ตอนที่ 3 ข้อเสนอ
“ว่ามาสิ...นายมีเรื่องอะไรให้ฉันช่วย” พีรยาถามพลางเดินสำรวจภายในบ้าน ที่ขนาดของมันก็ไม่ได้แตกต่างจากบ้านเช่าของเธอเลยแม้แต่น้อย ทว่าของตกแต่งภายในนี่สิ มันกลับแตกต่างกันลิบลับ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนหรือราคาของเฟอร์นิเจอร์ ที่ถูกจัดวางไว้อย่างลงตัว และแน่นอน ราคามันก็แพงหูฉี่ตามรสนิยมและฐานะของเจ้าของบ้าน
“เธอก็นั่งซะทีสิ มัวแต่เดินดูนั่นดูนี่อยู่ได้ ไม่เคยเห็นหรือไง”
“นี่นายซื้อของพวกนี้มาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำซะไม่เหลือเค้าเดิมเลยนะ” หญิงสาวถามพลางทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาราคาแพง ที่เงินเดือนไม่รู้กี่เดือนของเธอถึงจะซื้อมันได้
“ก็ทยอยซื้อมาไว้เรื่อยๆ นั่นแหละ ว่าแต่เธอพร้อมจะฟังหรือยังล่ะ ทำหน้าตาตื่นเต้นอย่างกับเด็กเห็นของเล่น” ชายหนุ่มเอ่ยกลั้วหัวเราะ
“เด็กก็ช่างฉันเถอะน่า รีบๆ พูดเรื่องของนายมาดีกว่า” พีรยาพูดพลางทำหน้าบึ้ง ไม่ชอบใจนักที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเด็ก ทั้งที่เธอน่ะเลยวัยเบญจเพสมาแล้วด้วยซ้ำ
“คือวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ เธอว่างหรือเปล่า”
พีรยาหันมาหรี่ตามองคนถามอย่างสงสัย แต่ก็ไม่คิดจะซักไซ้ไล่เลียงถามให้มากความ จึงพยักหน้าแทนคำตอบไป
“ช่วยเป็นแฟนฉันหน่อยสิ”
“ห๊า!” หญิงสาวถึงกับถอยกรูดไปจนชิดมุมโซฟาอย่างตกใจ พร้อมกับส่ายหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินมาเมื่อครู่
“เมื่อกี้ นะ...นายว่าอะไรนะ”
“ฉันบอกว่าอยากให้เธอช่วยมาเป็นแฟนให้หน่อย…แต่เป็นแค่แฟนกำมะลอเท่านั้นนะ”
ปากที่เตรียมจะกรีดร้องด้วยความดีใจ เพราะคิดว่าผู้ชายที่หลงรักมาขอเป็นแฟน กลับต้องหุบฉับ และเผลอหลุดเสียงถอนหายใจหนักๆ ด้วยความผิดหวัง
“เฮ้อ!”
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ หรืออยากเป็นแฟนของฉันจริงๆ”
“ปะ...เปล๊า ฉันแค่ถอนหายใจว่าเฮ้อ เรื่องง่ายๆ แค่นี้เอง” คนร้อนตัวรีบปฏิเสธเสียงสูง พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติพร้อมกับพูดแก้ตัวเป็นพัลวัน
“อย่างนั้นจริงๆ เหรอ” ชายหนุ่มแกล้งถามพลาง ขยับตัวเข้าไปจนชิดร่างเล็ก มองหญิงสาวด้วยสายตากรุ้มกริ่มอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เล่นเอาคนถูกมองถึงหน้าเหวอทำอะไรไม่ถูก
