บทที่๓...ยอมเธอ (๑)
บทที่๓...ยอมเธอ
หญิงสาวไม่ยอมลงมารับประทานอาหารเย็น ลุงป้าเลยนั่งกลุ้มกันอยู่ใต้ถุนบ้านโดยมีชัดเจนเล่นกับแมวแล้วถอนหายใจ แต่ดันถอนหายใจพร้อมกันทั้งสามคนจึงได้มองหน้าไปมา แล้วเปล่งเสียงหัวเราะออกมาในที่สุด
“เครียดอะไรเหรอตา” เด็กน้อยถาม เห็นท่านทั้งสองทำหน้านิ่วมาสักพักแล้ว ส่วนตนก็เครียดเรื่องที่เพื่อนโหวตให้เป็นหัวหน้าห้องทั้งที่ไม่อยากเป็นสักนิด ภาระงานหนักขึ้นแถมต้องคอยออกหน้ารับแทนคนอื่นอีก
ทำไมถึงเลือกก็ไม่รู้
“เปล่าหรอก ข้าก็คิดเรื่องไร่ไปเรื่อยนั่นแหละ” ไม่อยากบอกว่ากำลังคิดไม่ตกกับเรื่องของคุณหนูที่ดูท่าชีวิตคู่จะไม่ได้ราบรื่นสักเท่าไหร่ ครั้งจะถามคุณปูรณ์ก็ไม่กล้า สุดท้ายก็ต้องมานั่งกลุ้มด้วยกันสองคนตายาย
“บอกคุณหนูหรือยังว่าทำกับข้าวใส่ตู้ไว้ให้แล้ว” หันไปถามคู่ชีวิตอย่างยายสายบัว ก็ได้รับการพยักหน้า
“บอกแล้ว แต่คุณหนูไม่ตอบอะไรเลย ฉันล่ะลุ้นว่าเจอกันจะเป็นยังไง พอได้เจอจริงก็ไม่ต่างจากที่คิดไว้สักเท่าไหร่ เฮ้อ ทำยังไงดีล่ะ เราต้องไปพูดกับคุณหนูไหม หรือให้เขาเคลียร์กันเอง” เอ็นดูอรนลินเหมือนลูกคนหนึ่ง จะปล่อยให้หญิงสาวเศร้าต่อไปก็ทนไม่ได้
“เรื่องของผัวเมีย เราอย่าไปยุ่งดีกว่า ไว้คุณหนูพร้อมเมื่อไหร่ก็คงถามเอง” แล้วสองตายายก็ถอนหายใจ ก่อนจะหันไปมองบุคคลที่มาใหม่อย่างพร้อมเพรียงเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาในเขตบ้านหลังน้อยของตนเอง
“อ้าวคุณปูรณ์ มาเสียค่ำมืดมีอะไรหรือเปล่าคะ” ตกใจจนต้องเอ่ยทัก ไม่รู้ว่าชายหนุ่มได้ยินเรื่องที่พวกตนคุยกันเมื่อสักครู่หรือเปล่า
ใบหน้าคมยิ้มเล็กน้อย ทำราวกับว่าไม่ได้ยินในเรื่องที่ท่านทั้งสองพูด ซึ่งความจริงเขาได้ยินทุกประโยคและก็แอบหนักใจเช่นเดียวกัน แต่ร่างสูงก็ไม่ได้แสดงออกให้ลุงป้ากระอักกระอวนใจ รู้ดีว่าความสัมพันธ์ครั้งนี้ตนเองเป็นคนผิด
“เก๋งกับวาดไม่อยู่ครับ ผมเลยจะมาขอกินข้าวด้วย” ได้ยินอย่างนั้นลุงป้าก็กระวีกระวาดลุกจากที่นั่งเพื่อหาข้าวหาน้ำให้ชายหนุ่มรับประทาน ส่วนชัดเจนก็ยิ้มแป้นให้พี่ปูรณ์ที่ตนเองแอบไปเล่นบ้านชายหนุ่มบ่อยครั้ง แล้วพี่ชายคนนี้ก็ใจดีสอนกีต้าร์อีกต่างหาก
“ไงชัด กินข้าวหรือยัง กินกับพี่ไหม” เอ่ยถามแต่ได้รับการส่ายหน้ากลับ
“ผมกินแล้วครับ พี่ปูรณ์กินเลย” นั่งลงบนแคร่ข้างเด็กหนุ่มที่อายุห่างกันแต่ก็ยังให้เรียกว่าพี่ อาจเพราะเขาไม่อยากแก่ไปมากกว่านี้ก็เป็นได้
