ตอนที่ : 7 เรื่องมันมีอยู่ว่า 4
“ไม่รู้โว้ย! กำนันสันต์ก็เฉยไม่เห็นว่าอะไร แม่ว่ามันชักจะยังไงๆ อยู่นา” ถึงจะสงสัยในเรื่องนี้แต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบใครได้ ตราบใดที่กำนันสันต์ไม่ยอมปริปากออกมา
“ดำก็แค่มาส่งตามประสาเพื่อน ปกติก็ไม่ได้สนิทกันอยู่แล้ว แม่ก็อย่าคิดมากเลยนะ”
“เออๆ ว่าแต่เป็นไงบ้างล่ะเอ็ง ร้องไห้น้ำตาท่วมห้องไปหรือยัง”
“โห แม่ก็ทำไมถึงได้ซ้ำเติมกันแบบนี้ แค่ขันกว่าๆ เอง” พูดแล้วก็โผเข้ากอดแม่อีกครั้ง ได้พูดได้เห็นหน้าของแม่วรดาก็รู้สึกได้ว่าโลกนี้มันไม่ได้ไร้หนทางเสียทีเดียว
“มาอยู่กับแม่ตลอดไปนะอิ่ม ยังไงเราก็มีกันแค่สองแม่ลูก ใครไม่รักจำเอาไว้ว่าแม่รักอิ่มเสมอนะลูก”
“อิ่มรู้จ้ะแม่อิ่มก็รักแม่ ต่อไปนี้จะมาอยู่บ้านตลอดไปเลย” ได้ยินลูกสาวพูดแบบนี้หัวอกคนเป็นแม่ก็พองโตไปด้วยความหวัง ที่จะได้อยู่กับลูกสาวของตนในบ้านน้อยหลังนี้เหมือนเช่นอดีตที่ผ่านมา
“เอากระเป๋าขึ้นไปเก็บนะอิ่ม ห้องอิ่มแม่ก็ทำความสะอาดเปลี่ยนผ้าปูที่นอนใหม่เอี่ยมเลย” นางบังอรเตรียมพร้อมต้อนรับลูกสาวกลับบ้านอย่างเต็มที่
“ขอบคุณจ้ะแม่ อิ่มรักแม่ที่สุดในโลกเล้ย!”หญิงสาวโผเข้ากอดแม่อีกครั้ง เป็นคำพูดที่ เด็กหญิงวรดา กุลโชติ ชอบพูดทุกครั้งที่เจอปัญหา กลับมาเจอหน้าแม่ถูกแหย่นิดเย้าหน่อยก็จะอารมณ์ดีขึ้นมา ไม่คิดว่าโตมาจนอายุเข้าเลขสามเธอก็ยังสามารถพูดมันได้อีก รักของแม่คงไม่มีวันหมดอายุ ไม่เหมือนรักของผู้ชายที่ชื่อสรัญที่มีอายุแสนสั้นแค่เจ็ดปีเท่านั้นเอง
วรดาเปิดประตูห้องนอนของตนเองเข้ามาพบว่าสภาพของมันก็ยังคงเหมือนเดิมทุกอย่างไม่มีเปลี่ยน บ้านหลังนี้ทำด้วยไม้ทั้งหลังเปิดโล่งใต้ถุนล่างเอาไว้นั่งเล่นและหลบแดด ข้างบนก็มีห้องนอนสองห้อง กั้นเป็นห้องโถงนั่งเล่นและครัวอีกหนึ่งห้อง วรดาไม่ชอบเตียงนอนหญิงสาวจึงมีเพียงที่นอนความสูงราวสิบนิ้ว ผ้าปูสีฟ้าอ่อนสีเดียวกับผ้าม่านโปร่งแสงตรงหน้าต่างสองบาน มีตู้ไม้สำหรับใส่เสื้อผ้าและโต๊ะเครื่องแป้งอีกหนึ่งหลัง
เมื่อจัดเสื้อผ้าเข้าแขวนในตู้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็เดินออกมาด้านนอกห้อง พบผู้เป็นแม่กำลังทำกับข้าวอยู่ในห้องครัว ความทรงจำในวัยเด็กหวนเข้ามาให้ระลึกถึงอีกหน แม่ผู้ซึ่งมีหน้าที่หลักในการทำอาหารมักจะยืนควงตะหลิวอยู่หน้าเตา ส่วนเด็กหญิงวรดาก็มักจะนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวเล็กปอกโน่นหั่นนี่ให้แม่อยู่เสมอ
