ตอนที่ 4 สายใยที่เริ่มก่อตัว
ขัตติยะรู้สึกตัวพร้อมกับใช้มือควานหาร่างเล็ก นุ่มนิ่มที่เขานอนกอดมาตลอดคืน หวังจะใช้ไออุ่นจากกายสาวเพิ่มอุณหภูมิของอากาศในเช้าวันใหม่ แต่เขาก็ต้องผิดหวังเมื่อข้างกายของตนมีเพียงความว่างเปล่า
เธอหายไปไหน เขาถามตัวเอง ก่อนจะผุดลุกขึ้นคว้าผ้าเช็ดตัวมาพันรอบเอวลวกๆ แล้วเดินตะโกนเรียกหญิงสาวจนรอบบ้านก็ไม่พบแม้เงา
แสดงว่าเธอแอบกลับบ้านตอนที่เขาหลับอยู่ ขัตติยะบอกตัวเองขณะที่สายตาจับจ้องไปที่รอยเปื้อนสีแดงสดบนที่นอน เป็นหลักฐานตอกย้ำว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนมันคือเรื่องจริง เขามีอะไรกับพีรยา ผู้หญิงที่เขาเคยบอกกับตัวเองว่าจะไม่มีวันเอามาทำเมียเด็ดขาด และที่สำคัญเขาคือผู้ชายคนแรกของเธอ เขาจะเอายังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้นดี ‘รับผิดชอบ’ เหรอ คำคำนี้ผุดขึ้นมา แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าตัวเองยังไม่พร้อมที่จะเอาห่วงมาคล้องคอ ตอนนี้เขากำลังมีความสุขกับงานและชีวิตโสด แม้จะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเรื่องเมื่อคืนทำให้เขามีความสุขมากขนาดไหนและแอบภูมิใจลึกๆ ที่ได้เป็นคนแรกของเธอ ขัตติยะสะบัดศีรษะตัวเองแรงๆ เมื่อยิ่งคิดความรู้สึกก็ยิ่งขัดแย้งกันเอง ดังนั้นสิ่งที่เขาควรจะทำ ณ ตอนนี้ก็คืออาบน้ำแต่งตัว แล้วไปหาพีรยาที่บ้าน เพื่อที่จะได้คุยและตกลงกัน เขาจะได้รู้ว่าต้องทำอย่างไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น
หลังจากที่จัดการกับตัวเองเรียบร้อย ขัตติยะวิ่งมาหยุดตรงหน้าบ้านเช่าของพีรยา ก่อนจะมาใจก็คิดว่าจะเข้าไปเคาะประตูบ้านเรียกหญิงสาวออกมาคุยทันที แต่พอเอาเข้าจริง เขากลับไม่กล้าทำอย่างที่คิดเอาไว้ อีกทั้งยังเกิดความประหม่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนอีกด้วย
และในขณะที่ชายหนุ่มกำลังลังเลอยู่นั้น ประตูบ้านก็ถูกเปิดออกโดยกาจพลน้องชายต่างสายเลือดของพีรยา ที่วันนี้ไม่ไปขับวินมอเตอร์ไซด์ดั่งเช่นทุกวัน เพราะเขาตั้งใจจะไปตามหาผู้เป็นแม่ ที่หายตัวไปพร้อมกับทิ้งหนี้ก้อนใหญ่ไว้ให้กับตนและพี่สาว
“อ้าว พี่เก่งมายืนทำอะไรตรงนี้แต่เช้าครับ” กาจพลถามอย่างแปลกใจ
“อะ เอ่อ...คือ...คือฉันมาหาต้นข้าวน่ะ” ขัตติยะตอบพลางหลบสายตาอย่างคนมีชนักติดหลัง
“อ๋อ...ยังไม่ตื่นเลยพี่ เมื่อคืนคุยกันเพลินเลยล่ะสิ พี่ต้นข้าวถึงได้กลับดึก” คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเอ่ยแซวยิ้มๆ พลางใช้เศษผ้าเช็ดรถมอเตอร์ไซค์คู่กาย
“นี่นายเห็นตอนต้นข้าวกลับมาด้วยเหรอ”