“ช่วงนี้ติดแมวนะ ไม่เห็นไปเล่นที่บ้านพี่เลย” ปกติจะมาอยู่เล่นดนตรีหรือพูดคุย แต่ช่วงนี้ชัดเจนไม่ค่อยไปให้เห็นหน้า ดูแล้วคงคลุกอยู่กับแมวไม่ยอมไปไหน และเด็กหนุ่มก็ส่งยิ้มให้เมื่อถูกรู้ทัน แมวน้อยน่ารักขนาดนี้จะให้ไปไหนรอด
ปูรณ์ลูบหัวแมวที่รอดตายอย่างปาฏิหาริย์ ก่อนจะเกาคางจนมันหลับตาพริ้มมีความสุข เขายกยิ้มมุมปากอย่างเอ็นดู อดคิดถึงวันวานที่เพิ่งรู้จักกับภรรยาของตนเองไม่ได้ หล่อนก็เล่นซุกซนปีนต้นไม้เพื่อช่วยแมวเหมือนกัน สุดท้ายดันพลาดตกต้นไม้เสียอย่างนั้น ดีที่เขารับไว้ทันถ้าตกลงมาไม่อยากจะคิดว่าจะเจ็บแค่ไหน
“มีแค่ทอดไข่กับป่นปลาแล้วก็ลวกผักนะคะ คุณปูรณ์กินได้ไหม” อาหารอีสานทำเอาน้ำลายสอ เขาพยักหน้าแล้วลุกไปยังโต๊ะอาหารที่อยู่ใกล้กัน มองแล้วก็อยากลิ้มรสเสียเดี๋ยวนั้นแต่เลี่ยงไปล้างไม้ล้างมือเสียก่อน
“น่าอร่อยมากเลยครับ ผมไม่เกรงใจแล้วนะ” เริ่มกินข้าวเย็นที่น่าอร่อย ปั้นข้าวเหนียวคำโตแล้วกินกับป่นปลาพร้อมผักลวกที่เก็บมาจากแปลงผักของไร่
สองลุงป้ามองชายคราวลูกรับประทานอาหารก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร แต่ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเหตุผลกลใดจึงได้ปล่อยให้ภรรยารออยู่ได้ตั้งห้าปี แถมพอกลับมาจากต่างประเทศดันมาอาศัยที่บ้านพักตากอากาศ แทนที่จะเข้าเมืองกรุงเสียอย่างนั้น
สงสัยแต่ไม่กล้าถามอะไรออกมา ก่อนจะเดินไปนั่งดูข่าวในพระราชสำนักรอดูละครหลังข่าว ชีวิตของชาวชนบทก็มีเพียงเท่านี้ ตื่นเช้ากินข้าวแล้วออกไปทำไร่ทำสวน ตกเย็นก็มากินข้าวกับครอบครัวแล้วนอน วนเวียนเหมือนเดิมแทบทุกวัน
จนกลายเป็นความเคยชินเสียแล้ว
“อร่อยมากเลยครับ ขอบคุณสำหรับอาหารเย็นนะครับ” ช่วยเก็บจานชามแล้วเอ่ยขอบคุณก่อนจะเดินกลับบ้านโดยมีไฟฉายจากโทรศัพท์ส่องตามทาง ขณะที่ร่างสูงกำลังออกจากบ้านหลังน้อยก็ได้ยินเสียงป้าสายบัวรั้งไว้
“พรุ่งนี้ถ้าคุณปูรณ์ตื่นเช้า มาใส่บาตรด้วยกันได้นะคะ” เขาหยุดชะงัก ครุ่นคิดสักครู่แล้วหันมายิ้มให้พร้อมกับพยักหน้า
“ได้สิครับ ผมไม่ได้ใส่บาตรมานานแล้วเหมือนกัน” พูดจบก็เดินกลับบ้านปล่อยให้ลุงน้อยหันมามองภรรยาพลางขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่ป้าสายบัวก็ไม่พูดอะไร เอาแต่ยิ้มกริ่มอย่างนั้นแล้วเข้าครัวล้างจานค่อยออกมาดูละครกับหลานชาย
นางไม่ได้เข้าไปยุ่งกับความรักของใครสักหน่อย แต่ชวนมาใส่บาตรเองไม่ถือว่าก้าวก่าย คิดอย่างมีความสุข หวังให้ทั้งสองคืนดีกันในเร็ววัน
