บทย่อ
“แม้จะเหนื่อยกายแค่ไหน ขอเพียงมีพี่หนึ่งอยู่เคียงข้าง แก้วก็ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว แม้กระทั่งความตาย”ประโยคซึ้งของแก้วกาญจน์“พี่แก้วทำเพื่อผมมามากแล้ว ต่อไปนี้ผมจะทำทุกอย่างให้พี่แก้วบ้าง แม้ว่าผมจะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน ใช้ความพยายามมากเพียงใด ผมก็จะนำหัวใจดวงใหม่มาให้พี่แก้วให้ได้”คำมั่นสัญญาของกันตธร“พี่เหนื่อยแค่ไหนพี่ไม่ห วั่น ขอเพียงกลับมาบ้านแล้วเห็นรอยยิ้มของแอม แค่นี้พี่ก็หายเหนื่อย มีพลังขึ้นเป็นกอง ไม่หวาดหวั่นว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไร กายพี่ ใจพี่มอบให้แอมเสมอ”โชคอนันต์ ชายหนุ่มที่ทำทุกอย่างเพื่อคนที่ตนรัก“พี่โชคเป็นคนที่แอมรักและดีกับแอมมาตลอด ไม่ว่าจะชาตินี้หรือชาติไหน หัวใจของแอมจะเป็นของพี่ตลอดไป”บุษย์รินทร์ หญิงสาวแสนดี
บทที่ 1
“โป๊กๆๆๆๆๆ”
เสียงสากกระทบกับครกหินดังก้องไปทั่วห้องครัวแคบๆ ภายในบ้านไม้ชั้นเดียว หลังเล็ก กลางชุมชนห้วยสวรรค์ ชุมชนขนาดกลางที่มีผู้พักอาศัยทั้งหมดราวห้าร้อยครัวเรือน เจ้าของบ้านที่เกิดเสียง กำลังสาละวนอยู่กับการทำน้ำพริกปาทูและผักเครื่องเคียง เพื่อเดินขายในชุมชนดังเช่นทุกวัน
แก้วกาญจน์วางสากหินลงในกะละมังใบเล็ก ก่อนจะตักน้ำพริกรสเด็ด ที่เพิ่งทำเสร็จในครกสุดท้ายใส่ลงไปในหม้ออลูมิเนียม ที่มีน้ำพริกปลาทูครกก่อนหน้าบรรจุอยู่ นำฝาหม้อมาปิดกันสิ่งสกปรกตกลงไปในอาหาร จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นไปดูน้ำร้อนในหม้อขนาดกลาง ที่ตั้งอยู่บนเตาไฟ เอื้อมมือไปหยิบผักชนิดต่างๆ ที่เตรียมไว้มาลวกต้ม พอเสร็จสิ้นการทำผักเครื่องเคียง ก็มาถึงขั้นตอนบรรจุถุง
“แก้ว แกจะขยันไปไหนเนี่ย ทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นนอต หัดพักผ่อนซะบ้างสิ แกทำงานไม่เคยพักเลยนะ”
วาสนาเพื่อนสนิทที่อยู่ในชุมชนเดียวกัน ยืนเท้าเอวบ่นเพื่อนที่กำลังตักน้ำพริกปลาทูใส่ถุง
“ฉันไม่เหนื่อยหรอกน่า อีกอย่างนะ พักเมื่อไหร่ก็พักได้ ฉันอยากทำงานหาเงินก่อนมากกว่า”
สาวจอมขยันพูดไปด้วยตักน้ำพริกใส่ถุงไปด้วย วาสนาส่ายศีรษะระอากับความดื้อด้านของเพื่อน ทรุดกายนั่งช่วยแก้วกาญจน์นำผักต้มและผักสดใส่ถุง
“ตัวการที่แกต้องมานั่งหลังขดหลังแข็ง ทำงานงกๆ อยู่ไหนล่ะ แทนที่จะมาช่วยแกบ้าง ไม่มีเลย” วาสนากระแทกเสียงพูด จงใจปล่อยเสียงให้ดัง หวังจะให้ใครอีกคนหนึ่งได้ยิน บ้านหลังแค่นี้ หากไม่ได้ยินก็ต้องเพิ่มโรคให้อีกหนึ่งโรค คือโรคหูหนวก
“นา แกพูดเบาๆ สิ เดี๋ยวพี่หนึ่งได้ยิน”
แก้วกาญจน์ปรามเพื่อน
“ก็ให้ได้ยินบ้างน่ะดีแล้ว จะได้รู้ว่าแกเหนื่อยมากแค่ไหน ที่จะต้องหาเงินคนเดียว เลี้ยงทั้งตัวเองแล้วยังจะเลี้ยงมันอีก”