“จริ๊ง! แล้วนี่ทำไมนายจะต้องหาแฟนกำมะลอด้วย ไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนหรือไง...เอ๊ะ! ถามก็ตอบสิ แล้วนายจะขยับมาเบียดฉันทำไมเนี่ย ที่ว่างมีเยอะแยะถอยออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ” พีรยาแหวเสียงดัง จะขยับหนีก็ทำไม่ได้ เธอจึงใช้วิธีหันมาดันร่างสูงใหญ่ให้ออกห่างแทน แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่เธอทำนั้นมันจะไร้ผล เมื่อเธอยิ่งผลักเขาก็ยิ่งเบียดเหมือนจงใจแกล้ง
“ก็คุณนายสมรของเธอนั่นแหละ ที่คิดจะจับคู่ฉันกับลูกสาวของเพื่อน เรื่องอะไรฉันจะยอมให้ชีวิตโสดอันแสนสุขมลายหายไปก่อนเวลาอันควร...เป็นอันว่าเธอตกลงช่วยฉันแล้วนะ และเพื่อความสมจริงเราน่าจะมาสนิทสนมกันไว้ เธอว่าจริงไหม” ขัตติยะเอ่ยนัยน์ตาระริก ยิ่งเห็นสีหน้าตื่นๆ สลับกับแดงระเรื่อของหญิงสาว มันก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าจริงๆ พีรยาก็มีความน่ารักอยู่ไม่น้อย แต่ในขณะเดียวกัน ความน่าแกล้งก็มีไม่น้อยเหมือนกัน
“คะ...ใครบอกว่าฉันตกลง จำได้ว่ายังไม่ได้พูดคำคำนั้นกับนายเลยแม้แต่น้อย”
“อ้าว ทำไมพูดงี้ล่ะยายเตี้ย! ก็เธอพูดเองไม่ใช่เหรอว่าเรื่องง่ายๆ แค่นี้เอง” ขัตติยะลุกพรวดขึ้นยืนเท้าสะเอวจ้องหน้าหญิงสาวอย่างไม่สบอารมณ์ ซึ่งไม่ต่างกับพีรยาที่พอโดนชายหนุ่มเอ่ยถึงปมด้อยเพียงอย่างเดียวของตนเข้า เธอก็ลุกขึ้นยืนกอดอกเชิดหน้าตอกกลับไปอย่างไม่ยอมเหมือนกัน
“ทำไมไอ้ตี๋! ก็ที่ฉันพูดหมายถึงมันง่ายซะจนผู้หญิงคนไหนก็ทำได้ต่างหากล่ะ เชอะ!” พูดจบใบหน้าจิ้มลิ้มก็สะบัดเชิดหนีไปอีกทาง อย่างไม่ชอบใจ
มาหาว่าเราเด็กบ้างละ เตี้ยบ้างละ แล้วเมื่อกี้มาทำตาเจ้าชู้ใส่เราทำไม พีรยาคิดอย่างหงุดหงิด
“ก็ได้...ถ้าเธอไม่ตกลง ก็เอาเงินสี่แสนห้ามาคืนฉันภายในสองวัน แต่ถ้าเธอยอม เพื่อแลกกับอิสระและชีวิตโสดของฉัน สี่แสนห้าฉันยกให้เธอเลยก็ได้...เป็นไงข้อเสนอน่าสนใช่ไหมล่ะ”
การแกล้งเป็นแฟนกำมะลอของผู้ชายที่แอบรัก เพื่อแลกกับหนี้ที่มากโข ในแง่ความรู้สึกของพีรยา มันเป็นการแลกเปลี่ยนที่ดูเหมือนเธอจะได้เปรียบทั้งขึ้นทั้งล่อง ได้อยู่ใกล้คนรัก แถมยังล้างหนี้ด้วย แต่ถ้าคิดในด้านกลับกันล่ะ เขาจะคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่เห็นแก่เงินหรือเปล่า ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง ในขณะที่สายตาก็กลอกกลับไปมาอย่างใช้ความคิด
แต่ในขณะเดียวกัน คนใจร้อนอย่างขัตติยะ ก็ไม่อยากรอต่ออีกแม้สักนาที จึงหาวิธีกระตุ้นต่อมการตัดสินใจของหญิงสาวทางอ้อม
“ฉันให้เวลาเธอคิดอีกแค่สามวิเท่านั้น...สาม...สอง...”
