3. เอาคืน
ว่านอิงอิง หรือ ไป่อิง ยังคงเก็บตัวอยู่ในเรือน จนผ่านมาสามวันจึงได้ออกมาข้างนอก ด้วยอาภรณ์ที่ต่างออกไปจากแต่ก่อน มันไม่ได้เหมาะกับสตรีตัวน้อยที่เคยอ่อนแอผู้นี้เลยสักนิด เพราะชุดที่สวมใส่นั้นเป็นแบบของบุรุษ ผมก็ม้วนเกล้าขึ้นปักปิ่นต่างจากสตรีทั่วไป
“คุณหนูมั่นใจหรือเจ้าคะจะแต่งเช่นนี้” ชิงหงเอ่ยท้วงในทันที เมื่อเห็นผู้เป็นนายมีท่าทางห้าวหาญเกินไป
“แบบนี้แหละถึงจะถนัด”
“ถนัด? ..หมายถึงเรื่องใดเจ้าคะ”
“นี่พี่ชิงหง เคยมีคนบอกหรือไม่ว่าพี่นั้นขี้สงสัยมากเลยนะ” เอ่ยแล้วก็ยื่นมือออกมาบีบแก้มสาวใช้ ก่อนจะเดินออกนอกห้อง ซึ่งยามนี้บ่าวรับใช้ต่างก็กำลังทำหน้าที่ของตน บางคนก็รดน้ำพรวนดินต้นไม้ บางคนก็เดินถือถาดอาหารมุ่งตรงไปยังเรือนใหญ่เช่นทุกวัน
“พี่ชิงหง ปกติข้าไปทานอาหารกับคนในจวนหรือไม่” หันมาถามสาวใช้ข้างกาย ซึ่งอีกฝ่ายก็ส่ายหัวพร้อมกับยิ้มแห้ง “งั้นหรือ ช่างเป็นคนที่น่าสงสารเหลือเกิน แม้แต่ทานอาหารก็ยังไม่มีใครเรียก” เอ่ยเสียงหยันเจ้าของร่างเบาๆ
“คุณหนูอย่าไปเลยนะเจ้าคะ นายท่านยิ่งไม่พอใจอยู่”
สองเท้าเล็กหยุดลงในทันที ก่อนจะหันกลับมาหาสาวใช้ที่เดินตาม “การที่ข้าฟื้นขึ้นมาทำให้เขาไม่พอใจกระนั้นหรือ หึ! มีพ่อเช่นนี้ที่ไหนกัน เอาเถอะข้าจะไม่โผล่ไปให้เขาเห็นหน้าก็ได้” เอ่ยจบก็เดินเลี่ยงไปอีกทาง
“ตรงนั้นมีไว้ทำอะไรหรือพี่ชิงหง” นิ้วขาวชี้ไปยังประตู
“ส่วนนั้นเป็นเรือนของคุณชายเจ้าค่ะ”
“พี่ชายข้าน่ะหรือ” เอ่ยถามออกไปพร้อมกับขมวดคิ้ว ก่อนจะเดินตรงไปยังเรือนที่ว่า ซึ่งมีลานกว้างเตรียมเอาไว้ฝึกดาบและธนู เพราะตอนนี้เหวินโหรวทำงานให้กับหน่วยมังกรทองของจิ่งอ๋อง จึงต้องมีวิชาต่อสู้ติดตัวมากกว่าปกติ ต่างจากบิดาที่เป็นขุนนางในราชสำนัก
“ดูจากอาวุธ เหวินโหรวคงเป็นผู้ที่ชำนาญอยู่ไม่น้อยสินะ” ไป่อิงนึกในใจ ก่อนจะเดินมาหยุดที่ธนูซึ่งมีขนาดพอดีมือ นางจับขึ้นมามองดูเล็กน้อย แล้วน้าวสายทดสอบ ทำเอาสาวใช้คนสนิทถึงกับตาโต ไม่คิดว่าผู้ที่เอาแต่นอนป่วยอยู่ในห้อง จะสามารถมีแรงน้าวสายธนูได้จนสุดแขน
