บทที่ 3
ท่านไม่มีวันทำอย่างนั้นแน่นอน
“จริงครับ ทุกอย่างที่อาพูดมันเป็นความจริงที่หนูแอมไม่เคยได้รู้ คุณเกรียงไกรแอบมีเมียน้อย ตั้งแต่สามปีก่อนครับ โดยปกปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ และทำตัวตามปกติทุกอย่าง เพื่อไม่ให้ใครสงสัย ที่สำคัญศิริธรผู้หญิงที่เป็นภรรยาน้อย ก็ไม่เคยเข้ามารังควานคุณปัทมาและหนูแอมด้วย เธอเจียมตัวอยู่อย่างเจียมตนมาตลอด คุณเกรียงไกรรักศิริธรมาก จึงยกทุกอย่างให้เธอครับ
วันที่เกิดอุบัติเหตุคุณเกรียงไกรโทรมาหาอา ระหว่างที่คุยโทรศัพท์กัน อาได้ยินเสียงคุณปัทมาร้องห่มร้องไห้ ตีโพยตีพายเรื่องที่คุณเกรียงไกรนอกใจ ผมจึงสันนิษฐานว่า อุบัติเหตุในวันนั้น คงจะมาจากคุณปัทมารู้ความจริง ทั้งคู่อาจจะมีปากเสียงถึงขั้นลงไม้ลงมือกันในรถ ทำให้รถเสียหลักพุ่งชนรถไฟฟ้า” โอภาสตอบคำถามให้หญิงสาวรุ่นลูกเข้าใจในเรื่องราวทั้งหมด
บุศย์รินทร์นั่งนิ่ง เธอรู้สึกช็อกกับเรื่องที่ได้ยิน สมองของเธอกำลังหยุดนิ่ง ไม่มีความคิดใดๆ อยู่ในหัว มันว่างเปล่าและขาวโพลน โอภาสเห็นสีหน้าหลุดลอยของบุศย์รินทร์แล้ว อดที่จะสงสารไม่ได้ แต่เขาก็ไม่อาจทำอะไรได้มากไปกว่า ปลอบโยนและเรียกสติ
“หนูแอม หนูแอม”
มือเหี่ยวย่นตามวัยเขย่าร่างของบุศย์รินทร์ เพื่อให้ดึงสติที่คิดว่าคงจะเตลิดไปไกล ให้กลับคืนมา
“คะคุณอา” เสียงนั้นเลื่อนลอยเหลือเกิน
“อามีอีกเรื่องที่จะต้องบอก”
โอภาสยังไม่หมดเรื่องที่จะทำให้เธอช็อก เขายังไม่พูด แต่โทรศัพท์ไปเรียกใครบางคนที่นั่งอยู่ในรถยนต์ของเขา ให้เข้ามาในห้องรับแขก แล้วเมื่อมีบุคคลที่สามเข้ามานั่งในบนโซฟา โอภาสก็เดินเรื่องที่สอง
“หนูแอม หนูแอมครับ” เขาเรียกเธออีกครั้งเสียงดังกว่าเดิม
“คะคุณอา” บุศย์รินทร์ขานรับเสียงเบา หันมามองสตรีหน้าตาสวยพริ้งที่นั่งอยู่บนโซฟาอีกตัวด้วยความสงสัยว่าเป็นใคร ยังไม่ทันที่เธอจะถามโอภาสว่าสตรีคนนี้คือใคร เสียงของคนที่เข้ามาใหม่ก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ฉันชื่อศิริธร รัตนพิทักษ์ เป็นเมียน้อยของพ่อเธอ” เสียงแข็งๆ ที่แลดูไม่เป็นมิตรแนะนำตัว นั่งเชิดมองบุศย์รินทร์ที่นั่งอ้าปากค้าง
“เรื่องที่สองที่อาจะพูดก็คือ เรื่องพินัยกรรมครับ อานัดคุณศิริธรมาในวันนี้ด้วย ก็เพราะจะได้เปิดพินัยกรรมให้มันจบๆ กันไป” โอภาสพูด ขณะที่หยิบซองสีน้ำตาลอีกซองออกมาจากกระเป๋า
“เริ่มเลยนะครับ” เขาบอกก่อนจะเริ่มอ่าน
“ข้าพเจ้านายเกรียงไกร เอกธรรมรงค์ ได้เขียนพินัยกรรมฉบับนี้ขึ้น ด้วยสติที่สมบูรณ์ทุกประการ ไม่มีการขู่เข็ญ บังคับแต่ประการใด ข้าพเจ้าขอมอบทรัพย์สมบัติ ทุกอย่างของข้าพเจ้า ให้กับนางสาวศิริธร รัตนพิทักษ์ แต่เพียงผู้เดียว ตามลำดับของทรัพย์สินดังนี้
