บทที่๑...สู่จุดเริ่มต้น (๒)
“ฉันน่าจะกลับไร่ให้เร็วกว่านี้ จะได้ช่วยลุงน้อยทำไร่” ว่าพลางถอนหายใจ ไม่น่าอยู่เมืองหลวงนานเพราะคิดว่าสามีจะกลับมาเลย เรื่องโกหกทั้งเพ
“ผมนึกว่าลุงมีหลานชายคนเดียวซะอีก ไม่คิดว่าจะมีหลานสาว” แถมสวยมากซะด้วย ต่อท้ายประโยคในใจไม่กล้าพูดออกไป
หล่อนอมยิ้มกำลังจะบอกความจริงว่าเป็นเจ้าของบ้าน แต่ชัดเจนก็เดินแกมวิ่งออกมาจากบ้านเสียก่อน เด็กน้อยอยู่ในชุดนักเรียนเรียบร้อย หญิงสาวมองก็อดคิดถึงตนเองในวัยมัธยมไม่ได้ ป่านนี้คงกำลังกินข้าวเตรียมพร้อมไปโรงเรียนแล้ว
“พี่อ้าย ยายให้มาตามไปกินข้าว” หันไปพยักหน้าให้คนต่างวัย
“เดี๋ยวจะบอกลุงน้อยให้ค่ะว่าคุณเต้มาหา ขอตัวก่อนนะคะ” บอกลาร่างสูงแล้วเดินเข้าไปในบ้าน ปล่อยเกษตรอำเภอหนุ่มมองตามตาไม่กระพริบ จนชัดเจนต้องโบกมือตรงหน้าเพื่อเรียกสติ
“มองตามเชียวนะพี่เต้” เอ่ยแซวอย่างรู้ทัน เห็นดวงตาหวานหยาดเยิ้มก็รู้ว่ากำลังหลงเสน่ห์ของคุณหนูคนสวยเข้าให้แล้ว
“อะไรเรา จะไปเรียนไม่ใช่เหรอ รีบไปสิเดี๋ยวก็ไม่ทันรถหรอก” ชัดเจนหรี่ตา ก่อนจะได้ยินเสียงเพื่อนขับรถมารับถึงหน้าบ้าน
หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ห่างจากถนนใหญ่พอสมควรรถโดยสารยังเข้าไม่ถึง จึงต้องขับรถส่วนตัวไปรอหน้าหมู่บ้าน เด็กชายชัดเจนและเพื่อนสนิทซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปจอดไว้หน้าสถานีอนามัย แล้วต่อรถไปโรงเรียนรัฐบาลประจำจังหวัด
“ไปแล้วพี่เต้ สวัสดีครับ” วิ่งเข้าไปเอากระเป๋าในบ้านก่อนจะซ้อนท้ายเพื่อนที่จอดรถรออยู่นอกรั้ว เกษตรหนุ่มส่ายศีรษะพลางอมยิ้มอย่างนึกเอ็นดู จอดรถมอเตอร์ไซค์เอาไว้ด้านหน้าแล้วเดินไปนั่งรออยู่โต๊ะรับรองแขกด้านหน้า
ชะเง้อหาหญิงสาวที่คุยด้วยเมื่อสักครู่ อยากเจอหน้าอีกครั้งแต่ลุงน้อยก็ปรากฏตัวเสียก่อน ฝ่ายนั้นรีบยิ้มต้อนรับ พลางเอ่ยอย่างคนคุ้นเคย เพราะเตชินเป็นคนทำให้ไร่แห่งนี้กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ แนะนำวิธีต่างๆ จนสามารถลืมตาอ้าปากได้
อาจไม่ได้มีเงินใช้มากมาย แต่ก็พอจะมีเงินเก็บไว้ใช้ยามฉุกเฉิน อรนลินมอบไร่ให้ลุงกับป้าเอาไว้ทำกินครั้งก่อนไปเมืองหลวง พอกลับมาคราวนี้หล่อนมีโครงการมากมายจะนำเสนอ คาดว่าต้องสร้างกำไรให้ไร่อย่างแน่นอน
