ตอนที่ : 4 เรื่องมันมีอยู่ว่า
2
เรื่องมันมีอยู่ว่า...
หกเดือนที่แล้ว
“หมายความว่าไงคะรัญ” วรดากำลังงุนงงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ทำไมคนรักของเธอที่คบหากันมาถึงเจ็ดปีเต็ม ถึงได้มายืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับหญิงสาวแสนสวยอีกคน
“ขอโทษนะอิ่ม รัญ...ทำแจงท้อง” สรัญพูดด้วยความรู้สึกผิดต่อคนรัก เขาเป็นข้าราชการตำรวจที่ย้ายที่ทำงานตามคำสั่งอยู่บ่อยครั้ง และที่ผ่านมาก็ไม่เคยพบเจอปัญหาอะไร ความรักของเขากับวรดามั่นคงไม่เคยเปลี่ยน แต่ใครจะคิดล่ะว่าความรักยาวนานถึงเจ็ดปี กลับพ่ายแพ้ให้แก่ผู้หญิงที่เพิ่งเจอหน้ากันแค่เดือนเดียว เขากลับติดอกติดใจในรสสวาทจนพลั้งเผลอทำหญิงสาวท้องเข้าจนได้ หากถามว่ารักไหม? เขาไม่ได้รักผู้หญิงที่กำลังยืนกอดแขนตนเองอยู่ในตอนนี้ หัวใจเขายังคงมีวรดาครอบครองอยู่เสมอ แต่ว่า ด้วยศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายและความรับผิดชอบที่มี เขาจำต้องเลิกกับวรดา
“ท้อง...” เหมือนถูกฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ โลกทั้งใบหมุนเคว้งไปรอบตัวเธอไม่ยอมหยุด เข่าทั้งสองข้างค่อยๆ ทรุดลงไปคุกอยู่บนพื้นห้อง ไม่จริง...นี่มันไม่ใช่เรื่องจริง
“ขอโทษนะอิ่ม รัญขอโทษจริงๆ” เห็นสภาพของคนรักแล้ว น้ำตานายตำรวจอย่างสรัญก็รื้นขึ้นคลอเบ้า แต่คนที่กอดแขนเขาอยู่ก็ไม่ผิด หากจะผิดก็คงตัวเขาเอง...ที่มักมากจนเกินไป
วรดาน้ำตาไหลนองหน้าแบบเงียบๆ ไม่เอะอะโวยวายหรือด่าทอคนทั้งคู่ ความเจ็บนี้มันแน่นจนจุกไปทั้งหัวใจ ไหนว่าจะเก็บเงินด้วยกันเพื่อหาค่าสินสอด ไหนว่าจะรักเธอแค่คนเดียว แล้วนี่อะไร...
“รัญคะไปเถอะค่ะ สงสารคุณวรดาเธอ” มือที่สามเองถึงกับทนเห็นน้ำตาของลูกผู้หญิงด้วยกันไม่ได้ แต่ว่าลูกในท้องของเธอก็ต้องมีพ่อเช่นเดียวกัน
“อิ่ม รัญไปก่อนนะ” สรัญบอกคนรักด้วยน้ำเสียงแหบเครือ เขาเห็นเพียงร่างที่ไร้วิญญาณของคนที่กำลังพยุงตัวเองขึ้นนั่งบนโซฟา วรดายกสองมือขึ้นปิดหน้าแล้วสะอื้นไห้ออกมาจนสุดน้ำเสียง ภาพบาดตาปวดใจแบบนี้เขาไม่อยากเห็นมันอีกต่อไป สรัญดึงมือของหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านข้างเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวที่ถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพังต้องจมอยู่กับหยาดน้ำตาแห่งความเสียใจเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม จนเมื่อวันหนึ่งโทรศัพท์จากคนที่รักเธอมากที่สุดในชีวิตได้ดังขึ้น ผู้เป็นลูกสาวเล่าทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ผู้เป็นแม่ฟัง ระบายความเสียใจทั้งหมดทั้งปวงที่ตนได้รับมา นางบังอรทั้งรับฟังทั้งปลอบโยนด้วยความรู้สึกสงสารดวงใจดวงน้อยของตนเอง
