5. พบกันอีกครั้ง
ร่างสูงในอาภรณ์สีดำขลับ มีลายปักมังกรทองท่าทางดุดัน มองแล้วทั้งสง่าและน่าเกรงขามไปในตัว ใบหน้านั้นก็คมคายสมกับเป็นบุรุษรูปงามอันดับหนึ่ง เพียงแต่รอยยิ้มเขามันดูเยือกเย็นจนน่ากลัว สายตาก็ดูไร้ปราณี
“จิ่งอ๋อง!!” กลุ่มคนชุดดำสบถออกมาพร้อมกัน ว่านเฉินไห่เห็นผู้ที่เดินเข้ามาก็ใจชื้นขึ้น
“กระหม่อมก็อยากเชิญพ่ะย่ะค่ะ แต่คนเหล่านี้มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงเลยสักนิดกระหม่อมก็จนปัญญาจริงๆ แต่ยามนี้ท่านอ๋องมาแล้ว กระหม่อมดีใจเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ”
“หึ! ดีใจงั้นหรือ ดาบข้ายังอยู่บนคอเจ้าคิดหรือว่าจะรอด ในเมื่อข้าไม่ได้คนอื่นก็อย่าหวังว่าจะได้เลย” คนชุดดำเอ่ยอย่างเป็นต่อ และหมายจะจัดการกับตัวประกันเสีย เพราะหากเขาไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ คำสั่งลับที่ได้มาก็คือกำจัดคนที่รู้เรื่องแผนผังเสียจะได้ไม่มีใครล่วงรู้อีก
“ช้าก่อน!..ข้ามีสิ่งที่เจ้าต้องการ ปล่อยบิดาข้าเสีย แล้วข้าจะมอบมันให้” ไป่อิงเดินออกมาจากใต้ต้นไม้ที่ขึ้นไปหลบ นางโยนอาวุธทิ้งหมดแล้วเหลือเพียงมีดสั้นติดตัว
“คุณหนู” ชิงหงตั้งท่าจะวิ่งเข้ามา แต่ไป่อิงส่งสายตาสั่งให้หยุดเสียก่อน จึงจำต้องเดินกลับไปหลบมุมเช่นเดิม
“เจ้าพูดพล่อยอะไร รู้หรือว่าข้าหมายถึงสิ่งใด”
“หึ!..แผนผังที่ท่านแม่ข้ามักเอ่ยถึง เจ้าอยากได้สิ่งนี้ไม่ใช่หรือ ข้ารู้ว่ามันอยู่ที่ใด แต่ถ้าเจ้าไม่เชื่อก็ตามใจนะ” เอ่ยเสียงใสออกไป ราวกับว่ามันจะไม่เป็นภัยต่อตนเอง
“อิงอิง เจ้าเอ่ยอันใดออกมารู้ตัวหรือไม่” ว่านเฉินไห่ตำหนิบุตรสาวทันที เพราะเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องจริงตั้งแต่แรก ก็แค่นิทานที่ไป่ถิงเล่าให้นางฟังตอนเด็ก ไม่รู้ผู้ใดกันที่เอาออกไปพูดจนสกุลว่านตกที่นั่งลำบากเช่นนี้
“อ้าวนิทานหรอกหรือ ข้าก็คิดว่าเป็นเรื่องจริงเสียอีก เช่นนั้นพวกเจ้าก็โง่แล้ว ที่บุกเข้ามาหาสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง เป็นนักฆ่าไยถึงโง่นัก” พูดจบนางก็ส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยัน
“นี่เจ้ากล้าด่าข้าว่าโง่อย่างนั้นหรือ ข้าจะฆ่าเจ้า ไอ้เด็กเมื่อวานซืน” อีกฝ่ายตะคอกเสียงเหี้ยม พร้อมกับยกดาบออกมาชี้หน้า เป็นจังหวะให้พลธนูบนหลังคาได้ลงมือ ชั่วพริบตาคนชุดดำนับสิบก็ทรุดลงกับพื้น บ้างก็ตาย บ้างก็บาดเจ็บ จึงถูกจับได้โดยที่ว่านเฉินไห่ก็ยังคงรอดชีวิต
ร่างของประมุขจวนทรุดลงเพราะแข้งขาอ่อน ฮูหยินและบุตรสาวคนเล็กรีบตรงเข้ามาประคองทันที ส่วนไป่อิงก็มีชิงหงวิ่งเข้ามาหา ก่อนจะจับพลิกไปมาสำรวจดู