วาสนาเอ่ยถึงอีกคน ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ถึงแม้จะรู้ว่าคนที่ตนพูดกระทบไม่เหมือนคนปกติ แต่เธอก็ต้องการให้เขาหัดดูแลตัวเองบ้าง ไม่ใช่ทิ้งภาระให้เพื่อนสนิทเพียงคนเดียว
“พี่หนึ่งเขาก็ช่วยฉันนะ เขาช่วยฉันทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ที่พอจะทำได้ อย่างจานชามพวกนี้ พอฉันออกไปขายของ พี่หนึ่งก็มาล้างให้ แกก็รู้นี่ว่าพี่หนึ่งเขาไม่ค่อยแข็งแรง แกอย่าไปว่าพี่หนึ่งเลยนะ”
แก้วกาญจน์ออกโรงป้องกันตธร ชายหนุ่มที่เปรียบเสมือนคนในครอบครัว เป็นญาติคนสุดท้ายของเธอ และเป็นคู่ชีวิตในอนาคต
“แกก็เป็นซะอย่างนี้ ถึงได้ต้องมานั่งหลังขดหลังแข็งขายน้ำพริกเป็นอาชีพเสริม กำไรก็ไม่ใช่ว่าจะเยอะ แค่สองร้อยกว่าบาท มันจะคุ้มกันมั้ยเนี่ย?” วาสนายังคงบ่นเพื่อนสาวต่อไป
“สองร้อยกว่าบาทมันก็เงินไม่ใช่เหรอ แกไม่เคยได้ยินหรือไงที่เขาว่ากันว่า มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท แกคิดดูได้กำไรวันละสองร้อยห้าสิบ สิบวันก็สองพันห้า เดือนนึงก็ตั้งเจ็ดพันห้าแล้ว เงินไม่ใช่น้อยเลยนะแก”
แก้วกาญจน์พูดอย่างภูมิใจกับเงินกำไรของตนเอง ไม่ว่าเธอจะได้กำไรเพียงแค่สิบบาทหรือยี่สิบบาท เธอก็ถือว่าเป็นเงินที่มีค่า เพราะทุกบาททุกสตางค์ที่ลำบากลำบนหามาได้ ทำเพื่อคนที่ตนเองรักทั้งสิ้น
“ฉันไม่เถียงแกแล้ว พูดไปแกก็ไม่เชื่อ หยุดทำงานสักวัน มันคงไม่เป็นไรหรอกน่า แล้วราคาน้ำพริกนี่ก็เหมือนกัน ขายไปได้ยังไงสิบห้าบาท อร่อยอย่างนี้ ให้เยอะอย่างนี้ น่าจะขายสักสามสิบบาท รับรองว่าแกต้องได้กำไรเพิ่มอีกหลายร้อยแน่ๆ”
วาสนาเลิกบ่นเรื่องกันตธร หันมาบ่นเรื่องราคาขายน้ำพริกที่ผลัดเปลี่ยนกันทุกวัน เมื่อวานเป็นน้ำพริกกะปิ วันนี้เป็นน้ำพริกปลาทู พรุ่งนี้อาจจะเป็นน้ำพริกแมงดา ราคาขายของแก้วกาญจน์นั้นถูกมากๆ ถูกกว่าร้านขายน้ำพริกพร้อมเครื่องเคียงชนิดต่างๆ ในตลาดนัดละแวกบ้านเสียอีก หนำซ้ำความอร่อยยังห่างกันลิบลิ่ว ขายชุดละสามสิบบาทยังได้เลย
“คนแถวนี้ก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรนะนา หาเช้ากินค่ำกันทั้งนั้น จะไปรีดเลือดกับปูได้ยังไง ขายชุดละสิบห้าบาท ฉันก็ว่าดีแล้วนะ เขาอยู่ได้ฉันอยู่ได้แค่นั้นก็พอ ได้กำไรเท่าไหร่ก็เท่านั้น ถือว่าช่วยๆ กันไป”
สาวแสนดีอธิบายให้เพื่อนจอมเขียมเข้าใจ
“จ้ะแม่พระ แม่มหาจำเริญ แม่นางฟ้านางสวรรค์ประจำชุมชน ระวังเถอะความดีมีน้ำใจจะหล่นทับใส่หัวน็อคตายกลางอากาศ”
วาสนารู้ดีว่าแก้วกาญจน์เป็นคนดีมีน้ำใจมากแค่ไหน แต่สมัยนี้หากดีเกินไปก็ไม่ได้ มนุษย์มีหลากหลายรูปแบบ จะต้องตื่นตัวให้เข้ากับสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา อีกทั้งสังคมยุคปัจจุบัน ที่ยืนสำหรับคนดีนั้นมีน้อย และคนดีมักถูกเบียดบังจากคนไม่ดีเสมอ