1. บ้านพร้อมที่ดินของบ้านเลขที่ 152 หมู่ 3 แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพฯ
2. เครื่องประดับและทรัพย์สินอื่นๆ ที่อยู่ในตู้เซฟ ในห้องนอนของข้าพเจ้า
3. รถยนต์สี่คัน ที่ข้าพเจ้าเป็นคนถือกรรมสิทธิ์
4. ที่ดินจำนวนสามแปลง ในจังหวัดลำปาง เชียงราย และภูเก็ตที่เป็นชื่อของข้าพเจ้า
5. หุ้นจำนวน 52% ในบริษัทแอลโอเอส กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
6. คอนโดชุดในโครงการ ศิวลัย จำนวน 1 ยูนิต
7. บ้านพักตากอากาศ ในจังหวัดกระบี่ ลงวันที่ 14 มิถุนายน 2555”
บุศย์รินทร์อึ้งไปอีกรอบ ช็อกไปอีกหน กับรายละเอียดพินัยกรรมของบิดา เป็นไปได้หรือ ที่บิดาไม่ยกสมบัติให้ลูกสาวในไส้คนนี้ แม้แต่ชิ้นเดียว เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่า มันเป็นเรื่องจริง
หรือว่านี่คือความฝัน...ต้องใช่แน่ๆ แต่ทว่าเสียงของศิริธรบอกให้บุศย์รินทร์รู้ว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้ล้วนเป็นเรื่องจริง เรื่องจริงที่เธอต้องยอมรับมันให้ได้
“ได้ยินชัดแล้วใช่ไหมว่า ทุกอย่างของคุณเกรียงไกรเป็นของฉัน ฉะนั้นเธอก็รีบไสหัวออกไปจากที่นี่ได้แล้ว ฉันให้เวลาเธอถึงพรุ่งนี้ ถ้าเธอยังไม่ออกไปจากบ้านฉัน จะมาหาว่าฉันใจร้ายใจดำไม่ได้นะ”
ศิริธรที่เวลานี้มีสิทธิ์โดยชอบธรรมทุกสิ่งทุกอย่างของตระกูลเอกธรรมรงค์ ประกาศกร้าว ขับไล่สาวไร้หนทางได้อย่างเลือดเย็น ใจจืดใจดำเป็นที่สุด
“ไม่ บ้านหลังนี้ก็เป็นของคุณแม่เหมือนกัน แอมไม่ไปไหนทั้งนั้น สมบัติของคุณพ่อก็เหมือนกับของคุณแม่ด้วย”
เธอเถียงทั้งที่ไม่รู้เรื่องใดๆ เลย ศิริธรระเบิดเสียงหัวเราะออกมาประหนึ่งสะใจ
“ฮ่าๆๆ เธอนี่มันใสซื่อจริงๆ เลยนะ เธอไม่รู้เหรอว่า ชื่อสมบัติทุกชิ้นเป็นชื่อของพ่อเธอหมด ไม่มีสักชิ้นที่เป็นของแม่เธอเลย แล้วอย่างนี้แม่เธอจะมีสมบัติติดตัวได้ยังไง” คำพูดของศิริธร เรียกความตกใจให้กับสาวใสซื่ออีกรอบ
บุศรินทร์ทั้งอึ้งและตกใจ ดวงหน้าหวานสวย ซีดเผือดราวกับกระดาษขาว นัยน์ตาปนเศร้าเคล้าไปด้วยน้ำตา เวลานี้เธอคิดอ่านอะไรไม่ออก ทุกอย่างมันตื้อไปหมด สับสน งวยงง ไม่เข้าใจ เสียใจ น้อยใจ ความรู้สึกทั้งหลายทั้งมวลตีกันยุ่งเหยิง
เป็นไปได้อย่างไร ที่บิดาของเธอจะไม่ยกทรัพย์สินให้กับลูกในไส้แม้แต่แดงเดียว มันจะเป็นไปได้หรือ มันคงเป็นไปไม่ได้ เธอไม่อยากจะเชื่อเลย
“แอมไม่เชื่อค่ะว่า คุณพ่อจะไม่ยกอะไรให้แอมเลย แอมไม่เชื่อค่ะ”
“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ เพราะพินัยกรรมระบุอย่างนั้น อาเองก็อยากจะช่วยหนูแอมนะครับ แต่ช่วยไม่ได้จริงๆ อาเสียใจ”
โอภาสกล่าวอย่างจนใจ มองหน้าลูกสาวอดีตเจ้านายด้วยความสงสาร ทว่าเขาก็ไม่อาจยื่นมือเข้าช่วยเหลือได้
“คุณอา” บุศย์รินทร์เรียกทนายความประจำตระกูลเสียงสั่นเครือ น้ำตาทิ้งตัวลงมาจากเบ้าตา ไหลอาบแก้ม รู้สึกรันทดตัวเองยิ่งนัก
“อาช่วยไม่ได้จริงๆ หนูแอม” โอภาสบอกสาวตรงหน้า ราวกับจะย้ำเตือนให้เธอรู้ว่า ถึงอย่างไรเสียเธอก็ต้องออกไปจากบ้านหลังนี้ โดยไม่มีอะไรติดตัวไปเลย นอกเสียจากทรัพย์สินส่วนตัว
“พรุ่งนี้เที่ยงฉันจะย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ หวังว่าคงจะไม่เจอเธอที่นี่นะ”
ศิริธรผสมโรงตอกย้ำ บ่อน้ำตาของบุศย์รินทร์แตกทันควัน ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อาย ผุดลุกขึ้นยืน ก้าวเท้าวิ่งไปยังห้องนอนส่วนตัวของตน บนชั้นสองของบ้าน หลบหนีความจริงที่จะสร้างความเจ็บปวดให้กับเธออย่างแสนสาหัสโดยมีสายตาเยาะเย้ยของ
ศิริธรมองตามไป ก่อนที่คนจะได้สมบัติทุกอย่างหันหน้ามามองโอภาส
“ไปกันเถอะค่ะคุณพ่อ หมดเรื่องแล้ว”
“ลูกจะไม่สำรวจบ้านหลังนี้ก่อนเหรอ ว่าจะต่อเติมหรือว่าจะเอาอะไรย้ายออก จะซื้ออะไรเพิ่มเติม”
โอภาสที่แท้จริงแล้วคือบิดาบังเกิดเกล้าของศิริธร เอ่ยถามลูกสาว ที่บัดนี้กลายเป็นเศรษฐีในพริบตา ครอบครองทรัพย์สมบัตินับพันล้าน
“ไม่ล่ะค่ะ เอาไว้พรุ่งนี้ก็ได้ ถึงยังไงบ้านหลังนี้ก็เป็นของนิดอยู่ดี มีเวลาดูมันอีกนานค่ะ อีกอย่างนิดนัดกับดาวไว้ด้วยค่ะ กะว่าจะไปดูเครื่องเพชรสักชุด มาฉลองความรวยซะหน่อย”
“งั้นก็ตามใจ เอาไว้ดูพรุ่งนี้ก็ได้ จะได้ดูพร้อมๆ กันไปเลย อยากจะตกแต่งเพิ่มเติมตรงไหน จะได้บอกช่างทีเดียว” โอภาสตามใจลูกสาว เธอว่าอย่างไรเขาว่าตามนั้น
สองพ่อลูกเดินออกไปจากบ้านหลังงาม ที่ทั้งสองร่วมมือกันนำมันมาอยู่ในครอบครองได้สำเร็จ การที่ศิริธรเป็นภรรยาน้อยของเกรียงไกร ไม่ใช่บุพเพสันนิวาสแต่อย่างใด แต่ทว่ามันเป็นแผนการของโอภาส ที่ใช้ศิริธรลูกสาวเป็นสะพานแห่งความร่ำรวย
ศิริธรเป็นสาวสะพรั่งวัยยี่สิบเจ็ดปี อายุน้อยกว่าภรรยาของเกรียงไกรถึงยี่สิบสามปี ศิริธรโปรยเสน่ห์ใส่เกรียงไกรให้ลุ่มหลงจนโงหัวไม่ขึ้น จากนั้นก็ปอกลอกทรัพย์สมบัติทีละชิ้น และพินัยกรรมฉบับนี้ ก็ไม่ใช่ฉบับจริง โอภาสใช้ความรู้และความไว้เนื้อเชื่อใจที่เกรียงไกรมีให้ ปลอมแปลงพินัยกรรมทั้งหมดด้วยตัวเอง เปลี่ยนชื่อคนที่ได้รับมรดกทุกอย่าง จากบุศย์รินทร์เป็นศิริธร โดยที่ไม่มีใครสามารถตรวจสอบได้ว่า พินัยกรรมฉบับนี้เป็นของปลอม เพียงแค่นี้สมบัติมากมายก็ตกมาเป็นของลูกสาวสุดที่รักโดยไม่สนใจว่าเจ้าของมรดกตัวจริงจะใช้ชีวิตอย่างไร และไม่ยกทรัพย์สมบัติให้กับสาวน้อยผู้น่าสงสารแม้แต่ชิ้นเดียว