“ข้าไม่เป็นไร ดีที่พี่พาคนมาทัน” เอ่ยบอกก่อนจะยิ้ม
“เกือบตายเหมือนกันเจ้าค่ะ ยามนั้นท่านอ๋องกำลังเสด็จไปร่วมงาน พี่เกรงว่าถ้าวิ่งไปแจ้งทางการคงไม่ทัน เลยตรงไปคุกเข่าขวางรถม้าเอาไว้” ชิงหงบอกเสียงสั่น เพราะยังคงตื่นกลัวไม่หาย
“หา!..จริงหรือ พี่นี่ช่างกล้านัก” เอ่ยเสียงดัง พร้อมกับยิ้มเอ็นดูสาวใช้ของตน
“ว่าแต่พี่ไม่ได้เอ่ยเรื่องของข้านะ”
“เปล่าเจ้าคะ บอกแค่เกิดเรื่องขึ้นที่จวน” อีกฝ่ายกระซิบ
“อืม ดีแล้ว อย่าได้เอ่ยให้ใครฟังเด็ดขาด” ทั้งคู่ซุบซิบกัน โดยมีสายตาของซานหลางจ้องมองอยู่ ก่อนจะหันมาหาคนของตนแล้วออกคำสั่งเสียงเย็น
“เอาตัวพวกมันไป ข้าจะไปสอบสวนเอง” เอ่ยจบก็หันมาหาใต้เท้าว่าน ซึ่งยามนี้กำลังคำนับขอบคุณเขาอยู่
“ขอบพระทัยท่านอ๋องที่มาช่วยครอบครัวกระหม่อมในครานี้ ไม่เช่นนั้นทุกคนคงตายกันหมดจวนเป็นแน่” เพราะคิดว่าอีกฝ่ายนั้นมานานแล้ว เพราะก่อนนั้นมีคนยิงลูกดอกเข้ามาช่วย คาดว่าคนของจิ่งอ๋องคงซุ่มอยู่ด้านนอก
“ขอบใจสาวใช้บุตรสาวของท่านเถอะ นางออกไปขวางทางรถม้าท่านอ๋อง และแจ้งข่าวนี้ พวกเราจึงมาได้ทันเวลา” ฟางเฟิงคนสนิทของจิ่งอ๋องเอ่ยขึ้น ก่อนจะกระซิบรายงานอีกเรื่องกับผู้เป็นนาย “ภายในสวนมีร่างของคนชุดดำสิ้นใจตามมุมต่างๆ พ่ะย่ะค่ะ ดูท่าคงมียอดฝีมือจัดการพวกมันก่อนหน้าเราจะมา”
คิ้วหนาขมวดเข้าหากันทันที เพราะดูจากสถานการณ์แล้วไม่น่าจะมีคนเช่นนั้นอยู่ในเรือนนี้ได้ เขาหันกลับมายังร่างเล็กที่ยืนอยู่กับสาวใช้ ซึ่งตอนนี้มีท่าทางตื่นกลัวไม่ต่างจากคนในจวน ริมฝีปากหนายกยิ้มหยันเล็กน้อย
“เข้าไปคุยกันด้านในดีกว่า ยืนนานๆ ข้าเมื่อย” เอ่ยบอกพร้อมกับเดินตรงไปยังห้องโถงของจวน ซึ่งยังมีคราบเลือดและการต่อสู้ก่อนหน้านั้นให้เห็น จิ่งอ๋องไม่ได้สอบถามถึงเรื่องพวกนี้ เพราะอีกไม่นานก็ต้องสืบรู้ว่าผู้ใดกันที่เข้ามาช่วยก่อนที่พวกเขาจะมาถึง
“ขอพระราชทานอภัยที่ต้อนรับไม่ดีพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าของจวนเอ่ยเสียงสั่น เพราะยังอยู่ในอาการตื่นตกใจ
“เหม่ยอิงจะรินชาให้นะเพคะ” สตรีตัวน้อยพึ่งถึงวัยปักปิ่นเอ่ยเสียงหวาน ก่อนจะขยับกายเดินมาทำตามที่บอก พร้อมกับส่งสายตาสื่อความนัยน์อย่างเปิดเผย
“ขอบใจคุณหนูสี่” เอ่ยบอกเสียงทุ้ม อีกฝ่ายก็ส่งยิ้มให้ก่อนจะถอยกลับมายืนที่เดิมข้างมารดา
“ทำดีมากเหม่ยเอ๋อของแม่” ว่านฮูหยินเอ่ยชมบุตรสาว เพราะนี่เป็นโอกาสดีที่จะเข้าหาผู้สูงศักดิ์ หากอีกฝ่ายถูกใจไม่แน่อาจได้เป็นสนม หรือแม้แต่พระชายาซึ่งตำแหน่งยังคงว่างอยู่
ไป่อิงยืนมองการกระทำของสองแม่ลูก ก่อนจะอมยิ้มเม้มปากเอาไว้ เพราะเกรงว่าตนนั้นจะหลุดขำออกมา และมันก็ไม่พ้นสายตาของใครบางคนที่กำลังมองนางอยู่