“เฮ้ย! ตกลงๆ ฉันตกลงเล่นเป็นแฟนกำมะลอนายก็ได้”
“ก็เท่านั้นแหละ เล่นตัวอยู่ได้”
“ว่าฉันเล่นตัว ทำไมไม่ไปหาผู้หญิงคนอื่นล่ะ” หญิงสาวมองค้อน ก่อนจะทิ้งตัวลงกลับไปนั่งที่เดิม
“ขืนไปหาผู้หญิงคนอื่นก็เท่ากับผูกคอตายชัดๆ เธอจะไปรู้อะไร...ผู้ชายรูปหล่อแม่รวยอย่างฉันน่ะ เป็นที่หมายปองของสาวๆ นะจะบอกให้ พวกหล่อนจ้องจะกระโดดจับฉันอยู่ทุกลมหายใจ มันเสี่ยงเกินไปที่จะเอามาเล่นบทบาทนี้ และที่สำคัญเธอคุณนายสมรก็รักและเอ็นดูเธอมาก ท่านคงดีใจที่รู้ว่าเราคบกันอยู่ ต่อไปไปจะได้เลิกวิ่งหาผู้หญิงคนนั้นคนนี้มาจับคู่กับฉันเสียที ที่นี้ฉันก็จะได้เที่ยวอย่างสบายใจไร้ความกังวล เพราะมีแฟนก็เหมือนไม่มี”
“ไอ้ผู้ชายเห็นแก่ตัว” หญิงสาวเอ่ยเสียงห้วนสวนขึ้นทันที แม้เธอจะไม่เคยแสดงออกให้ชายหนุ่มรู้ว่ารัก แต่ทุกครั้งที่เห็นเขาควงผู้หญิงคนอื่น เธอต้องแอบมานอนร้องไห้คนเดียวอย่างเจ็บปวดทุกครั้ง
“คนเรามันก็เห็นแก่ตัวกันทั้งนั้นแหละ หรือเธอจะเถียง ว่าที่ยอมรับข้อเสนอของฉันไม่ใช่เพราะความเห็นแก่ตัว” เขาเอ่ยขณะใช้มือใหญ่ทั้งสองข้างค้ำไปที่พนักโซฟากักตัวของหญิงสาวเอาไว้ ก่อนจะโน้มเข้าไปจนเกือบชิดใบหน้าจิ้มลิ้ม ที่กำลังมองเขาตาเขียวปั๊ด
“ไม่ใช่ ฉันไม่ได้เห็นแก่ตัว แต่ฉันไม่มีทางเลือกต่างหากละ” หญิงสาวค้านไม่ค่อยเต็มเสียงนัก การยอมรับข้อเสนอในครั้งนี้ จะบอกว่าเธอไม่เห็นแก่ตัวก็ไม่ใช่ และจะบอกว่าเธอเห็นแก่ตัวเลยทีเดียวเลยมันก็ไม่เชิง แต่มันคือความจำเป็นบวกกับความรู้สึกส่วนตัวเท่านั้นเอง
“ฉะ...ฉันว่านายจ้องหน้าฉันใกล้เกินไปแล้วนะ ถอยไปหน่อยสิ ฉะ...ฉันอึดอัด” หญิงสาวต่อเสียงตะกุกตะกัก หัวใจเริ่มเต้นเร็วและแรงผิดปกติจนกลัวมันจะกระเด็นออกมานอกอก
“แค่นี้ก็โวยวายด้วย คนเป็นแฟนกันมันต้องใกล้ชิดสนิทสนมกันสิมันถึงจะถูก...อย่างนี้แหละน้า คนไม่เคยมีแฟนถึงได้ไม่รู้ว่า คนเป็นแฟนกันเขาควรทำกันยังไงบ้าง”
“ทำไมฉันจะไม่รู้” หญิงสาวตอบกลับเสียงเขียว เธอไม่ได้โกหกอย่างน้อยเธอก็พอรู้ทฤษฎีมาบ้างละ แม้ปฏิบัติจะยังไม่เคยก็ตามที
“จริงอ่ะ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองอย่างไม่เชื่อ
“เคยมีมาหลายคนแล้วด้วย”
“อ๋อเหรอ...งั้นเธอก็ต้องรู้สิว่าคนเป็นแฟนกัน เขาแสดงความรักต่อกันยังไง ไหนลองสาธิตให้ดูหน่อยซิ”
“ทำไมฉันต้องทำเรื่องบ้าๆ อย่างนั้นด้วย นายรีบๆ ถอยออกไปห่างๆ ฉันได้แล้ว” คนเคยมีแฟนมาหลายคนถึงกับหน้าตื่น แหวกลับเสียงดัง แต่ก็ต้องรีบเบนหน้าหนีไปทางอื่น เมื่อชายหนุ่มยังไม่ยอมเอาใบหน้าขาวๆ ของเขาออกห่าง