“เปล่าหรอกพี่ ผมก็แค่เดาเอาเท่านั้นแหละ เพราะตอนที่ผมเข้านอนมันก็ห้าทุ่มแล้ว พี่ต้นข้าวยังไม่กลับมาจากบ้านพี่เลย”
“แล้วนี่นายจะไปไหน” ขัตติยะถาม เมื่อเห็นว่ากาจพลเก็บเศษผ้าที่ใช้เช็ดรถเมื่อครู่ที่ใต้เบาะ ก่อนจะขึ้นคร่อมแล้วสตาร์ทเครื่อง
“ผมจะไปตามหาแม่ครับ ยังไงพี่เก่งขึ้นไปเคาะประตูห้องปลุกพี่ต้นข้าวเองก็แล้วกันนะ...คือผมต้องรีบไป” พูดจบกาจพลก็บิดรถมอเตอร์ไซค์คู่กายออกไป เหลือไว้เพียงควันสีขาวจางๆ จากเครื่องยนต์ที่ค่อนข้างเก่าและเสียงอันแสบแก้วหูที่ห่างออกไปเรื่อยๆ ก่อนมันจะเงียบหายไปในที่สุด
ขัตติยะยืนเท้าเอวพร้อมกับถอนหายใจแรงๆ มองขึ้นไปบนบ้านเช่า ที่ตอนนี้ คิดว่าคนที่เขาต้องการพบคงกำลังนอนหลับอุตุอยู่ ชายหนุ่มยืนเรียกความมั่นใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจก้าวขึ้นบันไดที่มีเพียงไม่กี่ขั้น ไปหยุดยืนที่หน้าห้องนอนที่ปิดสนิท
ขัตติยะเงยหน้าขึ้นพร้อมกับหลับตาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เมื่อลืมตาขึ้นเขาจึงไม่รอช้ารีบเคาะประตูห้องตรงหน้าหนักๆ ซ้อนกันหลายครั้ง ก่อนที่ความกล้าของเขาจะหนีหาย
ตั้งแต่แอบกลับมาบ้านในช่วงเช้ามืดจนถึงตอนนี้ แม้จะพยายามข่มตาให้หลับเท่าไหร่ก็ไม่สามารถทำได้ ในหัวมันคิดถึงแต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน และยิ่งคิดเนื้อตัวก็ร้อนผ่าว สัมผัสจากชายหนุ่มยังตราตรึงหัวใจมิจางหาย พีรยาคิด ถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะรีบตะโกนบอกคนที่เคาะประตูไม่หยุดว่า
“วันนี้หาอะไรกินเองไปก่อนแล้วกันนะเต้ พี่รู้สึกไม่สบายขอนอนต่ออีกหน่อย” ถึงจะบอกไปอย่างนั้น เสียงเคาะประตูก็ยังคงดังต่อเนื่อง พีรยาทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคออย่างขัดใจ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูด้วยสีหน้าหงุดหงิด ตั้งใจว่าจะด่าน้องชายตัวแสบให้หนัก “ไอ้เต้นี่แก...” พีรยาถึงกับพูดไม่จบประโยค เมื่อพบว่าคนที่เคาะประตูนั้นไม่ใช่กาจพล แต่เป็นผู้ชายที่เป็นต้นเหตุของความกลุ้มใจในครั้งนี้ของเธอ
“เอ่อ...ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ”
“แต่ฉันไม่มี” หญิงสาวปิดประตูห้อง แต่ขัตติยะก็ใช้ฝ่ามือดันเอาไว้
“เรามีเรื่องต้องตกลงกัน” เขาบอกเสียงเข้ม
“ถ้าเป็นเรื่องที่ต้องแกล้งเป็นแฟนนาย เพื่อไปพบคุณนายสมรพรุ่งนี้แล้วล่ะก็ ฉันไม่เบี้ยวนายแน่ เพราะขืนไม่ไป ฉันคงไม่มีปัญญาหาเงินสี่แสนห้ามาคืนนายภายในวันสองวันได้หรอก...แค่นี้ใช่ไหม จะได้ไปนอนต่อ”
“ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น แต่หมายถึงเรื่องเอ่อ...เรื่อง...เรื่อง...”
