บท
ตั้งค่า

บทที่ 2

ว่าแล้วสองสาวก็เร่งทำงานตรงหน้าอย่างแข็งขัน เมื่อตักน้ำพริกใส่ถุงและจัดผักเครื่องเคียงเสร็จเรียบร้อย ก็จัดใส่กระจาด เตรียมนำไปขายตามบ้านในชุมชน

แก้วกาญจน์ไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย กับงานทุกงานที่เธอทำ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำลงไปนั้นเพื่อคนคนเดียว คนที่เปรียบเสมือนเป็นชีวิตและจิตวิญญาณของเธอ...กันตธร

“ไม่จริงใช่ไหมคะคุณหมอ ไม่จริงใช่ไหมคะ”

คำถามซ้ำๆ ดังออกมาจากปากของบุศย์รินทร์ ทายาทเพียงคนเดียวของตระกูล เอกธรรมรงค์ ที่ร้องถามนายแพทย์เสียงสั่นเสียงคลอน น้ำตาไหลอาบแก้ม หลังจากได้รับข่าวร้าย ที่รุนแรงมากที่สุดในชีวิต

“ผมขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ ผมช่วยชีวิตคุณพ่อคุณแม่ของคุณไม่ได้” นายแพทย์ตอบกลับมา ด้วยท่าทีนิ่งสงบ ก่อนจะเดินห่างร่างของหญิงสาวแสนสวยที่ยืนนิ่งเป็นหุ่น ร้องไห้โฮลั่นอย่างไม่อายใคร

“ไม่จริง คุณพ่อคุณแม่ ไม่จริง ไม่จริง”

ร่างสาวรูดลงกับพื้นทันทีที่พูดจบประโยค ดีที่ว่ามีลำแขนของใครคนหนึ่ง ถลามารับร่างบอบบางเอาไว้

“คุณหนูครับ คุณหนูแอม” โชคอนันต์คนขับรถ คือเจ้าของลำแขนคู่นั้น เขาร้องเรียกเจ้านายสาววัยยี่สิบเอ็ดปี ด้วยความรักและเป็นห่วง

ร่างของบุศย์รินทร์ถูกช้อนอุ้มมาวางลงบนเก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉิน ก่อนที่โชคอนันต์จะวิ่งเข้าไปในห้องฉุกเฉิน เพื่อขอแอมโมเนียจากพยาบาลมาให้หญิงสาวสูดดม

“คุณหนูครับ คุณหนูแอม” เขาอังแอมโมเนียตรงปลายจมูกของคนที่เป็นลมไปด้วย ร้องเรียกชื่อเธอไปด้วย สีหน้าและแววตาเป็นไปด้วยความเป็นห่วง ทอดสายตามองเจ้านายสาวด้วยความสงสารสุดหัวใจ

วันนี้ถือว่าเป็นวันอันเลวร้ายมากที่สุดวันหนึ่งของเธอ สาเหตุนั้นมาจากเกรียงไกรมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของเมืองไทยวัยห้าสิบเจ็ดปี พร้อมกับปัทมาคู่ชีวิตที่นั่งมาด้วย ประสบอุบัติเหตุรถยนต์พุ่งชนเสาไฟฟ้า ทั้งสองบาดเจ็บสาหัส

การประสบอุบัติเหตุในครั้งนี้ ร่างของทั้งคู่ติดอยู่ในรถยนต์ กว่าจะนำตัวออกมาได้ก็ต้องใช้เวลาพอสมควร แล้วร่างของทั้งสองก็ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในเวลาต่อมา แต่ทว่าทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว เมื่อเกรียงไกรและปัทมาเสียชีวิตก่อนมาถึงโรงพยาบาลไม่กี่นาที ปล่อยให้บุศย์รินทร์ต้องเผชิญอยู่บนโลกนี้เพียงลำพังและไม่ทันตั้งตัว

