่ะ เพราะอยู่รับใช้แค่คุณหนูสามไม่ได้ออกไปที่ใดเลย” ชิงหงตอบเสียงเรียบ ก่อนจะก้มหน้าทำทีเจียมตน
“ข้าพูดกับคนตรงหน้าไยต้องให้เอ่ยชื่ออีก” เหม่ยหลินยังไม่วายเอ่ยถ้อยคำห้วนใส่ทั้งคู่
“คนตรงหน้าที่เจ้าหมายถึงคือข้านั้นหรือ ว่าแต่ข้าเป็นอะไรกับเจ้าล่ะ ไยเจ้าถึงพูดจาไม่มีหางเสียงกับข้า หรือว่าสกุลว่านอบรมมาเช่นนี้กันล่ะ” ไป่อิงตอบกลับเสียงเย็น
“นี่เจ้า! อย่าคิดว่าคำที่เจ้าเอ่ยกับท่านพ่อจะใช้กับข้าได้ ข้าไม่เชื่อเรื่องโป้ปดเอาตัวรอดของเจ้าหรอก”
“หึ! หากเจ้าเอ่ยเช่นนี้ ไยไม่ถือมีดมาสังหารข้าเลยล่ะ หรือเพราะเจ้าเองก็ไม่แน่ใจว่าถ้าข้าตายไป สกุลว่านก็อาจจะไม่เหลืออะไรจริงๆ” เอ่ยเสียงหยันพร้อมกับเดินเข้าไปหา ก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย “อย่ามาทำปากดีใส่ข้า เพราะเจ้าจะรังแกข้าไม่ได้ง่ายๆ เหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็ใสหัวไปซะ” น้ำเสียงแข็งกร้าวอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งสายตาก็ดุดันจนเหม่ยหลินหน้าถอดสี
“คะ..คุณหนูเราไปกันเถอะเจ้าค่ะ ท่านอ๋องก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ มัวแต่ยืนอยู่ตรงนี้คงหาไม่เจอเป็นแน่” สาวใช้รีบเตือน
เหม่ยหลินถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว ก่อนจะสะบัดหน้าใส่แล้วเดินหนีไป ไป่อิงมองตามคนเจอยกยิ้มที่มุมปาก “นึกว่าจะแน่” นางเอ่ยออกมาเบาๆ
“เยี่ยมเลยค่ะคุณหนู ต้องโดนซะบ้างถึงจะเข็ด” ชิงหงเอ่ยถ้อยคำชื่นชมพร้อมกับยั่วยุไปในตัว ไป่อิงหัวเราะออกมามองหน้าสาวใช้คนสนิทเล็กน้อย
“ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อยก็แค่เตือนสตินางเท่านั้น พี่ไปจัดการเรื่องอาหารเถอะข้าหิวแล้ว” หันกลับมาสั่งคนของตนเพราะเลยเวลาอาหารมานาน
“เตรียมเผื่อข้าด้วยนะชิงหง” เสียงทุ้มอ่อนโยนดังขึ้น พร้อมกับร่างสูงซึ่งอยู่ในอาภรณ์งามสง่า เขาเกล้าผมเพียงครึ่งหัวแล้วปล่อยยาวลงมา มันดูน่ามองยิ่งนัก
“ท่านพี่กลับมานานแล้วหรือเจ้าคะ” เสียงหวานเอ่ยถามพี่ชาย ซึ่งวันนี้เขาดูท่าทางแปลกๆ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ราวกับมีเรื่องดีเสียอย่างนั้น