“ถ้าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนล่ะก็ ช่างมันเถอะ เราก็ต่างเป็นผู้ใหญ่ด้วยกันทั้งคู่ ถือซะว่าเป็นเซอร์วิสพิเศษจากฉันก็แล้วกัน” พีรยาพูดตัดบท เมื่อเห็นสีหน้าลำบากใจของชายหนุ่ม ก่อนกะพริบตาถี่ๆ เพื่อสกัดกั้นน้ำตาไม่ให้ไหล พร้อมกับส่งยิ้มฝืนๆ ให้ขัตติยะ ที่ยืนมองเธอด้วยสีหน้าอึ้งๆ
“เซอร์วิสพิเศษบ้าบออะไรกัน นี่เธอพูดเหมือนไม่สนใจกับสิ่งที่สูญเสียไปเลย เหมือนกับว่ามัน...มันไม่สำคัญสำหรับเธอ” ชายหนุ่มตะคอกกลับอย่างไม่พอใจ ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไม่พอใจอะไร
“ใช่! แล้วไง มันดีสำหรับนายไม่ใช่เหรอ หรือต้องการให้ฉันร้องห่มร้องไห้อ้อนวอนเรียกร้องความรับผิดชอบจากนาย”
“มะ...มันไม่ใช่อย่างนั้น แต่ว่ามัน...มัน...” ขัตติยะเริ่มที่จะสับสนกับความรู้สึกของตัวเองอีกครั้ง ทำไมเขาถึงไม่ได้รู้สึกยินดี เมื่อหญิงสาวบอกว่าไม่ต้องการให้เขารับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งๆ ที่เขาเองก็ไม่ได้ต้องการทำมันเหมือนกัน
“เห็นไหมล่ะ สรุปนายไม่ได้ต้องการรับผิดชอบ และฉันเองก็ไม่ได้ต้องการให้นายรับผิดชอบ เรื่องที่เกิดขึ้น คิดซะว่ามันเป็นความผิดพลาดในชีวิต เราจะไม่ข้องเกี่ยวกันนอกเหนือข้อตกลง”
“แต่ว่า...”
“ขอร้อง นายกลับไปเถอะ ตอนนี้ฉันเหนื่อยและเพลียมากอยากพักผ่อน” พูดแล้วก็หน้าแดง เมื่อนึกไปถึงสาเหตุที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้
ขัตติยะพยักหน้า ลดมือที่ดันประตูห้องของหญิงสาวเอาไว้ลง ยืนมองประตูที่ถูกปิด ด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก
เขายืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งก่อนจะเดินกลับบ้านพร้อมกับคิดทบทวน ถึงเรื่องราวและความรู้สึกโหวงเหวงที่เกิดขึ้น
เรื่องที่คิดว่าจะยุ่งยากจบลงง่ายกว่าที่คิด เขาไม่ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่กระทำ แล้วทำไมเขาไม่ดีใจนะ
แล้ววันอาทิตย์ที่คุณนายสมรรอคอยก็มาถึง นางเข้าครัวเพื่อทำอาหารกลางวัน ไว้ต้อนรับแขกพิเศษในมื้อพิเศษ ตั้งแต่สี่โมงเช้าโดยมีแม่ครัวประจำบ้านคอยเป็นลูกมือ จัดเตรียมวัตถุดิบและหยิบจับโน่นนี่ให้นางเป็นคนปรุงรสโชว์ฝีมือการทำอาหาร
“อุ๊ยตาย! นี่จะห้าโมงครึ่งเข้าไปแล้ว กับข้าวที่ต้องทำเหลืออีกกี่อย่างจ๊ะแม่พร” คุณนายสมรดูเวลาพลางเอ่ยถามแม่ครัวประจำบ้าน
“ต้มยำที่คุณนายทำคืออย่างสุดท้ายแล้วค่ะ”