ไม่ใช่แค่ชิงหงที่ยืนชะงักมองภาพเบื้องหน้า เหวินโหรวที่พึ่งกลับมาจากทานอาหารกับบิดาก็แปลกใจเช่นกัน ไม่คิดว่าน้องสาวที่มักจะป่วยไร้เรี่ยวแรง จะสามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้ ก่อนนั้นแม้แต่แรงเดินยังไม่มีเลย
“คะ..คุณหนูไม่เจ็บมือหรือเจ้าคะ”
“ไม่นะ” ตอบก่อนจะแบมือให้อีกฝ่ายดู คิ้วสวยขมวดเป็นปมทันทีเมื่อเห็นว่ามันแดงจนน่ากลัว “ดูท่าเจ้าของร่างคงจะเอาแต่นอนอยู่บนเตียงสินะ ทุกส่วนเลยเหมือนจะแตกหักง่ายเช่นนี้ มิน่าข้าถึงได้รู้สึกเหมือนร่างกายเหนื่อยอ่อนตลอดเวลา” นึกในใจแล้วก็เวทนาว่านอิงอิง นางคงเจ็บป่วยมานานอย่างที่สาวใช้เอ่ยบอก
ตอนนี้ไม่แปลกใจเลยที่เดินออกมาจากห้อง แล้วพบเห็นสายตาของทุกคนที่มองมาราวกับเจอเรื่องประหลาด ก็ว่านอิงอิงเปลี่ยนไปภายในเวลาแค่วันเดียว ดีเท่าไหร่ที่คนเหล่านั้นไม่คิดว่านางเป็นผีเช่นตอนที่ฟื้นขึ้นมา
“อิงอิง เจ้ามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร หายดีแล้วหรือ ต้องลมมากไปจะไม่สบายเอานะ” เหวินโหรวเดินเข้ามาหา ก่อนจะปลดเอาเสื้อคลุมบนตัวห่มให้ แต่ก็ถูกมือเล็กดันออก ก่อนจะหันมาหาสาวใช้คนสนิท
“นายน้อยเหวินโหรวเจ้าคะ พี่ชายของคุณหนู” ชิงหงกระซิบบอก ไป่อิงจึงหันกลับมาส่งยิ้มให้เขา ซึ่งมันดูสดใสเป็นอย่างมาก ต่างจากแต่ก่อนจนน่าแปลกใจ
“ท่านพี่ข้าสบายดีเจ้าค่ะ” ตอบกลับเสียงหวาน
“เจ้าแน่ใจหรือ” อีกฝ่ายถามย้ำ เขาไม่อยากเชื่อว่าน้องสาวจะเป็นอย่างที่บอก เพราะนางป่วยมาตั้งแต่เด็ก เขาจำได้ว่าตอนที่อิงอิงห้าขวบนางก็ไม่ออกจากห้องแล้ว ถูกลมนิดหน่อยก็ต้องล้มหมอนนอนเสื่อ
“อืม..ข้าหายแล้ว ไม่มีอะไรต้องห่วงหรอก” เอ่ยขึ้นอย่างลืมตัว เพราะอีกฝ่ายอายุเท่ากันกับผู้ที่อยู่ในร่างนี้ นางจึงเผลอมองเขาเป็นเช่นสหายทั่วไป
“เจ้าแน่ใจหรือว่าหายแล้ว” เหวินโหรวถามย้ำ
“คุณหนู ปกติท่านแทนตนเองว่าอิงอิงนะเจ้าคะ ไยถึงพูดกับนายน้อยเช่นนั้น” ชิงหงดึงแขนผู้เป็นนายออกมากระซิบ ทำเอาคนตัวเล็กถึงกับเลิ่กลั่ก
“จริงหรือ ข้าก็ลืมไป” เอ่ยจบก็ส่งยิ้มให้กับพี่ชาย “เอ่อ..ท่านพี่อย่าถือสาอิงอิงเลยนะเจ้าคะ เป็นเพราะยาที่กินเข้าไปจึงทำให้ความจำเลอะเลือน” เอ่ยจบก็ยิ้มแห้งใส่