“ขอบคุณมากนะครับคุณเต้” รับสูตรมาแล้วค้อมศีรษะเป็นการขอบคุณ
“ไม่เป็นไรลุง หน้าที่ผมอยู่แล้ว” อย่างไรเสียเขาก็ต้องดูแลเกษตรตามที่ได้รับมอบหมาย ครัวเรือนแถวนี้ส่วนมากประกอบอาชีพเกษตรกรรมกันหมด ผลกำไรไม่ได้มากเท่าเงินลงทุน หลายคนเลิกราหันไปทำงานในโรงงานใกล้บ้าน หรือดำรงอาชีพอื่นแทน
จะมีก็แต่ลุงน้อยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ทำตามคำแนะนำของเตชินจนไร่แห่งนี้ขึ้นเป็นหนึ่งในสิบของไร่ประจำจังหวัด ใครผ่านก็ต้องแวะเสมอ หรือบางครั้งโรงเรียนก็พานักเรียนมาทัศนศึกษาหาความรู้ เรียกได้ว่าสิ่งที่เขาทุ่มเทไปไม่เสียเปล่าจริงๆ
“ว่าแต่ลุงมีหลานสาวด้วยเหรอ ผมไม่ยักรู้มาก่อน” คนสูงวัยขมวดคิ้ว ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าอรนลินเพิ่งกลับมาอยู่บ้าน และเตชินคงไม่รู้จักเนื่องจากมาประจำอยู่อำเภอนี้แค่สามปี ย้ายรกรากมาอยู่หมู่บ้านแห่งนี้เพราะบิดามารดาเกษียณอายุราชการแล้ว จึงซื้อที่ต่างจังหวัดปลูกพืชผักผลไม้ แทนการอยู่เมืองกรุงรับมลพิษ
“อ้อ คุณหนูน่ะเหรอ..” กำลังจะกล่าวถึงอรนลินแต่ตัวจริงก็เดินถือน้ำมาเสิร์ฟเสียก่อน ร่างสูงเงยหน้ามองคนมาใหม่ทันที
“น้ำมาแล้วค่ะ” วางแก้วลงตรงหน้าแขก
“รู้จักกันแล้วเหรอครับ” ลุงน้อยถามขึ้น เธอพยักหน้าแล้วยิ้มให้คุณลุง
“รู้จักแล้วค่ะ นี่คุณเตชินเกษตรอำเภอที่ช่วยลุงน้อยเรื่องน้ำหมักแล้วก็ไร่ผลไม้ใช่ไหมคะ” บอกด้วยวาจาฉะฉาน ทว่าเตชินกลับคิ้วขมวดไม่เข้าใจเหตุใดชายแก่จึงได้พูดสุภาพกับหลานตัวเองเหลือเกิน
“ใช่ครับ ถ้าไม่ได้คุณเต้ลุงแย่แน่เลย” ยิ่งมองก็ยิ่งแปลก และท่าทีของเขาทำให้อรนลินหลุดหัวเราะออกมา
“ทำไมลุงพูดกับหลานเพราะจังเลย ปกติกับชัดเจนไม่เห็นเป็นแบบนี้” ตั้งข้อสังเกตทำเอาลุงน้อยถึงกับสะดุ้ง ไม่กล้าสนิทกับเจ้านายกลัวเหากินหัว
“นี่คุณอ้ายเจ้าของบ้านหลังนี้แล้วก็ไร่ยายจันทร์ครับคุณเต้ อย่าพูดว่าหลานผมสิเหาจะกินหัวเอา” ดวงตาคมเบิกกว้างขึ้น หันมองหล่อนพลางทำหน้าอึ้ง ไม่ได้โกรธแต่อยู่ในอาการอึ้งมากกว่า ว่าแล้วเชียวทำไมผิวพรรณดีผิวกับลุงป้าหรือชัดเจน
ที่แท้ก็เป็นเจ้าของบ้านและไร่ยายจันทร์นี่เอง
อย่าบอกนะว่าเธอคือหลานสาวสุดที่รักของคุณยายจันทิมาผู้ล่วงลับไปแล้วที่ลุงน้อยเคยเล่าให้ฟัง เพิ่งได้เจอกันตัวเป็นๆ ครั้งแรก
สวยราวกับดาราในทีวี...