“ดีเลย ฉันจะได้มีเวลาไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วนี่มีใครมาถึงกันบ้างหรือยัง” คนถามถามพลางใช้ช้อนตักต้มยำที่ถูกปรุงรสแล้วขึ้นมาชิม เมื่อได้ที่นางจึงปิดแก๊สเป็นอันจบกระบวนการทำอาหารมื้อพิเศษนี้
“ยังเลยค่ะ อุ๊ย! เสียงแตรรถดังที่หน้าบ้าน สงสัยคุณนายดารากับคุณหนูปาลิตาคงมาถึงแล้วมั้งคะ”
“งั้นแม่พรออกไปต้อนรับแขกแทนก่อนก็แล้วกันนะ ฉันตัวเหม็นขอไปจัดการกับตัวเองก่อน”
“ได้ค่ะคุณนาย”
“อ้อ แล้วนี่ตาเก่งไปไหน ตั้งแต่กินข้าวเช้าเสร็จฉันยังไม่เห็นหน้าเลย”
“เห็นบอกว่าไปรับแฟนค่ะ”
“แล้วไป นึกว่าไปเถลไถลที่ไหนซะอีก ฉันไปละ อย่าลืมเอาน้ำเอาท่าไปรับแขกด้วยละ” ก่อนไปคุณนายสมรไม่วายกำชับ
“ค่ะ”
รถเก๋งสีขาววิ่งเข้ามาจอดภายในบ้านกิตติกร พอประตูรถถูกเปิดออกสาวสวยรูปร่างบอบบางในชุดเดรสสีชมพูหวานก็ก้าวลงจากรถ พร้อมกับคุณนายดาราผู้เป็นแม่ นางพรที่เพิ่งจะเดินออกมา จึงรีบตรงเข้าไปต้อนรับ
“เชิญในบ้านก่อนค่ะคุณนายดารา คุณหนูปาลิตา”
ปาลิตาส่งยิ้มพร้อมกับยกมือไหว้ผู้สูงวัยกว่าเล็กน้อย ก่อนจะคว้าแขนของผู้เป็นแม่มาเกี่ยว แล้วเดินตามหลังนางพรเข้าไปด้านใน
“แล้วนี่เจ้าของบ้านเขาไปไหนกันหมด” คุณนายดาราถามขึ้น เมื่อในบ้านเงียบราวกับไม่มีคนอยู่
“คุณนายเพิ่งเตรียมกับข้าวมื้อกลางวันเสร็จ เลยขอตัวไปอาบน้ำค่ะ อีกสักครู่ท่านก็คงลงมา...คุณนายกับคุณหนูต้องการอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่าคะ”
“ไม่ค่ะ” ปาลิตาตอบเสียงหวาน
“ถ้าอย่างนั้นดิฉันขอตัวไปทำงานต่อนะคะ มีอะไรเรียกใช้ดิฉันและเด็กในบ้านได้ค่ะ”
“ค่ะ” ปาลิตารับคำแล้วหยิบหนังสือนิตยสารที่ถูกวางไว้ในชั้นใต้โต๊ะมาอ่านฆ่าเวลา
“หนูปาล์มมานี่ลูก นี่ไง รูปพี่เก่ง ที่แม่อยากให้หนูทำความรู้จักไว้”
คนถูกเรียกลดหนังสือในมือลงด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย ตอนอยู่บ้านเธอก็โดนผู้เป็นแม่พูดเรื่องลูกชายของเพื่อนรักกรอกหูทุกวัน ว่ารูปหล่อราวกับเทพบุตร และดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ ฟังไปฟังมารู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ดีเลิศมากเกินกว่าจะเป็นมนุษย์เดินดินธรรมดาแล้วละ
“เร็วๆ สิลูก” คุณนายดาราเร่ง ทำให้ปาลิตาตื่นจากภวังค์ความคิด รีบวางหนังสือ แล้วลุกขึ้นเดินไปดูภาพถ่ายของผู้ชายที่ผู้เป็นแม่เอ่ยปากชมว่าดีนักดีหนา แต่คิดอีกที ไม่รู้แม่เธอจะให้ดูรูปไปทำไม ในเมื่อยังไงซะวันนี้เธอก็ต้องเจอตัวจริงอยู่แล้ว “นี่ไง พี่เขาหล่ออย่างที่แม่เคยบอกหรือเปล่า” มืออวบอูมที่มีแหวนเพชรประดับอยู่บนนิ้วไม่น้อยกว่าสามวงหยิบภาพ ที่ล้อมด้วยกรอบสีทองราคาแพงมาให้คนเป็นลูกสาวดูด้วยความชื่นชม