“อิ่ม...ใครไม่รักอิ่มก็ช่างหัวมัน แต่แม่รักอิ่มนะลูก กลับมาอยู่กับแม่นะ” คนเป็นลูกถึงกับปล่อยโฮเสียงดังให้แม่ฟัง ความรักเจ็ดปีมีหรือจะสู้สามสิบปีแบบแม่ได้ วันนั้นเป็นวันเดียวในชีวิตที่วรดาคุยโทรศัพท์กับแม่นานที่สุด คุยนานถึงสามชั่วโมงเต็ม ทั้งที่ปกติโทรหาผู้เป็นแม่แค่สัปดาห์ละสองครั้ง ครั้งละไม่เกินสิบนาที แต่ครั้งนั้นกลับเป็นการคุยที่ไม่น่าจดจำเท่าไหร่นัก เพราะว่าส่วนมากในบทสนทนามักจะมีแต่เสียงสะอื้นไห้ของคนเป็นลูก
วันรุ่งขึ้นวรดานำสิ่งของที่เป็นความทรงจำระหว่างเธอกับสรัญเผาทิ้งจนหมดทุกชิ้น คืนห้องพักให้เจ้าของโดยไม่คิดเสียดายค่ามัดจำ เพราะไม่ได้แจ้งออกล่วงหน้าหนึ่งเดือนตามกำหนด หญิงสาวหอบกระเป๋าใบใหญ่มุ่งหน้าไปยังสถานีขนส่งผู้โดยสาร กลับไปหาคนที่รักเธอมากที่สุดในชีวิตที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว หลังจากพ่อของเธอได้เสียชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อสิบปีก่อน แม่จึงเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเธอนับจากนั้น
'แม่...อิ่มไม่ได้ทำงานแล้ว แม่จะเลี้ยงอิ่มไหวไหม?' ก่อนออกจากห้องวรดาลองโทรศัพท์ไปถามคำถามนี้กับผู้เป็นแม่ ก่อนจะถูกตวาดกลับมาว่า
'ลูกคนเดียวทำไมแม่จะเลี้ยงไม่ได้!' หญิงสาวถึงกับหัวเราะทั้งน้ำตา
'อิ่มจะกลับไปเกาะแม่กินนะ'
'เออ มาเถอะ เดี๋ยวแม่จะเก็บผักริมรั้วแถวนี้ผัดให้กินเอง' นางบังอรเป็นคนอารมณ์ดี และยิ่งดีขึ้นกว่าเดิมเมื่อลูกสาวคนเดียวกำลังจะเดินทางกลับมาสู่อ้อมกอดของตน
'รออิ่มนะ กำลังจะไปขึ้นรถแล้ว'
'เออๆ แม่ให้คนเอารถมอเตอร์ไซค์ไปฝากไว้ที่ร้านลุงไสว อิ่มขี่กลับบ้านมาได้เลยนะลูก' เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่วรดากลับไปเยี่ยมบ้าน นางบังอรมักจะวานให้เด็กวัยรุ่นละแวกบ้านใกล้เคียง เอารถมอเตอร์ไซค์ขี่ไปจอดไว้ที่ร้านขายของชำชื่อดังประจำอำเภอ
'จ้าแม่ แค่นี้นะจะออกไปแล้ว'
'จ้า เดินทางดีๆ พระคุ้มครองนะลูก'