“แม่”
“อ้าว อิ่มไปนั่งเล่นใต้ถุนก่อนก็ได้นะลูก แม่กำลังทำกับข้าวมื้อเย็น เห็นไหมมีแต่ของโปรดอิ่มทั้งนั้นเลย” มือผัดสิ่งที่อยู่ในกระทะ ตาก็ขยิบใส่ลูกสาวชี้ชวนให้มองของกินที่วางอยู่บนโต๊ะ
“อิ่มอยากช่วย”
“ไม่ต้อง! มาเหนื่อยๆ แม่จะโชว์ฝีมือเองวันนี้ ไปนั่งเล่นให้หายเหนื่อยก่อนนะลูก”
“ก็ได้ๆ อยากกินฝีมือแม่เต็มแก่แล้ว อิ่มไปเดินเล่นแป๊บเดี๋ยวมานะแม่”
“ได้ๆ” ตามมาด้วยเสียงเคร้งๆ ในการเคาะตะหลิวลงบนกระทะของนางบังอร คนเป็นลูกถึงกับอมยิ้ม 'ไม่เคาะก็ไม่อร่อยใช่ไหมแม่' เสียงเคาะกระทะยังคงดังฟังชัดไม่เคยเปลี่ยน
หญิงสาวเดินลงมาด้านล่างก็เห็นดวงอาทิตย์สีแดงกำลังจะอำลาขอบฟ้าอยู่ไกลลิบๆ ภาพแบบนี้ช่างอบอุ่นและหาดูได้ยากในเมืองกรุงที่แสนจะวุ่นวาย เดินอ้อมไปด้านหลังของบ้านก็จะเป็นที่ดินว่างแปลงหนึ่ง ส่วนพื้นที่ที่เห็นล้อมรั้วอยู่ด้านข้างก็คือแปลงปลูกผักสวนครัวของแม่วรดาเดินตรงไปแง้มประตูไม้เก่าผุพังก็เห็นผักสวนครัวแทบทุกชนิดถูกปลูกเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ ด้านซ้ายของแปลงก็เป็นผักประเภทผักกาดขาว ผักบุ้ง คะน้า มีบางต้นเน่าจากการถูกหนอนชอนไช แม่ของเธอคงไม่ได้สนใจดูแลมันเท่าไหร่ อยู่คนเดียวคงจะกินผักพวกนี้ไม่ทันบางต้นจึงเน่าเสียไปบ้างให้เห็นอยู่ประปราย
วรดายืดลำตัวขึ้นกางแขนทั้งสองข้างออกกว้างสุดความยาว เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแล้วสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดลึกๆ เธอจะเริ่มต้นใช้ชีวิตใหม่ที่นี่ ที่ซึ่งมีแม่และบ้านของเธอเองเป็นที่พึ่งในอดีตหญิงสาวเคยส่งเงินให้แม่ทุกเดือนเป็นค่าใช้จ่าย แต่ว่าเมื่อไม่ได้ทำงานแล้ววรดาก็ต้องคิดเรื่องนี้มาเป็นอันดับแรก เงินเก็บก็พอมีก้อนหนึ่ง เงินที่ได้จากกองทุนสมทบก็พอมีอยู่แต่ก็ไม่มากมายนัก หันกลับไปมองที่ดินแปลงที่ว่างเปล่าตรงหน้า เธอจะทำอะไรกับมันได้บ้างนะ
และแล้วในหัวของหญิงสาวก็มีภาพบ่อปลาผุดขึ้น ด้านข้างของบ่อก็เป็นแปลงปลูกผักสวนครัว รอบๆ บ่อก็จะปลูกต้นไม้ยืนต้นให้ร่มเงาเน้นเป็นผลไม้ทานได้ตามฤดูกาล ถัดไปอีกหน่อยก็จะเป็นเล้าไก่ไข่อยู่บนบ่อปลา ปลูกผักกินเองเลี้ยงไก่เพื่อเอาไข่ไว้ทำอาหาร เหลือจากนี้ก็นำไปขายเป็นรายได้ให้แก่ครอบครัว รอยยิ้มตรงมุมปากยกขึ้นนิดๆ ชีวิตเรียบง่ายแบบนี้น่าจะเหมาะสำหรับคนรักความสงบแบบเธอ คิดแล้วก็รีบนำเรื่องนี้ไปหารือกับผู้เป็นแม่
