บทที่๒...หวนกลับ (๒)
“อ้ายไม่ได้ขายของแค่วันเดียวสักหน่อย เอาไว้วันไหนคุณเต้ว่างค่อยมาช่วยก็ได้ค่ะ” บอกเสียงเรียบ แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่คลายความทุกข์ เขาแค่อยากอยู่เคียงข้างเธอในวันแรกของการเปิดร้าน อยากร่วมแสดงความยินดีด้วย
ทำไมต้องมีประชุมตอนนี้ก็ไม่รู้ แล้วทั้งสำนักงานมีเขาคนเดียวหรือไง คนมีเป็นสิบไม่รู้ทำไมต้องส่งเขาไปด้วย โวยวายในใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อชื่อถูกส่งไปยังกระทรวงว่าจะเข้าร่วมประชุมเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็ขอมองใบหน้าหวานให้ชื่นใจหน่อย จะไม่ได้เจอกันตั้งอีกเจ็ดวัน เขาเฉาตายแน่
“ครับ แล้วผมจะกลับมาช่วยนะครับ” หล่อนพยักหน้าพลางส่งยิ้มให้ชายหนุ่ม เล่นเอาคนมองใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
อยากได้เธอเป็นแฟนเหลือเกิน ทำอย่างไรดี พยายามมาให้เห็นหน้าทุกวันแต่ความสัมพันธ์ก็ไม่ได้พัฒนาไปไกล ยังคงรู้สึกว่าหญิงสาวขีดเส้นให้เขาเป็นเพียงแค่เพื่อน ซึ่งความจริงแล้วไม่อยากอยู่ในสถานะนี้สักเท่าไหร่
ถ้าได้เลื่อนขั้นเป็นคนรักคงจะดี
“ได้ค่ะ” พูดคุยกันอีกชั่วครู่ชายหนุ่มจึงได้กลับบ้าน ร่างบางเข้ามาในครัวพอจะเปิดไฟก็นึกว่าได้ว่ามันเสีย ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายแล้วเดินไปหยิบโทรศัพท์มาโทรถามเพื่อนเรื่องรูปลักษณ์ผลิตภัณฑ์ ค่อนข้างจริงจังที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์จากผลไม้ที่ไม่สามารถจำหน่ายได้
ทุกอย่างคือเม็ดเงินทั้งนั้น สองลุงป้าก็ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องนี้สักเท่าไหร่ พอได้คุณหนูมาช่วยจึงดีใจยกใหญ่ ท่านทำไร่กันเองสองคนไม่มีคนงานเพราะเงินจ้างไม่เพียงพอ หล่อนจะส่งเงินมาให้ก็ปฏิเสธบอกยังไหว ทว่าอรนลินก็ส่งเงินเดือนมาให้ตลอดไม่มีขาด แถมยังส่งเสียชัดเจนเรียนหนังสือเพราะเห็นถึงความทุ่มเทของเด็กหนุ่ม ผลการเรียนยังดีอีกต่างหาก จะไม่ให้สนับสนุนได้อย่างไร
คุยเสร็จแล้วก็ติดต่อเพื่อนที่เปิดร้านขนมในตัวเมือง ขอนำแยมและผลไม้ไปวางขายได้ไหมซึ่งเพื่อนก็ตอบรับด้วยดี หล่อนเริ่มยิ้มออกเห็นหนทางบ้างแล้ว
อรนลินไม่ได้จบบริหารหรือเรียนเกษตร หล่อนเรียนบัญชีจบมาก็ทำงานตามบริษัทในตัวเมือง หรือว่างก็ช่วยคุณยายทำรายรับรายจ่ายของไร่ ซึ่งปีหลังๆ มากำไรไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คนสวนที่เคยจ้างก็ลาออกไปทำงานที่โรงงานกันทั้งนั้นเพราะได้เงินดีกว่า
คงจะมีแค่สองลุงป้าที่อยู่ด้วยกันมานาน ยังช่วยเหลือและดูแลไร่แห่งนี้ หล่อนขอบคุณท่านทั้งสองที่ไม่ทิ้งกันไปไหน
ดูเหมือนว่าคนรอบตัวเธอจะตีจากไปเสียหมด ตั้งแต่บิดามารดา คุณตาคุณยาย และสามีสุดที่รักอย่างพี่ปูรณ์...