“ช่างเถอะ แค่เจ้าหายดีลุกเดินได้เช่นนี้พี่ก็ดีใจแล้ว หากเจ้าอยากออกกำลังกายฝึกยิงธนูพี่จะสอนแล้วกัน” เขาเอ่ยบอกก่อนจะหยิบลูกศรขึ้นมา ยืนประกบซ้อนหลังเพื่อจะสอนท่าทางในการยิง แต่คนน้องกลับเบี่ยงตัวออก
“เอ่อ..อิงอิงยังไม่ได้ทานอะไรเลย ตอนนี้หิวแล้วขอตัวนะเจ้าคะ” เอ่ยบอกเสียงเบา พร้อมกับยกมือกุมท้อง
“งั้นหรือ เช่นนั้นก็รีบไปเถอะ” เสียงทุ้มอ่อนโยนดังขึ้น คนน้องจึงยกมือขึ้นคำนับพี่ชายก่อนจะเดินผละออกมา
“เห้อ! อยู่ที่นี่ต้องทำตัวเงียบๆ เข้าไว้ เจ้าจะแสดงพิรุธไม่ได้นะไป่อิง” นึกตำหนิตนเองในใจ พอมาถึงหน้าเรือนก็พบใครบางคนยืนอยู่ “ถ้าเดาไม่ผิดคงเป็นบุตรสาวคนเล็กของตระกูลนี้สินะ ชิงหงบอกว่าเด็กคนนี้ชอบแกล้งอิงอิง หึ! มาที่นี่ก็คงไม่พ้นเรื่องนี้กระมัง” นึกในใจพร้อมกับมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาเรียบเฉย
“ชิ! ทำไมเจ้าถึงไม่ตายไปเสีย จะฟื้นกลับมาอีกทำไม รู้ไหมว่าทำให้สกุลว่านต้องอับอาย” อีกฝ่ายส่งเสียงเย้ยหยันทันที เพราะแค่เอ่ยเท่านี้อีกไม่นานคนตรงหน้าก็จะร้องไห้ และต้องล้มป่วยในเวลาต่อมาเป็นแน่ แต่สิ่งที่เห็นคืออีกฝ่ายยืนนิ่ง หนำซ้ำยังยกยิ้มใส่ราวกับว่าเยาะเย้ยนางอยู่
“เจ้ามองข้าเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
“ไยข้าต้องบอกเจ้า” เอ่ยจบก็เดินกระทบไหล่คุณหนูสี่เข้าเรือนของตน ชิงหงจึงรีบปิดประตูลงในทันที
ทำเอาผู้ที่ยืนอยู่หน้าเรือนได้แต่ร้องกริ๊ดออกมา เพราะไม่เป็นไปอย่างที่ใจต้องการ ซ้ำยังถูกอีกฝ่ายเดินกระแทกใส่ ซึ่งอิงอิงไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อนเลยสักครั้ง
“คุณหนูสี่ไปเถอะเจ้าค่ะ หากนายท่านมาได้ยินจะถูกตำหนิเอานะเจ้าคะ” สาวใช้รีบเอ่ยเตือนทันที
“หึ! ก็ให้มันรู้ไปสิว่าท่านพ่อจะเข้าข้างลูกนอกไส้ผู้นี้ มากกว่าข้า” เสียงเกรี้ยวกราดของสตรีตัวน้อยดังขึ้น ก่อนที่เหวินโหรวที่ได้ยินเสียงจะตรงมา แล้วรีบพาน้องสาวคนเล็กออกไปจากตรงนี้ เพราะเขาไม่อยากให้อิงอิงได้ยิน เกรงว่านางจะล้มป่วยไปอีก