“เอาแบบนั้นเหรออิ่ม” หลังจากฟังเรื่องที่ลูกสาวเล่ามาทั้งหมด นางบังอรก็ถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ลึกๆ แล้วนั้นตัวผู้เป็นแม่ก็รู้สึกดีใจอยู่ไม่น้อย การที่ลูกสาวคิดการณ์ไกลแบบนี้แสดงว่าวรดาตั้งใจที่จะกลับมาอยู่บ้านแบบถาวรจริงจัง ไม่ใช่มาเพื่อหลบรักษาแผลหัวใจชั่วครั้งชั่วคราว
“แบบนี้แหละแม่ อิ่มตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะทำเป็นอาชีพพอเลี้ยงตัวเองได้ อิ่มมีเงินก้อนหนึ่งพอจะขุดบ่อสร้างเล้าไก่ได้แล้วเสร็จพอดีนั่นแหละแม่” ความฝันมักเป็นเรื่องสวยงาม คนฝันถึงได้มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเช่นวรดา
“แม่เองก็มีอิ่ม เอ็งส่งมาให้แม่แม่ก็เก็บเอาไว้ไม่ค่อยได้ใช้หรอก ขาดเหลืออะไรก็มาเอากับแม่ได้นะ” นางบังอรนั้นนอกจากจะปลูกผักกินเองแล้ว ก็ยังได้รับเงินบำเหน็จจากสามีก้อนโตเหลือเป็นเงินเก็บอีกด้วย เพราะบิดาของวรดานั้นเป็นข้าราชการของการรถไฟแห่งประเทศไทย ครั้นเสียชีวิตจึงได้รับเงินบำเหน็จมาในครั้งนั้น ส่งเสียให้ลูกสาวเรียนจนจบปริญญาตรีก็ยังพอเหลือเก็บอยู่ก้อนหนึ่ง อีกทั้งนางบังอรเป็นคนขยันอยู่เฉยไม่ได้ลงทุนซื้อจักรเปิดร้านซ่อมผ้าภายในบ้านตนเองอีกด้วย รายได้จากส่วนนี้ก็พอจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันได้
“ว่าแต่จะทำวันไหนล่ะลูก” คนที่ยกสำรับข้าวออกมาวางบนพื้นไม้กระดานบ้านถามลูกสาวที่กำลังตักข้าวใส่จาน
“อิ่มกะว่าจะทำพรุ่งนี้เลยแม่ แต่แถวบ้านเราไม่มีรถขุดคงต้องขี่มอเตอร์ไซค์ไปจ้างรถขุดในตัวอำเภอ”
“ก็คงอย่างนั้น แต่ว่าพรุ่งนี้แม่ติดงานซ่อมชุดเชียร์ลีดเดอร์ของเด็กๆ เอาไว้โหลหนึ่ง แม่เกรงว่าจะไปกับอิ่มไม่ได้น่ะสิ”
“ไม่เป็นไรแม่ อิ่มไปคนเดียวได้ กินข้าวๆ แม่” วรดายื่นจานข้าวให้ผู้เป็นแม่ มองดูกับข้าวสุดโปรดของตนเองแล้วก็น้ำลายไหล ผัดผักกระเฉดไฟแดง ไข่เจียวหมูสับ ต้มยำปลาชะโด นานแค่ไหนแม่ก็ยังจำได้
อาหารมื้อนี้ช่างเป็นมื้อที่มีความสุขของคนทั้งคู่ นางบังอรสุขที่ได้ลูกสาวกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งหนึ่ง ส่วนวรดาเองก็สุขที่ได้อยู่กับคนที่เธอรักและรักเธอเป็นที่สุด พรุ่งนี้จะเป็นยังไงก็ช่างขอเพียงแค่มีแม่อยู่ด้วย เธอเชื่อว่าทุกอย่างจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี