ตอนที่ : 5 เรื่องมันมีอยู่ว่า 2
หมู่บ้านของวรดาอยู่ห่างจากตัวอำเภอยี่สิบห้ากิโลเมตร ซึ่งมีแม่น้ำสายหนึ่งคั่นกลางอยู่กับอีกจังหวัดใกล้เคียง เป็นหมู่บ้านขนาดสองร้อยหลังคาเรือน มีกำนันเป็นคนดูแลลูกบ้านทั้งหมดรวมทั้งตำบลด้วย ออกจากตัวอำเภอมาได้สักหนึ่งกิโลเมตร ก็เริ่มจะเห็นหมู่บ้านอยู่ประปรายมีทุ่งนาล้อมรอบด้าน ถึงแดดจะร้อนแต่ว่าลมที่พัดผ่านก็ทำให้รู้สึกสดชื่นได้ หมู่บ้านนี้มีเพื่อนสมัยเรียนมัธยมปลายอยู่หลายคน แต่เธอเป็นคนค่อนข้างไม่สุงสิงกับคนอื่นมากนัก จึงไม่ค่อยได้สนิทกับเพื่อนหลายคน ผ่านมาอีกหมู่บ้านก็มีเพื่อนในห้องเรียนเดียวกันแต่เขาก็มีกลุ่มของเขา ส่วนเพื่อนสนิทของเธอเองก็เป็นลูกสาวคุณครูใหญ่ของโรงเรียนประถมที่ตั้งอยู่หมู่บ้านถัดไปข้างหน้านี้ ความทรงจำในวันวานไหลย้อนมาให้ต้องอมยิ้ม ช่วงเวลานั้นวรดารู้สึกว่ามันพิเศษเป็นอย่างมาก ระหว่างทางจึงขี่รถไปยิ้มไปเจือจางความทุกข์ในใจได้ชั่วขณะหนึ่ง
ผ่านป่าช้าข้างหน้าไปอีกสามกิโลเมตรก็จะถึงหมู่บ้านของเธอแล้ว หญิงสาวบีบแตรสามครั้งเพื่อขอผ่านทางกับคนตาย มันเป็นความเชื่อของทุกคนที่ปฏิบัติกันมารุ่นต่อรุ่น เสียงเครื่องยนต์ดังครืดคราดแบบแปลกๆ แต่คนขี่ก็กลั้นใจบิดต่อไปด้วยไม่รู้จะซ่อมเสียงให้ดีเหมือนเดิมได้อย่างไร ทว่าเสียงของมันก็เริ่มจะเหมือนคนป่วยอาการร่อแร่ ครืดๆ...ครืดๆ...ครืด!......กระตุกครั้งสุดท้ายก่อนจะสิ้นลมหายใจลง
“ไม่นะ!” อะไรกันเนี่ยวรดาหันไปมองรอบๆ ก็พบเพียงทุ่งนากับถนนลาดยางโล่งเปล่า ชนบทแบบนี้นานๆ ถึงจะมีรถผ่านมาสักคัน หญิงสาวผู้ไม่รู้เรื่องเครื่องยนต์ได้แต่ทำหน้าเซ็งเป็นที่สุด วรดาจอดรถทิ้งเอาไว้แล้วหยิบผ้าพันคอสีเทาออกมาพันศีรษะกันแดดเอาไว้
นั่งกร่อยหลบแดดอยู่สักพักใหญ่ๆ ก็ได้ยินเสียงรถแล่นมาในระยะใกล้ วรดารีบลุกขึ้นยืนด้วยความดีใจ เห็นรถกระบะคันเก่าครึสีแดงแล่นมาด้วยความเร็วสูง
“หยุดก่อนๆ” รีบพุ่งตัวออกไปโบกดักหน้าเอาไว้
“เฮ้ย!” คนขับแตะเบรกแทบไม่ทัน จู่ๆ ก็กระโดดมาขวางหน้ารถเขาได้ยังไง ดัมพ์รีบเปิดประตูออกไปตั้งใจจะด่าให้เสียคนไปเลย
“ป้า! ทำงี้ได้ไง เกิดผมเบรกไม่ทันนี่คงได้หามส่งป่าช้ากันแล้ว” พ่อหนุ่มมาดนักเลงรวบผมหยักศกยาวระดับต้นคอ ใส่เสื้อสีขาวซีดคอเปื่อยยุ่ยจากการถูกซักมาอย่างยาวนาน ท่อนล่างก็สวมกางเกงยีนเดฟรัดติ้วยืนเท้าสะเอวมองผ่านแว่นตาสีดำ ปากก็ต่อว่าป้าคนหนึ่งที่ยืนโพกผ้าจนแทบมิดหัว
“ป้า!” ตั้งสติได้วรดาก็ชี้นิ้วใส่ตัวเองแบบงงๆ เธอไปเป็นป้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แต่พอคลำไปเจอผ้าพันคอผืนสีเทาที่พันจนรอบหน้าเพื่อกันแดดก็เข้าใจ หญิงสาวค่อยๆ ดึงผ้าพันคอออกจนเผยให้เห็นใบหน้าอันสวยงามอยู่ข้างใน
“ฉันไม่ใช่ป้าย่ะ! รถฉันเสียแค่อยากขอความช่วยเหลือหน่อย” วรดาพูดไปก็เก็บผ้าพันคอยัดใส่กระเป๋าของตัวเองไปด้วย หันกลับมาอีกครั้งก็พบเขายืนนิ่งแทบไม่ขยับเขยื้อน
“นี่นาย!”
“หา!”
“เป็นอะไร ฉันบอกว่ารถฉันเสีย นายช่วยไปส่งฉันที่หมู่บ้านข้างหน้าได้ไหม เดี๋ยวให้ค่าจ้าง”
“รถเสียเหรอ?” ดัมพ์หายตะลึงแล้วก็ค่อยปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติไร้ซึ่งท่าทางกระด้างกระเดื่องเมื่อครู่นี้
“ใช่ ไม่รู้มันเป็นอะไร” มองไปที่ยานพาหนะของตนเองแบบสุดแสนจะเอือม มันคงเก่าจริงๆ ส่วนชายหนุ่มมาดเซอร์ก็มองไปยังเจ้ารถคันที่จอดแน่นิ่งอยู่ ก่อนจะคลี่รอยยิ้มออกมาเมื่อจำมันได้ เด็กสาวคนหนึ่งเคยขี่มันไปโรงเรียนเป็นประจำทุกวันเขาอมยิ้มแล้วเดินอ้อมไปด้านหลังรถจัดการเปิดท้ายกระบะลง
“เดี๋ยวพาไปส่งอู่ซ่อม” ดัมพ์เดินกลับมาเข็นรถคันเจ้าปัญหายกขึ้นท้ายกระบะของตนเอง
“อู่ซ่อมรถเหรอ แถวนี้ไม่มีนี่” หญิงสาวรีบแย้ง
“มีสิ เพิ่งเปิดเมื่อปีที่แล้ว”
“อ้าวเหรอไม่เห็นรู้เลย งั้นก็ดีไปเลยสิขอบใจนายมากนะ” วรดาทำหน้างงเล็กน้อย แต่ก็ดีใจที่เขายอมช่วยเหลือตัวเธอ
“ขึ้นรถเดี๋ยวไปส่ง”
“ขอบใจนะที่ช่วย” ดูจากท่าทางการพูดการจาแล้ว พ่อหนุ่มแว่นดำนี่ก็ใจดีไม่ใช่เล่น เห็นเขาเดินไปหิ้วกระเป๋ากับเป้ของเธอใส่ไว้ท้ายรถ ก็นึกชื่นชมในความเป็นสุภาพบุรุษอยู่ไม่น้อย
“เอ่อ นี่นายอายุเท่าไหร่ ไม่รู้ฉันเรียกแบบนี้ถูกไหม” วรดาถามระหว่างที่เขาเดินมาเปิดประตูรถให้
“สามสิบ” ตอบแล้วอมยิ้มนิดๆ ก่อนจะดันร่างของหญิงสาวให้เข้าไปนั่งข้างใน จากนั้นก็อ้อมไปนั่งประจำตำแหน่งของคนขับ เหตุที่หญิงสาวไว้ใจเขาก็เป็นเพราะว่ารถของเขาเป็นกระบะกระจกใสเปิดโล่งเห็นหมดทุกพื้นที่ และเส้นทางที่รถจะแล่นผ่านก็คือหมู่บ้านของเธอ ไม่มีทางลัดเลาะไปไหนได้อีกอย่างแน่นอน
“เอ่อ ว่าแต่นายชื่ออะไร ฉันจะได้เรียกถูก ฉันชื่ออิ่มนะ”
“ดำ” เขาตอบสั้นๆ
“ดำเหรอ ขอบใจอีกครั้งนะดำ ว่าแต่อยู่บ้านไหนล่ะ?”