ได้รับพรจากแม่แล้ววรดาก็รู้สึกหัวใจพลันอบอุ่นขึ้นมาในทันทีจะทิ้งอดีตที่ไม่น่าจดจำเอาไว้ที่นี่และจะกลับไปอยู่กับแม่กับคนที่รักเธอมากที่สุดในชีวิตคนนั้น หญิงสาวรูปร่างสมส่วนดวงหน้ารูปไข่ ผู้มีเอกลักษณ์เป็นลักยิ้มบุ๋มสวยทั้งสองข้าง วรดาถือว่าสวยพอสมควรแต่ไม่ถึงกับสวยมาก วันนี้เธออยากจะกลับไปสู่วัยเด็กจึงได้มัดผมแกละทั้งสองข้าง สะพายเป้ข้างหลังหนึ่งอัน มือก็หิ้วกระเป๋าเดินทางใบใหญ่อีกอัน พร้อมที่จะมุ่งหน้าสู่บ้านเกิดเมืองนอน
รถโดยสารแล่นเข้าสู่อำเภอซึ่งอยู่ในภาคกลางตอนบน วรดามองสำรวจข้างทางที่รถแล่นผ่านด้วยความตื่นเต้น ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ความเจริญเข้ามาใหม่ทุกครั้งที่เธอกลับบ้าน สักสิบนาทีรถก็เลี้ยวเข้าสู่สถานีขนส่งผู้โดยสารประจำตัวอำเภอ หญิงสาวรีบลุกจากที่นั่งพร้อมกับสัมภาระสองชิ้น
สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปยังร้านลุงไสวซึ่งอยู่ถัดไปอีกซอย วรดายกเป้ขึ้นสะพายหลังแล้วหิ้วกระเป๋าตรงไปยังวินมอเตอร์ไซค์ ไม่เกินห้านาทีเธอก็ถึงเป้าหมายพร้อมกับจ่ายเงินเรียบร้อย
“อ้าวหนูอิ่มมาถึงแล้วเหรอลูก” ชายวัยห้าสิบห้าปีทักหญิงสาวที่เดินตรงเข้ามาในร้านของตนอย่างคุ้นเคย
“สวัสดีค่ะลุง” วรดายกมือไหว้อย่างอ่อนน้อม
“หวัดดีๆ ลูก มากินน้ำกินท่ากันก่อน” ลุงไสวรับไหว้พร้อมกับกวักมือเรียกเด็กในร้านให้ไปหาน้ำมาต้อนรับแขก เด็กสาววัยรุ่นก็วิ่งหายเข้าไปในหลังร้านก่อนจะออกมาพร้อมกับน้ำเย็นหนึ่งขัน
“เอ้า กินน้ำเย็นๆ ก่อนมาร้อนๆ แบบนี้คงเหนื่อยแย่”
“ขอบคุณค่ะลุง” วรดาเกรงจะเสียน้ำใจผู้ใหญ่ ถึงไม่หิวเธอก็ต้องกินน้ำในขันที่เขาตักมาให้ตามมารยาท
“ได้ข่าวว่าหนูอิ่มจะกลับมาอยู่กับแม่อรเลยหรือลูก”
“ใช่ค่ะ อิ่มกะจะกลับมาอยู่กับแม่แบบถาวรเลย เบื่อกรุงเทพฯ แล้วค่ะลุง” จำต้องโกหกเพราะว่าไม่อยากอธิบายอะไรมากไปกว่านี้ มองเห็นลุงไสวล้วงกระเป๋าเสื้อเพื่อหยิบลูกกุญแจรถมอเตอร์ไซค์
“ขี่กลับบ้านดีๆ นะหนูอิ่ม” จากนั้นลูกกุญแจก็ถูกยื่นมาตรงหน้าของวรดา
“ขอบคุณมากค่ะลุง หนูไปก่อนนะคะ” หญิงสาวยกมือไหว้ก่อนยื่นมือไปรับแล้วตรงไปหารถมอเตอร์ไซค์ของตนที่จอดอยู่ใต้ร่มไม้หน้าร้าน ยื่นฝ่ามือออกไปลูบคลำมันเบาๆ ด้วยความคิดถึง ผ่านมาเป็นสิบปีแล้วแม่ก็ยังเก็บคันนี้ไว้ไม่เคยทิ้ง มิหนำซ้ำยังซ่อมแซมให้เหมือนเดิมทุกอย่าง เปลี่ยนอะไหล่เท่าที่จะทำได้ เพื่ออะไร? ทั้งที่แม่ขี่มันไม่เป็น...ก็เพื่อลูกสาวคนนี้ยังไงล่ะ