“เฮ้อ เลิกคิดได้แล้วอ้าย” เดินเล่นมายังสวนผัก ถอนหายใจเมื่อยังนึกถึงคนรักที่ไม่เห็นหน้ากันหลายปี รักมันฝังลึกในใจจนตัดไม่ขาด ไม่รู้เหมือนกันทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ทั้งที่เธอก็เคยมีแฟนมาแล้ว เลิกรากันไปเสียใจแค่เดือนสองเดือนก็กลับมาเป็นปกติ
อาจเพราะกับคนเก่าเลิกเพราะหมดรัก แต่สำหรับพี่ปูรณ์นั้นต่างออกไป มันมีความโกรธ ความน้อยใจอยู่เต็มไปหมด ไม่ได้เลิกรักแต่รักไม่ได้ต่างหาก
คลุกอยู่สวนกว่าครึ่งค่อนวัน ก่อนจะเลือกเก็บผักสดเพื่อมาทำเมี่ยงปลาเผา หล่อนเห็นป้าสายบัวแช่ปลานิลที่ขอดเกล็ดเรียบร้อยไว้ในตู้เย็น มาเห็นผักสดปลอดสารเคมีจึงอยากกินกับน้ำจิ้มเผ็ดๆ แค่คิดก็น้ำลายสอเสียแล้ว
“พี่อ้ายเก็บผักมาเยอะเลย จะเอาไปทำอะไรครับ” ชัดเจนที่เล่นอยู่กับแมวน้อยทักทายเจ้าของบ้าน หล่อนจึงได้แวะคุยกับเด็กชาย
“พี่จะทำเมี่ยงปลาเผา ไว้ตอนเย็นมากินด้วยกันนะ” แค่ได้ยินชื่อเมนูก็น้ำลายไหล จึงได้พยักหน้าอย่างยินดี อย่างไรตอนเย็นคุณหนูก็มักจะเรียกลุงป้าและชัดเจนไปรับประทานอาหารเย็นด้วยกันอยู่แล้ว เธอบอกว่ากินคนเดียวแล้วเหงา กินหลายคนจะได้มีเพื่อนคุย
เหมือนตอนที่คุณยายยังอยู่ เธอก็มักจะพูดคุยชีวิตประจำวันให้ท่านฟังระหว่างกินข้าว ถึงจะโดนบ่นว่าไม่ควรพูดระหว่างรับประทานอาหารก็ตาม มันกลายเป็นความเคยชินไปแล้วนี่นา ยิ่งตอนไปอยู่บ้านป้องเกียรติคุณได้พูดคุยกับบิดามารดาของสามีระหว่างร่วมโต๊ะอาหาร ทำให้ตอนนี้เธอไม่ชินกับการกินข้าวคนเดียวซะแล้ว
เดินเข้ามาในห้องครัวก่อนจะเปิดไฟ เห็นว่ามันทำงานปกติจึงยิ้มอย่างพึงพอใจ สงสัยลุงน้อยมาจัดการให้แล้ว หล่อนวางผักไว้บนตะกร้าแล้วนำไปล้างที่เคาน์เตอร์ เมื่อผักสะอาดก็นำไปใส่ตู้เย็นไว้สำหรับรับประทานเย็นนี้ เดินกลับมาล้างมือก่อนจะสะดุดตากับโทรศัพท์ปริศนาที่วางไว้บนโต๊ะกลางห้องครัว
“ของใคร” พึมพำเสียงเบา พลิกดูโทรศัพท์ที่ไม่ได้ใส่เคสด้วยความสงสัย มั่นใจว่าไม่ใช่ของลุงน้อยป้าสายบัวแน่ๆ ยิ่งชัดเจนตัดออกได้เลย เด็กน้อยไม่มีเงินซื้อมือถือราคาแพงขนาดนี้หรอก
หล่อนกำลังจะกดเปิดดูว่าใครเป็นเจ้าของเครื่องมือสื่อสารก็ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาพอดี จึงหันไปทางประตูครัวก่อนจะตกใจเสียยิ่งกว่าเห็นผี มือเท้าเย็นเฉียบกะทันหัน ดวงตากลมสั่นระริกแทบไม่อยากจะเชื่อว่าเขามายืนอยู่ตรงหน้า
ร่างกายไร้เรี่ยวแรงก่อนจะทิ้งแขนสองข้างลงข้างลำตัว แต่มือกำโทรศัพท์ไว้แน่น หัวใจเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ ยามมองใบหน้าคมที่จ้องหล่อนเช่นเดียวกัน ยกมือมาหยิกแขนตัวเองให้แน่ใจว่ามันไม่ใช่ความฝันหรือภาพมโนที่ตนสร้างขึ้น
เขามาอยู่ตรงหน้าจริงๆ
พี่ปูรณ์...