“พี่โชค...ฮือ...คุณพ่อคุณแม่ไม่อยู่กับแอมแล้ว ท่านไม่อยู่กับแอม แล้วแอมจะอยู่กับใคร...ฮือ”

ทันทีที่ฟื้นคืนสติ บุศย์รินทร์ก็ร้องไห้ ปล่อยความโศกเศร้าออกมาเป็นคำพูดและน้ำตา

เธอโผกอดร่างของโชคอนันต์ ราวกับนกน้อยหาไออุ่นท่ามกลางพายุหนาว โดยไม่รังเกียจว่า ชายคนที่ตนวางใบหน้าไว้กับอกนั้นคือใคร มีฐานะใดในบ้านหลังใหญ่

“คุณหนูแอมยังมีผมไงครับ ผมจะไม่ทิ้งคุณหนูแอมไปไหน จะอยู่กับคุณหนูแอมไปตลอดชีวิตครับ”

มันเหมือนกับคำสัญญามากกว่าคำปลอบโยน ความซื่อสัตย์ ความรักและความภักดีที่โชคอนันต์มีให้ครอบครัว เอกธรรมรงค์ มีมากเกินกว่าที่เขาจะเพิกเฉย หรือไม่สนใจสาวน้อยผู้น่าสงสารคนนี้ หาก เกรียงไกรไม่ช่วยเขาในวันนั้น ป่านนี้เขาคงกลายเป็นผีเฝ้าถนนไปแล้ว และนับตั้งแต่นั้น โชคอนันต์ก็สัญญากับตัวเองว่า จะอยู่ดูแลทุกคนในบ้านหลังนี้ไปตลอดชีวิต และเขาก็ยึดมั่นในสัญญานั้นด้วย

“พี่โชค พี่โชคอย่าทิ้งแอมนะคะ แอมไม่เหลือใครเลย...ฮือ”

บุศย์รินทร์ร้องไห้โฮ ในชีวิตของเธอมีบิดามารดาเท่านั้นที่เปรียบเสมือนที่พักพิง เกราะป้องกันจากทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเข้ามาย่างกราย สิ้นทั้งคู่ไป เธอก็เหมือนเรือน้อยที่เคว้งคว้างกลางมหาสมุทรกว้างใหญ่ ธุรกิจของครอบครัวเธอก็ไม่รู้เรื่องเลยสักอย่าง เป็นคนหนูอยู่แต่ในบ้าน มีคนรับใช้หลายคนไว้ชี้นิ้วสั่ง มีเงินทองใช้ไม่ขาดมือ มีของแบรนด์เนมแทบจะทุกยี่ห้อ แล้วนับต่อจากนี้ไปบุศย์รินทร์ยังไม่รู้เลยว่า จะทำอย่างไรกับชีวิตต่อไปดี

“ผมไม่มีวันทิ้งคุณหนูครับ ผมไม่มีวันทิ้งคุณหนู”

เขาเอ่ยบอกร่างเล็ก พร้อมกับกระชับลำแขนกอดเธอให้แน่นขึ้น ราวกับจะบอกหญิงสาวว่า เขานี่แหละจะเป็นคนปกป้องดูแลเธอเอง บุศย์รินทร์รู้สึกซาบซึ้งกับคำสัญญาของเขา และรู้สึกอบอุ่นยิ่งนักยามที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของชายผู้นี้ และรู้สึกว่าในความโชคร้ายยังมีความโชคดีอยู่บ้าง

แปดวันต่อมา

งานศพของเกรียงไกรและปัทมาผ่านพ้นไปได้ด้วยดี มีแขกเหรื่อมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก มีทั้งนักธุรกิจใหญ่หลายคน นักการเมืองทั้งระดับรัฐบาลและระดับท้องถิ่น คนในแวววงสังคมชั้นสูงก็มีมาไม่ใช่น้อยและความที่บิดามารดาของเธอเป็นเด็กกำพร้าที่บากบั่นทำงาน จนร่ำรวย จึงไม่มีญาติมิตรที่ไหนมาช่วยเรื่องงานศพ ทำให้เธอทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน ดีที่ว่ามีโชคอนันต์คอยดูแลให้ทุกสิ่งอย่าง ส่งผลให้งานฌาปนกิจศพผ่านพ้นไปด้วยดี