“แกก็พูดเกินไป” แก้วกาญจน์พูดติงเพื่อน
“ฉันยึดมั่นในความดีนะ ยึดมั่นเสมอว่าคนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ และความดีก็ไม่ทำให้คนที่ทำความดีเกิดความล่มจม คนไม่ดีจะแพ้พ่ายความดีไปเอง และความมีน้ำใจของฉัน ถ้าคนอื่นไม่เห็น ฉันเห็นคนเดียวพอ”
สาวจอมขยันผู้ยึดมั่นในความดีและความมีน้ำใจ ไม่เคยหยุดที่จะทำทั้งสองสิ่งนั้นตราบใดที่แก้วกาญจน์ยังมีลมหายใจอยู่ เธอจะทำตามคำสั่งสอนของมารดาบุญธรรมที่พร่ำสอนตั้งแต่เยาว์วัย
“เฮ้อ!!...ฉันพูดกับแกทีไร ฉันดูเป็นคนไม่ดีทุกทีเลย”
วาสนาคิดเช่นนั้นจริงๆ เนื่องจากนิสัยของเธอกับเพื่อนรักแตกต่างกันมาก ต่างกันจนไม่คิดว่าจะเป็นเพื่อนสนิทกันได้ แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเพื่อนรักกันมานานถึงสิบปี
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แกก็เป็นคนดีมีน้ำใจนะนา อย่างน้อยๆ แกก็มาช่วยฉันจัดผักทุกวัน ใครจะว่าว่าแกงก แกเค็ม แกปากมาก เที่ยวอาละวาดคนไปทั่ว แต่สำหรับฉัน แกเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด และเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันด้วย”
แก้วกาญจน์คิดว่าคนเรามีความดีกันทุกคน ล้วนแล้วแต่ว่าจะเปิดเผยความดีมาตอนไหน อย่างเช่นวาสนา อุปนิสัยของเธอคือ ปากจัด ไม่ยอมเสียเปรียบใคร และไม่เคยเอาเปรียบใคร นิสัยมัธยัสถ์จนได้ฉายาว่า จอมงกประจำซอยแต่วาสนาก็มีไมตรีจิตและช่วยเหลือเธอเสมอ ดังเช่นตอนนี้เป็นต้น
“ซึ้งใจจนน้ำตาไหล” วาสนาทำหน้าทำตาซึ้งกินใจกับวาจาของเพื่อน “ฉันรักแกนะแก้ว ที่ฉันพูดเสมอๆ ไม่ใช่ฉันจะรังเกียจหนึ่ง แต่ฉันอยากให้แกรักตัวเอง เหมือนกับที่แกรักหนึ่งก็เท่านั้นเอง แกต้องดูแลตัวเองให้มากๆ ถ้าเผื่อแกเจ็บป่วยขึ้นมาแล้วใครจะดูแลหนึ่ง ฉันหวังดีกับแกนะ”
วาสนารู้เหตุผลของการกระทำ รู้เหตุผลของความลำบากของแก้วกาญจน์ดีว่าคืออะไร เธอเตือน เธอกระแนะกระแหนทุกวัน ไม่ใช่เพราะรังเกียจกันตธร สาวปากมากแค่ต้องการให้เพื่อนรู้จักกับคำว่าพักผ่อนบ้างก็เท่านั้น ไม่ใช่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ราวกับเป็นหุ่นยนต์เช่นนี้
“ฉันยังไหว ตราบใดที่พี่หนึ่งยังไม่หาย ฉันไม่มีวันยอมเป็นอะไรเด็ดขาด ฉันจะอยู่สู้เพื่อพี่หนึ่ง” คนฟังทำหน้าละเหี่ยใจ
“ไม่เป็นไรก็ดี แต่ถ้าวันไหนแกไม่ไหวจริงๆ ก็หัดพักบ้าง
นะ” วาสนาไม่วายเป็นห่วงเพื่อน
“รู้แล้วจ้ะ คุณแม่จ๋า” แม่ค้าสาวเย้าเพื่อนกลับ
“งั้นคุณลูกก็รีบจัดของให้เรียบร้อย เดี๋ยวจะได้ไปขายของกัน”
“ค่ะคุณแม่ เดี๋ยวคุณลูกจะช่วยคุณแม่นะเจ้าคะ”