“พี่ขอโทรศัพท์คืนได้ไหม” คำถามนั้นเรียกเธอให้มีสติ ก่อนจะก้มมองโทรศัพท์ที่ตนถือเอาไว้ มันเป็นของเขาอย่างนั้นเหรอ
คำถามมากมายผ่านเข้ามาในหัวแต่ไม่ถามออกไปสักคำ อาการคิดถึงจนอยากพุ่งเข้าไปกอด แต่ก็ยั้งตัวเองเอาไว้เมื่อคิดว่าเขามาอยู่ที่นี่นานแค่ไหนแล้ว ไม่เคยคิดจะติดต่อกลับมาเลยสักครั้ง ห้าปีที่หล่อนจมอยู่กับคำถามที่ไม่เคยได้รับคำตอบ
ไม่รู้ว่าตอนนี้ตนเองทำหน้าอย่างไร สมองมันตื้อไปหมด ช่วงปีแรกเคยคิดว่าถ้าชายหนุ่มกลับมาจะตรงเข้าไปกอดให้สมกับความคิดถึง ทว่าพอเวลาล่วงเลยทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลง หล่อนอยากตรงเข้าไปทุบเขาแล้วถามว่าทำไมถึงปล่อยให้รอนานขนาดนี้
จะหย่าก็แค่พูดให้มันจบ ไม่ใช่ยื้อมาหลายปี ขังเธอเอาไว้กับทะเบียนสมรส
อรนลินวางโทรศัพท์ของเขาไว้ที่เดิมโดยไม่พูดอะไรกับร่างสูงสักคำ ตัดสินใจเดินออกจากห้องครัว เบี่ยงกายหลบชายหนุ่มด้วยใบหน้าเรียบเฉยติดเย็นชา คิดว่าตนเองเก็บอาการเอาไว้ได้เก่งเหมือนกันที่ไม่ตีโพยตีพาย
หรือมันอาจจะเจ็บจนจุกแทบไม่รู้สึกอะไรแล้วก็ได้ ขณะที่ร่างบางกำลังจะเดินขึ้นบนห้องเพื่อหลีกเลี่ยงการพูดคุย ชายหนุ่มกลับคว้าแขนเรียวเอาไว้จนเธอเสียหลักเซมาชนแผงอกหนา
วินาทีนั้นใจหล่อนสั่นระรัวอีกครั้ง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจด้วยซ้ำ กลัวได้กลิ่นกายของสามีที่ไม่ได้เจอกันนาน เอวบางถูกมือหนาจับเอาไว้ก่อนที่เธอจะผละออกแล้วยืนห่างเขาเกือบสามเมตร
“อ้ายสบายดีไหม” หันมาสบตาคม ก่อนที่ชายหนุ่มจะเป็นคนถามขึ้น และหล่อนแทบอดไม่ไหวเกือบหัวเราะเยาะออกมาเสียแล้ว
คนที่ถูกทิ้งไปหลายปีคงจะสุขสบายดีอยู่หรอก ต้องหอบผ้าหอบผ่อนจากเมืองหลวงกลับมายังบ้านเกิด คงไม่เจ็บหรอกมั้ง
ถามมาได้อย่างไร
“สบายดีค่ะ ขอตัวนะคะ” ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา ถึงจะอยากรู้มากแค่ไหนว่าเขากลับไทยเมื่อไหร่ ทำไมไม่ติดต่อกลับมาบ้าง คิดถึงกันบ้างไหม แต่เลือกจะเก็บเงียบเอาไว้
ดวงตากลมมีน้ำตาคลอหน่วย จนต้องรีบหันหลังไม่อยากให้เขาเห็นความอ่อนแอของตนเอง มองใบหน้าคมที่ยังหล่อเหลาไม่เปลี่ยน เป็นพี่ปูรณ์ของเธอคนเดิมที่เคยเจอเมื่อห้าปีก่อน เม้มปากแน่นไม่ให้เอ่ยอะไรออกไป ทั้งกำมือตนเองเอาไว้กลัวจะพุ่งเข้าไปทุบตีชายหนุ่มให้เจ็บปวดเหมือนตนบ้าง
“พี่ขอโทษ” เกือบเปล่งเสียงหัวเราะออกมา เขามาขอโทษในวันที่หล่อนตัดสินใจจะเดินข้างหน้าต่อด้วยตัวเอง
มาทำไมเอาป่านนี้
“แหวนหมั้นอ้ายเอาไว้ที่บ้านพี่ปูรณ์ ส่วนเรื่องหย่าถ้าพี่ต้องการหย่าพรุ่งนี้เราไปที่อำเภอเลยก็ได้ค่ะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลา” พูดกับเขาทั้งที่ไม่ได้หันไปมองหน้า ก่อนจะตัดสินใจเดินขึ้นห้องไม่ต้องการได้ยินอะไรจากชายหนุ่มอีก