“อ้าว ก็เพื่อความสมจริงไงล่ะ ถ้าเธอเล่นทำท่าหมางเมินอย่างนี้ เกิดคุณนายสมรจับได้ฉันก็จบเห่กันพอดี คราวนี้ละยายต้นข้าวเอ๋ย ฉันอาจจะถูกจับคลุมถุงชนกับผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ ส่วนเธอก็ได้ใช้หนี้หัวโตแน่” ขัตติยะขู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แต่ใจจริงแล้วกำลังพยายามไม่ให้หลุดฟอร์มหัวเราะออกมา เพราะหน้าตาตื่นดูเลิกลักชวนขำของพีรยา
“ไม่ต้องมาขู่ เรื่องกล้วยๆ แค่นี้ฉันตีบทแตกกระจายอยู่แล้วละ” พูดจบหญิงสาวหลับหูหลับตาโผเข้ากอดร่างสูงของขัตติยะทันที ท่ามกลางความอึ้งระคนงวยงงของคนโดนกอด
“เธอทำอะไร”
“อ้าว ก็นายให้ฉันแสดงความรักฉันก็ทำแล้วไง”
“นี่แม่คุณ ฉันไม่ใช่ลูกชายหรือน้องชายของเธอนะ จะได้มาแสดงความรักโดยการกอด ลูบหัวลูบหลังอย่างนี้น่ะ”
ขัตติยะดันร่างนุ่มนิ่มในอ้อมแขนออก แล้วยืดตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เท้าสะเอวเอียงคอมองหญิงสาวที่นั่งมองเขาตาเขียว ก่อนส่ายหน้า นี่เขาคิดผิดหรือคิดถูกที่มาเลือกยายลิงทโมนอย่างพีรยามาแสดงเป็นแฟนเนี่ย
“ยังไงการกอดมันก็ถือได้ว่า เป็นการแสดงความรัก ต่อคนที่รักอีกวิธีหนึ่งละน่า”
“แต่สำหรับคนเป็นแฟนกันมันต้องจูบ...เคยไหม จูบน่ะจูบ แล้วก็ต้องจูบตรงนี้ด้วย” ชายหนุ่มชี้ไปที่ริมฝีปากของตัวเอง พร้อมกับทิ้งตัวลงไปนั่งจนชิดกับหญิงสาวอีกครั้ง
“ห๊า! จูบปากนายเนี่ยนะ ฉะ...ฉันไม่ทำหรอก ยังไงซะ ฉันก็เชื่อว่าตัวเองสามารถทำให้คุณนายสมรเชื่อได้ว่าเป็นแฟนกับนายจริงๆ โดยไม่ต้องทำเรื่องบ้าๆ อย่างนี้...นี่ก็ใกล้จะมืดแล้วฉันจะกลับบ้าน เชิญนายไปหาผู้หญิงของนายมาจูบแสดงความรักให้พอใจก็แล้วกัน” พูดจบพีรยาก็ส่งค้อนให้ชายหนุ่มไปหนึ่งวงเบ้อเร้อ ก่อนจะเชิดหน้าลุกขึ้นเตรียมจะเดินหนี แต่ทว่าขาสั้นๆ ยังไม่ทันได้ก้าวไปไหน คำขู่ประโยคเดิมจากขัตติยะก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“สี่แสนห้าให้เวลาสองวัน”
พีรยาถึงกับหันขวับกลับมาแทบจะทันที จ้องคนที่นั่งไขว่ห้างอย่างสบายใจอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ แล้วตวาดชายหนุ่มกลับเสียงดัง
“นายเก่ง! นี่ชักจะมากเกินไปแล้วนะ เห็นว่าข่มได้ก็ข่มเอาอย่างนั้นเหรอ”
“ฉันยังยืนยันคำเดิม ถ้าเธอไม่ทำ ก็แสดงว่าไม่ช่วย ดังนั้นภายในสองวัน เธอต้องหาเงินสี่แสนห้ามาคืนฉันทุกบาททุกสตางค์ เข้าใจ๋” ชายหนุ่มพูดพลางพยักพเยิดหน้าเหมือนกำลังท้าทาย ว่าเขาทำจริงไม่ใช่แค่ขู่ พานทำให้คนถูกขู่อย่างพีรยา ที่หน้าทำหน้ามู่ทู่เดินกระฟัดกระเฟียดกลับมานั่งลงที่เดิม
และโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวพีรยาข่มความอายทั้งหมด แล้วตัดสินใจโน้มใบหน้าเข้าไปหาชายหนุ่มแล้วใช้ปากตัวเองแตะกับริมฝีปากหนาของเขาเบาๆ