“นี่คงจะเป็นคุณหนูสามที่กินยาตายเพราะผิดหวังเมื่อครานั้นกระมัง หายดีแล้วสินะ สีหน้าดูสดใสเชียว” เสียงหยันเปล่งมาพร้อมกับนัยน์ตาคมดุ
“เพคะหม่อมฉันหายดีแล้ว” ตอบออกไปเสียงเรียบ หาได้มีความอ่อนหวานแม้แต่น้อย จนคนในห้องโถงต่างก็พากันหันมามองเป็นตาเดียว โดยเฉพาะคนที่นั่งอยู่
“อิงอิง!!” ว่านเฉินไห่รีบดุบุตรสาวทันที
“ช่างเถอะใต้เท้า นางคงตื่นตระหนกเรื่องเมื่อครู่อยู่ จึงได้มีท่าทีเช่นนี้” ซานหลางเอ่ยก่อนจะยิ้มที่มุมปาก
“ชิ! ทำเป็นพูดดี ในใจคงอยากสั่งโบยเต็มทน ถ้าไม่ใช่เพราะรักษาภาพพจน์ คงใช้อำนาจไปแล้วสินะ” ไป่อิงนึกในใจ ในขณะที่ทำทียืนก้มหน้าเจียมเนื้อเจียมตัว
“ว่าแต่คนเหล่านี้ต้องการแผนผังอะไรกันหรือใต้เท้า” เสียงทุ้มแสร้งถามออกไปทั้งที่รู้อยู่แล้วว่ามันคือสิ่งใด
ไป่อิงเงยหน้ามองจิ่งอ๋องเล็กน้อย ก่อนจะหันไปด้านนอก ซึ่งเป็นจังหวะที่คนของทางการมาถึง และยังมีบุตรชายคนโตอย่างเหวินโหรวที่พึ่งได้รับรายงานว่าจวนของตนเกิดเรื่อง เพราะเขาอยู่อารักขาเหล่าองค์ชายที่งาน
“ท่านพ่อท่านแม่บาดเจ็บกันหรือไม่” มาถึงก็ตรงลี่ไปหาบุพการี เมื่อรู้ว่าปลอดภัยดีจึงหันไปคำนับจิ่งอ๋อง แล้วถอยกลับมายืนข้างไป่อิง “เจ้าไม่เป็นไรนะ”
“ไม่เจ้าค่ะ” ตอบเสียงหวานจนใครบางคนหมั่นไส้ แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอันใด เพราะยามนี้มีร่างสูงของหัวหน้ากรมถิงเว่ย [ตำรวจ] สำนักตรวจการด้านกฎหมายที่มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องต่างๆ ในเมืองหลวง
คนกระทำผิดจะถูกนำตัวส่งต่อไปยังหน่วยตุลาการ เพื่อไต่สวนในชั้นศาล จิ่งอ๋องจึงได้แต่ขบกรามแน่น เพราะหากคนของกรมถิงเว่ยรับรู้แล้ว คงยากที่เขาจะสืบข่าวที่นี่
“กระหม่อมไม่คิดว่าท่านอ๋องทรงพำนับอยู่ด้วย” หยวนปิงเหอเอ่ยกับผู้ที่นั่งอยู่พร้อมกับคำนับ เขาคือพี่ชายของซูเฟยพระสนมของฮ่องเต้ ยามนี้นางมีอำนาจมาก เพราะเป็นที่โปรดปรานของผู้ครองแผ่นดิน ลำดับขั้นของปิงเหอจึงรุดหน้ากว่าคนรุ่นเดียวกัน
“ข้าก็แค่ผ่านทางมา ถือว่าเป็นโชคดีของสกุลว่าน ไม่เช่นนั้นคงตายกันหมดแล้ว” ตอบกลับเสียงเรียบ
“ดูเหมือนสองคนนี้จะไม่ถูกกันแฮะ แต่ดูแล้วคงจะร้ายทั้งคู่” ไป่อิงนึกในใจ ในขณะที่ยืนก้มหน้าเช่นเดิม
“เป็นเช่นนี้เอง ถือว่าเป็นโชคดีของใต้เท้าจริงๆ เช่นนั้นคงไม่รบกวนท่านอ๋องแล้ว กระหม่อมจะจัดการเรื่องทั้งหมดเอง ยามนี้ในเมืองยังครึกครื้นอยู่ ท่านอ๋องอย่าพลาดโอกาสดีๆ เลยพ่ะย่ะค่ะ”
ถ้อยคำหวังดีของอีกฝ่ายฟังดูก็รู้ว่ามันเป็นเพียงแค่การเสแสร้ง แต่จิ่งอ๋องก็จำต้องยิ้มรับมัน แม้ในใจจะเคืองขุ่นอยู่ไม่น้อย เมื่อเรื่องถึงกรมถิงเว่ยแล้วเขาก็ไม่อาจก้าวก่าย