เช้าวันต่อมาอรนลินตื่นตั้งแต่ฟ้าไม่ทันสางมาเตรียมอาหารเช้าเพื่อใส่บาตร หล่อนทำเยอะจนป้าสายบัวที่มาทีหลังนึกว่าจะเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้าน ซึ่งเธอก็บอกว่าจะตักแบ่งฝากป้าเอาไปให้ยายชด ยายจุ๋ม ยายอ้อมที่รู้จักสนิทสนมกันเพราะไปวัด
ตักแบ่งใส่ปิ่นโตจะนำไปวัดเช้านี้ อยากฟังพระสวดสักหน่อยเผื่อจิตใจที่ฟุ้งซ่านจะได้สงบลงมาบ้าง เมื่อคืนแทบนอนไม่หลับ เอาแต่คิดถึงเรื่องของปูรณ์อยู่อย่างนั้น ถึงจะบอกตัวเองว่าคิดมากไปก็ไม่ได้คำตอบ แต่มันก็อดสงสัยไม่ได้
คำถามร้อยแปดพันเก้าผ่านเข้ามาในหัวตลอดทั้งคืน เพิ่งได้นอนเมื่อช่วงไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า แล้วก็สะดุ้งตื่นอัตโนมัติ ดูท่าว่าเธอจะเป็นเอามาก
“คุณหนูไปรอหน้าบ้านเลยนะคะ เดี๋ยวที่เหลือป้ายกไปให้” เหลือเพียงแค่ข้าวจึงได้บอกให้ร่างบางออกไปรอข้างนอก เธอพยักหน้ารับคำแล้วเดินออกมาที่หน้าบ้าน เห็นโต๊ะตั้งไว้ก่อนแล้วคาดว่าลุงน้อยคงเป็นคนจัดการ
เธอนำกับข้าวไปวางไว้ด้านหน้า พร้อมทั้งดอกไม้ที่เก็บจากหน้าบ้าน หญิงสาวอยู่ในชุดเดรสสีขาวยาวเพียงเข่า ผมสวยถูกรวบมาไว้ด้านเดียวแล้วผูกด้วยโบว์สีชมพู แต่งหน้าอ่อนๆ เพื่อกลบรอยคล้ำใต้ตา แต่กลับดูสวยหวานเสียเหลือเกิน
“พี่ขอใส่บาตรด้วยนะ” หันไปตามเสียงก่อนจะพบว่าชายหนุ่มถือถาดอาหารที่จะนำมาใส่บาตร หล่อนตัวแข็งทื่อชั่วขณะ ก่อนจะหันมาจัดข้าวของบนโต๊ะทำราวไม่สนใจคนที่มาใหม่
“มาขอทำไมคะ อ้ายไม่ใช่พระสักหน่อย” ใบหน้าสวยเรียบนิ่ง ไม่มีอรนลินคนเก่าที่ชอบยิ้มหวานให้พี่ปูรณ์สักนิด หล่อนทำราวกับไม่ต้องการเสวนาด้วย
ชายหนุ่มเดินเข้ามาหวังจะวางข้าวของไว้บนโต๊ะ ทว่าหล่อนรีบหยิบของจากถาดรองมาวางไว้จนเต็มไม่มีที่เหลือเผื่อคนข้างกาย ผินหน้ามามองเขาพลางยกยิ้มเล็กน้อย
“โต๊ะไม่พอค่ะ พี่ปูรณ์ถือได้ใช่ไหมคะ” ร่างสูงถึงกับพูดอะไรไม่ออก พอเจอภรรยาเวอร์ชั่นนี้ทำให้เขาตั้งตัวไม่ถูก
“ได้สิ” ยังไม่ทันจะพูดจบลุงน้อยก็ถือโต๊ะขนาดเท่ากับของหล่อนออกมาจากบ้าน แล้วจัดการกางให้เขาได้วางของ จนหญิงสาวถึงกับอึ้ง ไม่คิดว่าคนของตนเองจะเข้าข้างเขา
“วางตรงนี้ได้ครับคุณปูรณ์” ไม่นานป้าสายบัวก็ถือถาดข้าวออกมาจากบ้าน
“คุณหนูทำไมวางอาหารไว้เกลื่อนโต๊ะล่ะคะ เดี๋ยวป้าจัดให้ใหม่นะ” ร่างบางอายที่ตนเองทำนิสัยเหมือนเด็กเอาแต่ใจ แถมเขายังมองมาพลางอมยิ้มอีกต่างหาก ไม่อยากอยู่ตรงนี้จนต้องเอ่ยปากขอตัว