อรนลินปิดประตูห้องนอนลงก่อนจะพิงเอาไว้ แล้วค่อยไถตัวลงนั่งด้วยอาการอ่อนแรง หล่อนไม่ได้เข้มแข็งเหมือนที่แสดงออกต่อเขาเมื่อสักครู่ ยังคงเป็นคนอ่อนแอเหมือนเดิมที่ตอนนี้ปล่อยน้ำตาให้ไหลเปื้อนสองแก้ม
ยกมือขึ้นปิดปากกลัวว่าเขาจะได้ยินเสียงร่ำไห้ของตนเอง เก่งมากแค่ไหนแล้วที่ไม่ปล่อยน้ำตาต่อหน้าปูรณ์ ไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มมาโผล่ที่นี่ได้อย่างไร หรือว่าเขามาอยู่บ้านสวนนานแล้ว ทำไมถึงไม่ยอมกลับกรุงเทพฯ
ไม่อย่างนั้นก็ติดต่อหล่อนมา ให้ได้รู้ความเคลื่อนไหวสักนิดไม่ได้เลยหรือไง สงสัยเขาต้องการตัดขาดจากเธอจริงๆ จึงเลือกโกหกว่าอยู่ต่างประเทศ
ทั้งที่ความจริงคงมาอยู่เมืองไทยนานแล้ว ยิ่งคิดน้ำตาก็ไหลจนไม่อาจห้ามได้ เธอสะอื้นตัวโยนไม่คิดว่าจะร้องไห้หนักขนาดนี้อีก จะเปล่งเสียงร้องออกมาเหมือนครั้งยังเป็นเด็กก็ไม่ได้ น้ำมูกไหลออกมาจนต้องลุกขึ้นหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ด
หายใจแทบไม่ออกต้องอ้าปากแล้วหายใจแทน เจ็บปวดจนไม่คิดว่าจะสามารถให้อภัยชายคนนั้นได้ เขาคือคนที่เธอรักแต่กลับทิ้งไปไม่ไยดี แล้วจะต้องไปสนใจเขาทำไม
ทิ้งความรู้สึกพวกนั้นไปได้แล้วอ้าย หยุดคิดเรื่องพวกนี้สักที ย้ำกับตัวเองก่อนจะสูดลมหายใจลึก ถ้าเขาขอหย่าเธอห้ามร้องไห้เด็ดขาด ต้องเข้มแข็ง
หมดเวลาของคนอ่อนแอแล้ว...
“คุณปูรณ์ เรียบร้อยแล้วเหรอครับ” ร่างสูงเดินออกจากบ้านไม้สีขาวด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง แววตาเรียวติดเศร้าก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคุณลุงที่ดูแลไร่ยายจันทร์ เขายิ้มเล็กน้อยให้ท่านแล้วจึงพยักหน้า
เจอลุงน้อยที่ร้านขายของในหมู่บ้าน เห็นว่ามาซื้อหลอดไฟจะไปเปลี่ยนที่ห้องครัว เขาจึงอาสาทำให้เพราะคุณลุงยุ่งกับงานในไร่ แถมยังต้องไปสาธิตการทำปุ๋ยหมักชีวภาพให้เหล่าเกษตรกรที่มาจากจังหวัดอื่นดูอีก
“ครับ” ตอบรับสั้นๆ ทำให้คุณลุงเริ่มผิดสังเกต
“เจอคุณหนูไหมครับ” คำถามนั้นทำเอาชายหนุ่มชะงัก ก่อนจะพยักหน้าเป็นคำตอบให้คนสูงวัย ทำเอาลุงน้อยถึงกับพูดอะไรไม่ออกเช่นเดียวกัน
“เจอครับ ยังไงผมขอตัวก่อนนะลุง พอดีมีงานต้องทำต่อ” กล่าวจบก็โค้งศีรษะเล็กน้อยค่อยเดินไปยังบ้านของตนเองที่อยู่ติดกัน คุณลุงมองตามหลังชายรุ่นลูกแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองที่ย่ำแย่จนคุณหนูต้องกลับมาบ้าน
ที่จริงเขาก็ไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ที่ชายหนุ่มทำร้ายจิตใจอรนลิน แต่พอเห็นว่าปูรณ์เองก็ทุกข์ไม่ต่างกันจึงได้แต่สงสัยว่าอะไรเป็นอุปสรรคต่อชีวิตคู่ของคนทั้งสอง
ความรักที่ควรจะเบ่งบานกลับไม่เป็นเช่นนั้น บางทีคำตอบเหล่านี้คงมีเพียงแค่คนทั้งสองที่จะตอบคำถามค้างคาได้
ลุงน้อยถอนหายใจแล้วเดินกลับบ้านตนเองที่อยู่ภายในไร่ ปล่อยให้ปัญหาเป็นของคนสองคน ไม่ต้องเอาบุคคลที่สามเข้าไปยุ่งด้วยหรอก
แต่ก็ไม่แน่ เพราะบางทีเรื่องมันอาจจะยุ่งมาตั้งแต่เริ่มแล้วก็ได้