“อืม..ขอบใจที่เตือนข้านะใต้เท้าหยวน เช่นนั้นข้าก็ต้องขอตัวก่อนแล้วกัน แต่ถ้าใต้เท้าว่านมีปัญหาเรื่องใด บอกข้าได้นะ ข้ายินดีจะช่วยเหลือ” เอ่ยบอกก่อนจะหันไปหาเหม่ยหลิน ทำเอานางถึงกับเขินอายจนหน้าแดง
“ขอบพระทัยท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ น้อมส่งจิ่งอ๋อง” ทุกคนต่างก็คำนับพระอนุชาของฮ่องเต้ ซานหลางเหลือบตามองร่างเล็กของไป่อิงเล็กน้อย นึกขันที่นางแต่งกายเช่นบุรุษ
“ดูท่าจะผิดหวังจากคุณชายจานซั่วจนเสียสติไปแล้วกระมัง ถึงทำตัวอาจหาญออกหน้าแทนบิดา คงอยากตายอีกรอบล่ะสิ” ซานหลางเอ่ยหยันอีกฝ่ายในใจ แต่พอนึกดีๆ มันก็เป็นช่องทางที่ทำให้คนของเขาลงมือได้ บางทีเขาก็คิดว่านางตั้งใจยั่วยุคนร้ายจนมันเผลอ และสายตาเขามันก็เผยออกมาให้เห็น จนคิ้วสวยผูกกันเป็นปม
“อะไรของเขา คงไม่ได้ด่าเราอยู่ในใจหรอกนะ มองหน้าแบบนี้หมายความว่าไงกัน” ไป่อิงนึกในใจ ยามนี้นางดูมอมแมมใบหน้าก็เปื้อนเปรอะ ซ้ำอาภรณ์ก็มีหยดเลือดที่สาดกระเซ็นมาโดนตอนที่สังหารคนชุดดำ
ทำให้จิ่งอ๋องอดไม่ได้ต้องชะงักเท้าหันกลับมาสำรวจอีกครั้ง ก่อนจะทำทีเป็นไม่สนใจแล้วเดินออกไป ไป่อิงมองตามจนกระทั่งดวงตาสวยปะทะเข้ากับร่างใครบางคนที่คุ้นหน้า เพียงเท่านั้นนางก็มือเย็นเฉียบ
ก่อนจะกำมันจนขึ้นรอยแดง ชิงหงรับรู้ถึงสัมผัสแข็งกร้าวนี้จึงได้ลูบแขนนางเบาๆ โดยที่ไม่รู้เลยว่าเกิดสิ่งใดกับผู้เป็นนาย ดวงตาของนางแดงก่ำดูเหมือนกำลังคุกรุ่นอยู่
“คุณหนูเป็นอะไรเจ้าคะ” เสียงกระซิบแว่วมา ทำให้ไป่อิงได้สติ นางจึงได้คลายมือออกจากกัน
“เปล่า ข้ารู้สึกอึดอัด จะออกไปข้างนอก” นางเดินเลี่ยงออกมา โดยมีสายตาของทุกคนมองตามไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่พึ่งเดินเข้ามาก็หันมาส่งยิ้มผูกมิตรเช่นกัน
หวงเส้าจื่อ อดีตคนรักของไป่อิง ผู้ที่วางยาและสังหารนางอย่างเลือดเย็น การเดินผ่านหน้าอีกฝ่ายไปพร้อมกับความเคียดแค้นที่มีอยู่ในใจมันช่างยากนัก แต่ก็จำต้องแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไร ซ้ำยังส่งยิ้มตอบกลับอีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร พอพ้นมาพลันยิ้มนั้นก็หายไป เปลี่ยนเป็นใบหน้าบูดบึ้งและแววตาอาฆาต จนสาวใช้ถึงกับหวั่น
“คุณหนูไม่เป็นไรนะเจ้าคะ”
“อืม พี่ไปหาอะไรหวานๆ เย็นๆ มาให้ข้ากินที” เอ่ยบอกคนของตนก่อนจะเดินไปยังม้านั่งกลางสวน ซึ่งมันอยู่ในส่วนของเรือนนางเอง เพราะยามนี้มีคนของทางการกำลังจัดการกับร่างไร้วิญญาณของคนชุดดำและบ่าวรับใช้
“หึ!..ไม่คิดว่าเราจะได้พบกันอีกนะเส้าจื่อ” ไป่อิงเอ่ยออกมาแผ่วเบา ก่อนจะเงยขึ้นมองจันทราเบื้องบน