ขัตติยะยอมรับว่าตกใจไม่น้อย แต่เขาก็ตั้งสติได้ทันและไวพอ ก่อนที่หญิงสาวจะผละออกไปมือใหญ่ของเขาก็รั้งท้ายทอยของเธอเอาไว้ พร้อมกับประกบปากจูบ สอนให้เธอได้รู้ว่าจูบจริงๆ เขาทำกันอย่างไร
“อือ...” แม้หญิงสาวจะร้องประท้วงในลำคอ ดิ้นขัดขืนพร้อมกับใช้มือตีที่ไหล่และหลังของชายหนุ่มแรงๆ แต่นั่นมันก็เป็นแค่ในช่วงเวลาแรกเท่านั้น เพราะหลังจากที่จูบสั่งสอนกลายเป็นจูบอ่อนหวานเรียกร้อง กายสาวก็ร้อนผ่าวราวกับมีกระแสไฟวิ่งอยู่ทั่วร่าง มันเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่เพิ่งเคยเกิดขึ้น พีรยาถึงกับตัวอ่อนระทวย ลมหายใจเริ่มติดขัด เรี่ยวแรงแทบไม่หลงเหลือ
และเริ่มตอบรับสัมผัสของชายหนุ่มแม้จะเงอะงะไร้เดียงสา แต่มันก็ทำให้ขัตติยะพอใจมากจนเริ่มควบคุมอารมณ์ที่ถูกกระตุ้นขึ้นมาไม่อยู่ ตัณหา ราคะที่คลอบงำในช่วงเวลานี้ ทำให้ความเห็นแก่ตัวผุดขึ้นมาในความคิด เขาเลือกทำตามสัญชาตญาณดิบเถื่อนและความต้องการของตัวเอง สิ่งที่ควรหยุดจึงถูกปล่อยให้ดำเนินต่อไปตามความปรารถนาของกามารมณ์ แม้ระหว่างทางนั้นจะสะดุดเล็กน้อยจากความไม่เคยของหญิงสาว
“บ้าเอ๊ย!” ชายหนุ่มสบถด่าตัวเอง แต่จะให้เขาหยุดเพื่อเห็นแก่ความถูกต้อง ฝันไปเถอะ ดูคนใต้ร่างเขาสิ ตอนนี้เธอน่ารัก สวยเซ็กซี่น่าขยี้ขนาดไหน “ทำตัวสบายๆ อย่างเกร็ง...เดี๋ยวทุกอย่างจะดีขึ้นนะ ที่รัก” ขัตติยะบอกพลางก้มลงพรมจูบไปทั่ววงหน้าอย่างปลอบโยน ก่อนจะหยุดมันลงที่ริมฝีปากบวมเจ่อเย้ายวนเพราะฝีมือของเขาเอง พร้อมกับบรรเลงเพลงรักพาเธอไปท่องเที่ยวดินแดนหฤหรรษ์ เพียงไม่นานร่างเล็กที่เคยสั่นสะท้านเพราะความเจ็บปวด ก็ต้องสั่นสะท้านและผวากอดเขาแน่นอีกครั้ง แต่คราวนี้มันเป็นเพราะเขาพาเธอไปพบกับความสุขสุดยอดอย่างที่ตั้งใจไว้
บทเพลงพิศวาสจบ ไฟปรารถนาในกายหนุ่มลดลง แต่ก็ไม่ได้มอดดับหากแต่เป็นเพราะเขาพยายามสกัดกั้นมันเอาไว้มากกว่า ไม่อยากหักโหมเพราะเป็นครั้งแรกของหญิงสาว และอีกอย่างตอนนี้เธอก็ได้ม้อยหลับไปเพราะความเพลียแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขายังรู้สึกต้องการมีอะไรกับผู้หญิงที่ตัวเองเพิ่งจะเสพสุขไปได้ไม่ถึงนาที ซึ่งที่ผ่านมาแม้ฝ่ายหญิงจะเร่าร้อนขนาดไหน เขาก็ไม่เคยเป็นหรือรู้สึกอย่างนี้มาก่อน
“หลับฝันดีนะ ยายลิงทโมนของฉัน” ริมฝีปากหนาบรรจงจูบลงบนหน้าผากชื้นเหงื่อเบาๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนดึงร่างเล็กนุ่มนิ่มเข้ากอด เพียงไม่นานเขาก็เผลอหลับเข้าสู่ห้วงนิทรารมย์ตามหญิงสาวไปอีกคน