“เป็นไงลูก”
“เอ่อ...ก็หล่อดีค่ะ” ปาลิตาตอบตามความรู้สึกจริงๆ ชายหนุ่มในภาพ ถือว่าเข้าขั้นหน้าตาดีมาก แต่รู้สึกจะขาวสะอาดเดียดไปทางเกาหลีมากกว่าหล่อเข้มอย่างชายไทย นั่นมันจึงทำให้ไม่ได้รู้สึกสะดุดตาสะดุดใจเธอเท่าไหร่
และในขณะที่คุณนายดารากำลังยืนยิ้มอย่างยินดีกับคำตอบของลูกสาว เสียงทักของเจ้าบ้านก็ดังขึ้น
“สวัสดีจ้าดารา หนูปาล์ม ขอโทษทีที่ปล่อยให้ทั้งสองคอยนาน”
“สวัสดีค่ะคุณน้า” หญิงสาววางกรอบรูปกลับที่เดิม ก่อนจะหันมายกมือไหว้อย่างนอบน้อมสร้างความเสียดายและเอ็นดูให้กับคุณนายสมรไม่น้อย
“ไงจ๊ะ วันนี้แต่งตัวสวยเชียว เอ่อ...แล้วนี่หลานเก่งไปไหนเสียล่ะ ตั้งแต่มาถึงยังไม่เห็นหน้าเลย”
“อ๋อ...เขาไป...อ้าว...นั่นไงพูดถึงก็มาเลย เดี๋ยวฉันขอตัวไปรับลูกชายแป๊บหนึ่งนะ” พูดจบคุณนายสมรก็รีบเดินออกจากห้องรับแขกตรงไปที่รถของลูกชายที่เพิ่งวิ่งเข้ามา ด้วยสีหน้าตื่นเต้น
ซึ่งการแสดงออกอย่างนั้นก็สร้างความงุนงงให้กับเพื่อนรักอย่างคุณนายดาราเป็นอย่างมาก ว่าทำไมกับแค่ลูกชายที่เพิ่งกลับมาจากข้างนอกจะต้องออกไปรับด้วย
“ยิ้มหน่อยสิ ทำหน้ายังกับจะเดินเข้าแดนประหารอย่างนั้นแหละ แล้วอย่าลืมที่บอก เรียกฉันว่าพี่เก่ง ไหนลองเรียกซิ” ขัตติยะบอกแฟนสาวกำมะลอที่ตนเพิ่งไปรับมา
“พี่เก่ง” คนถูกสั่งเรียกเสียงแข็ง
“เฮ้อ...เธอนี่น้า มันดื้อจริงๆ แต่ก็ขอบใจที่ยังเรียก ถึงมันจะฟังดูแข็งๆ ก็เถอะ พยายามหน่อยก็แล้วกัน...ไป ลงได้แล้ว คุณนายสมรของเธอมายืนรอต้อนรับอยู่โน่น ยังไงก็แสดงให้เหมือนคนที่รักกันมานานหน่อยนะ ที่รัก” พูดจบชายหนุ่มก็แอบหอมแก้มแดงระเรื่อไปหนึ่งฟอดใหญ่อย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็รีบเผ่นลงจากรถด้วยรอยยิ้มระคนขำทันที
“ไอ้บ้า! ไอ้คนฉวยโอกาส คนยิ่งอยากลืมๆ อยู่” พีรยาบ่นพลางยกขึ้นกุมใบหน้าที่ผ่าวไปทั่ว และเกือบหลุดยิ้มถ้าประตูฝั่งที่เธอนั่งไม่ถูกเปิดออก
ขัตติยะโผล่หน้าเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มยียวน เธอจึงคิดจะกลบเกลื่อนความอายด้วยการตีเขาที่ไหนก็ได้สักตุ๊บสองตุ๊บ แต่แค่เงื้อมือขึ้นเขาก็ทำเสียงจิ๊จ๊ะ
“อย่าเชียวนะ ไม่งั้นฉันจะเล่นบทตบจูบให้แม่ดูจริงๆ ด้วย” ชายหนุ่มแกล้งขู่ยิ้มๆ
“ฝากไว้ก่อนเถอะ” พีรยาเก็บมือ ก้าวเท้าลงจากรถ สวมวิญญาณนักแสดง เดินเกาะแขนขัตติยะ ตรง ไปหาคุณนายสมรที่ยืนรออยู่ด้วยรอยยิ้มที่คิดว่าสดใสที่สุด
“หนูต้นข้าว!”