“วันนี้อ้ายไม่ใส่บาตรแล้วค่ะ เชิญลุงกับป้าเลยนะคะ” ขณะที่กำลังจะเดินเข้าบ้านแขนก็ถูกคว้าเอาไว้จากคนตัวสูง หล่อนตวัดสายตามองเขาอย่างไม่ชอบใจ
บรรยากาศเริ่มขมุกขมัวจนสองลุงป้าเริ่มคิดหนักว่าทำถูกไหมที่ให้สามีภรรยาเจอกัน ใครจะคิดว่าคุณหนูจะโกรธมากขนาดนี้ แต่พอมาทบทวนอีกครั้งก็ไม่แปลกใจ ในเมื่อชายหนุ่มห่างหายไปตั้งห้าปี เจอกันอีกทีที่บ้านพักตากอากาศ โดยที่เขาไม่บอกอะไรให้หล่อนทราบสักอย่าง
“พระมาแล้ว” หันไปมองก็เห็นพระเดินใกล้มาถึงหน้าบ้าน จึงได้บิดแขนตนเองเพื่อออกจากการจับกุม ทว่าร่างสูงกลับไม่ยอมปล่อย
“ปล่อยอ้าย” บอกเสียงเข้ม แต่เขาก็ไม่ปล่อยให้เธอเป็นอิสระสักที หญิงสาวหันมองพระที่เดินมาใกล้ถึงแล้วจึงร้อนใจ
“พี่ปูรณ์ ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ” ดวงตาคมจ้องใบหน้าหวาน ก่อนจะเอ่ยขอในสิ่งที่เธอไม่อยากจะให้สักนิด
“พี่อยากคุยกับอ้ายเรื่องของเรา” เธอไม่ต้องการจะคุยอะไรกับเขาทั้งนั้น จะบอกว่านิสัยเด็กก็ไม่ผิดนัก หล่อนมีสิทธิ์จะโกรธไม่ใช่เหรอที่เขาปล่อยให้รออยู่ตั้งหลายปี ให้โอกาสมาตลอด ทว่าพอวันที่ตัดสินใจเดินออกมาจากวังวนความเจ็บปวด ชายหนุ่มกลับรั้งเอาไว้เสียอย่างนั้น
“ไม่” ตอบเสียงดังฟังชัด พลางหันไปมองพระที่เริ่มใกล้เข้ามาทุกที เธอกระวนกระวายใจจะให้เขาปล่อย แต่ดูเหมือนปูรณ์จะจับแน่นจนสะบัดหลุดไมได้
“พี่ก็ไม่ปล่อย” กัดฟันกรอดด้วยความโมโหเขา ป้ากับลุงก็ลุ้นเพราะกลัวว่าพระจะมาถึงก่อน จนสุดท้ายหล่อนจำต้องตอบตกลงอย่างเลี่ยงไม่ได้
บังคับกันชัดๆ
“ก็ได้ๆๆ” ตอบรัวจนเขายิ้มอย่างพึงพอใจ หลังจากนั้นจึงปล่อยร่างบางให้เป็นอิสระ หล่อนยกแขนขึ้นมาดูเห็นเป็นรอยมือแดง มองเขาอย่างโกรธเคืองพลางสลับที่กับป้าสายบัวให้คั่นกลางระหว่างตนกับสามีที่ไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด
เพิ่งรู้ว่าอาการขัดใจจนอยากลงไปชักดิ้นชักงอเหมือนเด็กเป็นเช่นไร แต่ก็ต้องรักษาอาการไว้ก่อนจะใส่บาตรด้วยกิริยาสำรวมและสงบ หลังใส่บาตรเสร็จก็ไปกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว ปล่อยให้ลุงป้านำข้าวของไปเก็บในบ้าน
พอเธอลุกขึ้นก็เห็นร่างสูงมายืนรออยู่ก่อนหน้า กำลังจะเดินเข้าบ้านเขาก็มาดักหน้าเอาไว้เสียก่อน พอจะเบี่ยงไปอีกทางปูรณ์ก็รู้ทัน สุดท้ายจึงต้องเงยหน้ามองเขาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง กำมือแน่นไม่ให้ยกขึ้นไปทุบคนใจร้าย
“มีอะไรก็พูดมาสิคะ ยืนนิ่งอยู่ได้” โยนความผิดให้อีกฝ่าย อยากอาละวาดให้สมกับสิ่งที่ตนโดนกระทำแต่ก็เก็บเงียบเอาไว้