“พูดอะไรแบบนั้นคะลุง อ้ายก็เป็นหลานลุงน้อยคนหนึ่งเหมือนกันนะ อีกอย่างไร่นี้ก็เป็นของลุงกับป้าไม่ใช่ของอ้ายคนเดียวสักหน่อย”
เตชินเหมือนปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อ เข้าใจผิดว่าหล่อนคือหลานสาวของลุงน้อย แต่ความจริงคือเจ้าของบ้านหลังงามและไร่ยายจันทร์ จนอดเผลอมองใบหน้าสวยด้วยความเหม่อลอยไม่ได้ ยิ่งยามที่แย้มยิ้มออกมาทำเอาเขาแทบลอย
คนหรือนางฟ้ากันแน่ เหมือนว่าเขาจะเจอสาวที่ทำให้ตกหลุมรักตั้งแต่แรกเจอเสียแล้ว อยากกลับบ้านไปบอกแม่ให้มาสู่ขอเสียเดี๋ยวนี้
“คุณเต้ คุณเต้คะ!” เรียกหลายครั้งแต่เขาไม่ได้ยิน จนต้องตะโกนเสียงดังจึงปลุกชายหนุ่มออกจากภวังค์ได้
ร่างสูงตอบรับทั้งที่ยังมองหน้าสวยไม่คลาดเคลื่อน ลุงน้อยเห็นอย่างนั้นก็แอบอมยิ้ม คิดว่าเกษตรอำเภอหนุ่มหลงเสน่ห์หลานสาวยายจันทร์เข้าให้เสียแล้ว ก็ไม่แปลกหรอกในเมื่อคุณหนูสวยหวานขนาดนี้ สมัยยังอยู่ที่นี่มีชายหนุ่มมาขายขนมจีบไม่เว้นวัน หัวกระไดบ้านไม่เคยแห้งสักครั้ง
“ขะ ครับ ว่ายังไงครับ” หล่อนอมยิ้มแล้วถามด้วยน้ำเสียงฉะฉาน
“จะเข้าไปทำน้ำหมักเลยไหมคะ ฉันอยากไปเรียนรู้ด้วย” แสดงว่าวันนี้เขาจะได้เห็นใบหน้าสวยทั้งวันเลยใช่ไหม แค่คิดก็กระชุ่มกระชวยแล้ว สงสัยต้องมาบ้านนี้บ่อยๆ
“ครับ ไปกันเลยครับ” แทบไม่มองคุณลุงน้อยด้วยซ้ำ ชายหนุ่มเดินตามร่างบางไปที่สวนด้านหลัง กินพื้นที่กว่าสิบห้าไร่ มีคลองไหลผ่านพอให้ได้รดน้ำใส่ต้นไม้ ทั้งสร้างสระน้ำกลางไร่เอาไว้ยามหน้าแล้งจะได้นำไปรดต้นไม้ใหญ่
อีกอย่างพวกเขาเตรียมพร้อมในหน้าแล้งคือทำน้ำบาดาล ขุดมาจากใต้ดินใช้ได้ตลอดทั้งปี ตอนแรกก็ไม่กล้าใช้เพราะน้ำบาลดาลนั้นไม่เหมาะกับการรดน้ำต้นไม้ ด้วยดินบางพื้นที่อาจเป็นกรดหรือด่าง จนได้เกษตรอำเภอมาให้ความรู้
เขาไปหาข้อมูลแล้วได้ไอเดียจากไร่ทางชายแดนภาคอีสาย โดยการดึงน้ำขึ้นมาจากใต้ดินให้ไหลผ่านชั้นหิน ถ่าน และมูลสัตว์ที่ทำดักไว้ที่จุดปล่อยน้ำออกมา ก่อนให้น้ำไหลผ่านไปยังร่องน้ำตามที่ทำไว้ไหลเข้าไปยังสระน้ำและสวนพืชผัก
ลุงน้อยขอบคุณเตชินเสมอที่มาให้ความรู้ ที่ไร่พัฒนาจนเป็นที่รู้จักส่วนหนึ่งก็มาจากชายหนุ่ม เสียดายที่ยายจันทร์ไม่อยู่เห็นความสำเร็จของไร่ ไม่แน่หากท่านยังมีชีวิตคงหมายมั่นชายคนนี้ให้รักกับหลานสาวของตน
แต่ก็ไม่แน่หรอก เพราะท่านก็ค่อนข้างเอ็นดูคุณปูรณ์เหมือนกัน จนถึงขั้นฝากฝังให้ดูแลหลานสาวสุดที่รัก แต่เส้นทางรักกลับขาดสะบั้นลงภายในระยะห้าปีเท่านั้น
วันนั้นทั้งวันเตชินคลุกอยู่ที่ไร่ยายจันทร์โดยให้เหตุผลว่ามาทำงานที่ได้รับมอบหมาย เขาเริ่มสนิทกับหญิงสาวจนถึงขนาดขอไปวัดยามวันพระด้วย ซึ่งก็คือพรุ่งนี้แล้ว อยากทำบุญร่วมกันเผื่อกุศลจะหนุนนำให้หล่อนตกลงปลงใจกับเขา
เพียงแค่คิดว่าจะได้มองใบหน้าสวยตลอดทั้งชีวิตก็ยิ้มออกมาด้วยความสุข ไม่ยอมปล่อยให้หล่อนหลุดมือเป็นอันขาด พรหมลิขิตบันดาลให้พบกันขนาดนี้แล้ว
ขออย่าได้มีอะไรมาขวางทางเลย
เช้าวันต่อมาร่างบางตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเพื่อมาทำอาหารไปวัด หล่อนพิถีพิถันทุกขั้นตอนแล้วนำใส่ปิ่นโต หยิบน้ำและแก้วลงตะกร้าเตรียมพร้อมสำหรับไปทำบุญ ใบหน้าหวานเงยมองหลอดไฟในครัวที่ติดๆ ดับๆ จนต้องเดินไปปิด
“สงสัยต้องเปลี่ยนหลอดแล้ว” พึมพำกับตัวเองแล้วขึ้นไปเปลี่ยนชุด เลือกเสื้อสีขาวมีระบายที่แขน กับผ้าถุงผืนงามที่ชอบใส่ไปวัดตอนคุณยายยังมีชีวิต หล่อนแต่งตัวอย่างนี้เป็นปกติ ก่อนจะเริ่มแต่งหน้าทำผลให้เรียบร้อย โดยถักเปียเดียวไว้ด้านข้าง ผูกโบว์สีชมพูค่อยสำรวจตนเองในกระจก
เรียบร้อย สวยงาม...