“แฟนไม่มาด้วยเหรอ” ดัมพ์ไม่ตอบคำถาม แต่เขากลับถามในเรื่องที่ไม่สมควร วรดาหน้านิ่งไปเล็กน้อย หญิงสาวเบือนหน้าหนีไปมองท้องนาแทน
“เลิกกันว่างั้น” เขายังถามต่ออย่างไม่คำนึงถึงคำว่ามารยาท
“เกี่ยวไรด้วย” เสียงเศร้าๆ เอ่ยตำหนิ
“เปล่าก็แค่ถามดู” คงเป็นคำถามต้องห้ามเสียล่ะมั้ง ดัมพ์มองเห็นแต่ริ้วรอยของความเสียใจ ชายหนุ่มได้แต่โทษตัวเองว่าไม่น่าถามเลยจริงๆ และนั่นก็เป็นผลให้วรดานั่งซึมกะทือมาจนถึงอู่ซ่อมรถ ที่มีป้ายติดไว้หน้าร้านว่า 'ดัมพ์เซอร์วิส'
“อยู่ตรงนี้นี่เอง เพิ่งเปิดล่ะสิปีก่อนกลับบ้านฉันยังไม่เห็นเลย” อีกราวหนึ่งร้อยเมตรก็จะเป็นบ้านของเธอแล้ว มองเห็นหลังคากระเบื้องอยู่ใกล้ๆ
“ใช่ เปิดมาได้ปีกว่าๆ แล้วล่ะ” ดัมพ์เลี้ยวรถเข้ามาจอดภายในบริเวณอู่ของตนเอง และเมื่อรถจอดสนิทเขาก็รีบวิ่งอ้อมไปเปิดประตูรถให้หญิงสาว
“ไม่ต้องก็ได้ แค่เปิดประตูรถแค่นี้เอง”
“ไม่เป็นไรเราเป็นผู้ชายเปิดประตูให้ผู้หญิงมันก็ปกติ ลงมานั่งกินน้ำเย็นๆ ก่อนสิ เดี๋ยวจะพาไปส่งที่บ้าน” ดูเขาจะสุภาพบุรุษเกินหนุ่มชาวชนบท
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันจะกลับบ้านเลย เอ่อ แล้วใครจะซ่อมรถของฉันล่ะ”
“เราซ่อมเองแหละ นี่อู่ของเรา”
“หา! จริงเหรออู่ของนาย ว่าแต่ที่ดินตรงนี้เป็นของลุงกำนันไม่ใช่เหรอ แล้วนายมาเปิดอู่ได้ยังไง” วรดาทำตาโตด้วยความประหลาดใจ
“ช่างเถอะ อย่ารู้เลย” เขาเบี่ยงตรงๆ
“อ้าว แล้วกัน”
“เราจะให้คนของเราซ่อมรถให้นะ ไอ้ก้อง! ไอ้ตุ้ม! หายหัวกันไปไหนหมดวะ ลูกค้าเข้าร้านหัดมาดูแลซะบ้าง”
“มาแล้วคร้าบพี่ดำ” คนพูดไถลตัวออกจากใต้ท้องรถที่อยู่ถัดไปอีกสองคัน ไอ้ก้องคือหนุ่มมาดกวนบาทาผมเกรียนผอมเก้งก้าง
“แล้วไอ้ตุ้มล่ะ”
“มันไปเอารถเสียที่หมู่บ้านข้างๆ นี่พี่ดำ”
“เออ เอ็งหยุดงานเอาไว้ก่อนแล้วมาซ่อมรถมอ'ไซค์คันนี้ให้หน่อย”
“อ้าว ให้หยุดงานเลยเหรอพี่ดำ อันนี้ตาอ่อนแกก็เร่งนะ แกนัดมารับพรุ่งนี้ด้วย นี่ไม่รู้คืนนี้จะทำเสร็จทันไหม” ไอ้ก้องทำหน้ายุ่งเพราะงานมันสุมเต็มหัวจริงๆ
“ไม่เป็นไรหรอก บ้านฉันอยู่ตรงนี้เองฉันไม่รีบ เสร็จเมื่อไหร่ก็ค่อยไปบอกก็แล้วกัน”
“บ้านอยู่ตรงไหนพี่สาว ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย” ไอ้ก้องยังเด็กมันเลยไม่คุ้นหน้าของหญิงสาว หรือว่าวรดาโตแล้วหน้าตาเปลี่ยนไปจนมันจำไม่ได้ก็ไม่รู้