“หุบปากของเจ้าเสียเหม่ยหลิน อิงอิงเป็นคนสกุลว่าน เป็นพี่สาวของเจ้า อย่าได้เอ่ยเรื่องเช่นนี้ออกมาอีก”
“ท่านพี่ ท่านก็รู้ว่าไม่จริง นางหาใช่บุตรสาวของท่านพ่อไม่ พอเติบโตก็ทำให้สกุลว่านของเราต้องมัวหมอง ข้าเกลียดนาง” เหม่ยหลินแผดเสียงลั่นลานกว้าง ทำเอาบ่าวไพร่ต่างก็พากันก้มหน้าลงเพราะตื่นกลัวคุณหนูผู้นี้
“ท่านพ่อ ท่านต้องจัดการให้ข้านะ อิงอิงนางเดินเอาไหล่กระแทกข้าจนล้ม ลูกเจ็บไปหมดแล้วท่านพ่อ” เหม่ยหลินรีบกล่าวหาอีกฝ่ายเกินจริงทันที ซึ่งยามนี้เฉินไห่ก็ตั้งใจจะไปลงโทษผู้ที่ทำให้สกุลว่านถูกครหาอยู่เช่นกัน
“ไม่ต้องห่วงพ่อจะจัดการนางให้” เอ่ยจบก็เดินไปยังเรือนด้านหลัง เหวินโหรวจึงรีบตามไปด้วย
ปัง!! ประตูถูกผลักให้เปิดออกด้วยการกระแทกเต็มแรง ทำให้ผู้ที่อยู่ด้านในเอียงคอมองอย่างสงสัยทันที ต่างจากชิงหงที่ดูเหมือนจะตื่นกลัวเป็นอย่างมาก
“จับตัวนางมาคุกเข่าตรงหน้าข้า” เสียงเหี้ยมดังขึ้น ก่อนที่ร่างของอิงอิงจะถูกหิ้วปีกให้มานั่งลงตรงหน้าบิดา โดยมีเหวินโหรวยืนอยู่ข้างๆ เพราะเป็นห่วงน้องสาวผู้นี้
“เจ้าทำให้สกุลว่านอับอายขายขี้หน้ายังไม่พอ มาตอนนี้ยังทำร้ายเหม่ยหลินอีก ไยเจ้าถึงไม่ตายไปตั้งแต่ตอนนั้นเสีย ฟื้นกลับมาอีกทำไม” คนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดาเอ่ยขึ้น นัยน์ตานั้นไร้แววอาทรจนน่าใจหาย
แต่สตรีตัวน้อยก็หาได้โศกเศร้า นางนึกดีใจกับเจ้าของร่างมากกว่าที่ตายไปเสียได้ อยู่ต่อก็คงมีแต่ทุกข์ใจเป็นแน่
“อิงอิงคงฟื้นกลับมาทวงเอาสมบัติของมารดากระมัง ได้ยินว่าท่านแม่มีสินเดิมอยู่มากมาย ตบแต่งเข้ามาก็เพื่อจุนเจือสกุลว่านในยามที่อดอยากปากแห้งไม่ใช่หรือเจ้าคะ ตอนนี้ก็มีหน้ามีตาแล้วก็น่าจะคืนให้บุตรตัวจริงไม่ใช่หรือ ในเมื่อท่านพ่อไม่ได้คิดว่าข้าเป็นคนสกุลว่านอยู่แล้ว” คนที่คุกเข่าอยู่เอ่ยเสียงเรียบ ดวงตาเรียวคมจ้องมองผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าบิดานิ่งไร้ท่าทางตื่นกลัวเช่นแต่ก่อน
“นี่เจ้า! เอ่ยอันใดพล่อยๆ นางมาแต่ตัวจะมีสินเดิมมาจากไหนกัน” เฉินไห่สวนกลับเสียงดังเพื่อขมขู่ทันที
“เตรียมม้ายาวข้าจะโบยมันด้วยมือข้าเอง” ออกคำสั่งเสียงเย็น ทำเอาชิงหงถึงกับตัวสั่นเทา แต่จำต้องหมอบนิ่งเพราะผู้เป็นนายสั่งเอาไว้ว่าห้ามเอ่ยสิ่งใดทั้งนั้น ไป่อิงจึงยันกายลุกขึ้นยืนต่อหน้าโดยไม่เกรงกลัว
“ใครสั่งให้เจ้าลุกขึ้นมา” เหม่ยหลินส่งเสียงตวาดทันที
“ท่านพ่อคงยังไม่รู้ว่าท่านแม่ทิ้งจดหมายปิดผนึกเอาไว้ ระบุว่ามีสินเดิมคืออะไรบ้าง หากกล่าวออกมาแล้วดูท่าสกุลว่านคงจะเหลือแต่ชื่อเสียงกระมัง” เอ่ยแล้วก็หันมองไปรอบห้อง ซึ่งมีคนของบิดามากกว่าสิบ ทำเอาไห่เฉินถึงกับหน้าเสีย จึงสั่งให้คนงานออกไปจนหมดเหลือเพียงคนสนิทที่เหลือไว้ให้จัดการบุตรสาวปากดีผู้นี้
“อิงอิง นี่เจ้ากล้าขู่ท่านพ่อหรือ” เหม่ยหลินตรงเข้ามาพร้อมกับง้างมือ หมายจะจัดการกับอีกฝ่าย แต่ยังไม่ทันได้ถึงตัวร่างของนางก็ถูกพี่ชายรั้งเอาไว้เสียก่อน
“ทำตัวให้ดีน้องหญิง หากข้ามีรอยขีดข่วนแม้แต่น้อย ข้าอาจจะริบแม้กระทั่งจวนนี้นะ” เสียงหวานเปล่งออกมาราวกับเป็นคำบอกเล่า แต่หากฟังดูดีๆ มันคือถ้อยคำข่มขู่นั่นแหละ ว่านเฉินไห่กำมือแน่นจ้องนางด้วยสายตาคมกริบราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“หึ!..เจ้าคิดว่าเป็นต่อสินะ หากเจ้าตายไปตอนนี้ใครกันล่ะจะมาร้องเรียนข้าได้” อีกฝ่ายเอ่ยเสียงหยันกลับมา
“ท่านแม่ก็คงรู้ว่าจะต้องเป็นเช่นนี้กระมัง นางก็เลยบริจาคทุกอย่างให้กรมวังหากข้าตาย และอีกอย่างนะท่านพ่อ จดหมายที่ว่า หาได้อยู่กับข้าไม่ แต่จะอยู่ที่ใครนั้น ดูท่าคงต้องลองสังหารข้าดูแล้วล่ะ ถึงจะรู้ว่าจดหมายอยู่กับผู้ใด ยังดีนะที่ข้าฟื้นขึ้นมาเสียก่อน ไม่เช่นนั้นทรัพย์สมบัติทั้งหมด คงตกเป็นของแผ่นดินไปแล้วเป็นแน่”
เอ่ยขึ้นอย่างเป็นต่อ ทำเอาว่านเฉินไห่ถึงกับหน้าถอดสี เพราะก่อนที่ไป่ถิงจะสิ้นใจ นางกำชับนักหนาให้ดูแลอิงอิงให้ดี ไม่เช่นนั้นคนที่เสียใจจะเป็นเขา นางคงหมายถึงเรื่องนี้กระมัง เมื่อนึกถึงตรงนี้เขาก็ขบกรามแน่น ไม่คิดว่าจะเสียรู้คนที่ตายไปแล้วได้
“ว่าอย่างไรเจ้าคะ..ท่านพ่อ..ยังอยากจะให้ลูกตายอีกหรือไม่” เอ่ยถามเสียงหวานเน้นคำเรียกจนอีกฝ่ายขบกรามแน่น ก่อนจะทุบโต๊ะแล้วเดินออกไปโดยไม่เอ่ยสิ่งใด