หยิบโทรศัพท์ลงกระเป๋าสะพายเล็ก กำลังจะลงไปข้างล่างก็เผลอมองหลังคาบ้านเคียงข้างจนได้ หล่อนคิดไปถึงเมื่อคืนที่ได้ยินเหมือนเสียงเปียโนดังมาจากบ้านนั้น แต่รีบปัดออกทันทีว่าตนคงหูฝาดไปเอง
พี่ปูรณ์อยู่ต่างประเทศแล้วใครจะมาเล่นดนตรีได้ บ้านหลังนั้นมีแม่บ้านและคนสวยอยู่กันแค่สองคน ซึ่งมีอายุอานามมากพอสมควรแล้ว ไม่รู้จักดนตรีสากลหรอก
สงสัยคงคิดไปเอง ส่ายศีรษะแล้วเดินลงไปข้างล่าง หยิบตะกร้าแล้วบอกป้าสายบัวว่าจะไปวัด ก่อนเดินไปเข็นจักรยานออกมาจากโรงรถ พอดีกับที่เกษตรอำเภอหนุ่มขับมอเตอร์ไซค์มาในรั้วบ้าน
“อ้าว คุณเต้” หล่อนทักทายเขา
“มาหาลุงน้อยแต่เช้าเลยนะคะ” ใบหน้าหวานส่งยิ้มให้แขก แต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะยิ้มค้างเสียอย่างนั้น
“เรานัดกันจะไปวัดไงครับ ผมไม่ได้มาหาลุงน้อย” เพิ่งคิดออกจึงได้พยักหน้า ส่งยิ้มแหยะให้เขาไม่คิดว่าตนจะความจำสั้นขนาดนี้
“อ่า ขอโทษทีนะคะ ฉันลืมสนิทเลย” เขาส่ายศีรษะไม่ถือสา แล้วมองหล่อนที่จูงจักรยานเอาไว้จึงได้ขันอาสาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
“คุณอ้ายไปกับผมได้นะครับ ยังไงก็ไปทางเดียวกันอยู่แล้ว” รอฟังคำตอบทว่าหล่อนกลับส่ายหัวด้วยความเกรงใจ
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันปั่นจักรยานไปเองดีกว่า เดี๋ยวคุณเต้จะต้องไปทำงานด้วยจะได้ไม่เทียวไปเทียวกลับ” ลึกในใจเธอรู้ดีว่าตนเองไม่ใช่คนตัวเปล่าเล่าเปลือย ถึงจะห่างกับสามีมานานแต่ยังไม่ได้หย่าเป็นทางการ ก็ถือว่ามีโซ่พันธนาการเอาไว้
การซ้อนท้ายผู้ชายโดยมีนามสกุลของสามีห้อยหลังคงไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่ ไม่อยากโดนตราหน้าว่าเป็นนางสองใจ
“อ้อ ก็ได้ครับ” รับคำเสียงอ่อย ก่อนจะขับมอเตอร์ไซค์เคียงข้างหล่อนเพื่อไปทำบุญที่วัด
ถึงจะอยู่ใกล้กันเพียงแค่เอื้อมมือ แต่ไม่รู้ทำไมเตชินถึงรู้สึกว่าหล่อนขีดเส้นความสัมพันธ์ของพวกเราเอาไว้อย่างชัดเจน
และคงเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากเพื่อน...