เรื่องกิจการของเกรียงไกร บุศย์รินทร์ในฐานะลูกเพียงคนเดียว และเป็นทายาทโดยชอบธรรม คิดว่า จะค่อยๆ ศึกษางานของบิดาไปทีละนิด เพราะเวลานี้ เธอเองก็เรียนจบชั้นปริญญาตรีแล้ว จึงทุ่มเวลากับงานได้อย่างเต็มที่ แต่ทว่าสิ่งที่เธอคาดหวังจะไม่เป็นดังตั้งใจ เมื่อโอภาสทนายประจำตัวของบิดามาขอพบบุศย์รินทร์ และนำเรื่องบางอย่างที่หญิงสาวไม่เคยล่วงรู้มาแจ้ง

“สวัสดีค่ะคุณอา”

บุศย์รินทร์พนมมือไหว้โอภาส ทนายประจำตัวของบิดาผู้ล่วงลับ อีกฝ่ายเพียงยิ้มนิดๆ สีหน้าไม่สู้ดีนัก

“อามีเรื่องจะคุยกับหนูแอม” โอภาสพูดด้วยน้ำเสียงหนักใจ

“เรื่องของคุณพ่อหนูแอมน่ะ” ก่อนจะเปิดเรื่อง

“ค่ะคุณอา คุณอาพูดมาได้เลยค่ะ”

“อาไม่อ้อมค้อมนะ เพราะถือว่าหนูแอมบรรลุนิติภาวะแล้ว” ปากขยับพูด มือก็ล้วงหยิบเอกสารในกระเป๋าออกมา ก่อนจะยื่นให้สาวรุ่นลูกตรงหน้า

“อะไรคะคุณอา” เธอถามขณะยื่นมือไปรับเอกสาร

“เอกสารที่อาให้หนูแอมไป คือเอกสารการโอนกรรมสิทธิ์ทุกสิ่งทุกอย่างของเอกธรรมรงค์ ให้กับนางสาวศิริธร รัตนาพิทักษ์”

โอภาสบอกเสียงเรียบ

“อะ...อะไรนะคะ” คนที่ฟังอยู่ถามทันควัน แทบจะไม่เชื่อหูตัวเองด้วยซ้ำ

“นี่มันอะไรกันคะ คุณอา แล้วคนที่ชื่อศิริธร คือใครคะ” โอภาสมองหน้าเธอ ก่อนจะถอนหายใจแรงๆ ออกมา

“ศิริธรคือภรรยาน้อยของคุณเกรียงไกรครับ”

เอกสารในมือของบุศย์รินทร์หล่นล่วงไปกองกับพื้น หลังจากที่ได้ยินคำตอบจากปากของทนายความสูงวัย อาการอึ้ง ตกใจเกิดขึ้นในจิตใจของเธอทันที

“ไม่จริง ไม่จริง แอมไม่เชื่อ คุณพ่อไม่มีวันทรยศคุณแม่ ไม่มีวันยกสมบัติให้ใคร ไม่จริง แอมไม่เชื่อ”

บุศย์รินทร์ไม่มีวันเชื่อคำพูดของโอภาส เธอไม่คิดว่าบิดาที่แสนดี จะทำเช่นนี้กับปัทมาภรรยาสุดที่รัก กับเธอซึ่งเปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจ ต้องมีการเข้าใจผิดกันแน่นอน

“คุณอาเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าคะ คุณพ่อไม่ทำเรื่องแบบนี้แน่ๆ ค่ะ คุณพ่อไม่มีวันทำ” เธอพูดเสียงสั่น น้ำตาไหลรินสาวน้อยอ่อนต่อโลก ไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าบิดาของตนทำเรื่องเช่นนี้...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel