9. ของดีมีไว้ดู
ทว่า! คำว่าพันสองร้อยปีมันก็สะดุดหูแม่ทัพหนุ่มมากนัก จนคิ้วหนาผูกกันเป็นปมเลยทีเดียว
‘นางบอกว่าพลัดหลงไปในยุคที่ห่างจากที่นี่ถึงพันสองร้อยปี เหตุใดถึงมีคนก้าวผ่านมันไปได้กันนะ และยังดึงเอาคนร้ายจากยุคนั้นมาด้วยงั้นหรือ’ เฟิงซีนึกในใจ หากสิ่งที่สตรีตัวน้อยเอ่ยเป็นจริง ภายหน้าเขาเกรงว่าจะมีคนชั่วเช่นกลุ่มโจรนั้นหลุดเข้ามาในยุคนี้อีก
“เรื่องเกิดในยามที่มีสุริยุปราคาและสุริยะคราสกระนั้นหรือ” เอ่ยถามในสิ่งที่กังวล
“ใช่ แต่ท่านไม่ต้องห่วงหรอกนะ เท่าที่ข้าสังเกตดู ปรากฏการณ์นี้จะมีผลก็ต่อเมื่อตะวันและจันทราถูกกลืนกินหมดทั้งดวงเท่านั้น และต้องรออีกสองร้อยกว่าปีนู่นถึงจะมีอีกรอบ” บอกให้อีกฝ่ายคลายกังวล เพราะดูจากสีหน้าเขาคงห่วงเรื่องที่คนชั่วจะหลุดเข้ามาอีกเป็นแน่
“หมายความว่า หากมันกลืนกินเพียงเศษเสี้ยวก็ไม่เป็นอันใดกระนั้นหรือ” อินสือรีบถาม เพราะเขาก็กังวลไม่ต่างจากผู้เป็นนาย ยามนี้ทั้งคู่จึงจดจ่อกับสิ่งที่นางเอ่ย
“ข้าคิดว่าอย่างนั้นนะ เพราะตลอดเวลาที่อยู่ในยุครุ่งเรือง ข้าเองก็อยากกลับมา เพียงแต่ปรากฏการณ์เหล่านี้มันไม่มีวงแหวนอยู่เหนือหัวเช่นตอนจากที่นี่ไป ข้าจึงคิดว่าทุกอย่างมันเชื่อมต่อจากตรงนี้ ประตูมิติมันอาจต้องใช้พลังจากวงแหวนของตะวันและจันทรากระมัง” บอกในสิ่งที่ตนสัมผัสมา จะให้คิดเป็นอย่างอื่นก็คงไม่ได้
“จะพักได้หรือยัง ข้าเล่าทุกอย่างให้ฟังหมดแล้วนะ” ครานี้หันมาถามทั้งคู่บ้าง เพราะเหนื่อยล้าเต็มที
“ตอบคำถามสุดท้ายของวันนี้เสียก่อน แล้วข้าจะให้ไปอาบน้ำมานอน” เปล่งเสียงกดต่ำออกมาบังคับอีกรอบ
“รีบถามสิ” คนง่วงย้อนกลับพร้อมกับยกมือปิดปากที่กำลังหาว โดยไม่เกรงใจคนตรงหน้าสักนิด ก่อนนั้นซือซือก็ไม่ได้เป็นคนนิสัยแบบนี้ เพียงแต่ช่วงปีหลัง ๆ ที่พ่อแม่บุญธรรมเสีย นางต้องใช้ชีวิตลำพังแบบยากลำบาก
เพราะถูกญาติพี่น้องพ่อแม่บุญธรรมไล่ออกจากบ้าน เพียงเพราะต้องการมรดก ทำให้ซือซือต้องระเหดตนเองมาอยู่ค่ายชายแดน ใช้ชีวิตเหมือนผู้ชายเรียนไปด้วยปฎิบัติหน้าที่ไปด้วย พยายามศึกษาทุกอย่างเท่าที่ทำได้ คาดหวังว่าจะได้กลับมาบ้านเกิดอีกครั้ง มันอาจก่อเกิดประโยชน์ขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อยหากเธอมีโอกาสได้กลับมา
แต่ก็นั่นแหละ คนเรามันจะยัดทุกสิ่งอย่างใส่หัวทั้งหมดก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ความรู้ที่ติดตัวมาก็มีแค่การรักษา การต่อสู้ และผลิตระเบิดซึ่งเป็นอาวุธที่ทำจากมูลค้างคาว หรืออะไรก็ตามที่สามารถหาได้ในป่าก็เท่านั้น
รวมถึงความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ซึ่งไม่รู้ว่าจะจริงเท็จแค่ไหน คงต้องรอดูกันอีกที ช่วงเวลายามนี้ก็ไม่มีเรื่องที่จารึกไว้มากนัก เอ่ยถึงกู้เฟิงซีอย่างชื่นชม และเรื่องราวการสร้างสิ่งประดิษฐ์มากมาย ทำให้เป็นต้นแบบในอนาคตเท่านั้น ไม่รู้ว่าใครกันที่เป็นผู้ริเริ่มเรื่องนี้ สักวันนางคงได้พบเห็นเขาตัวเป็น ๆ หากมีโอกาส
เฟิงซีมองด้วยหางตาเล็กน้อย นึกหมั่นไส้และอยากลงโทษนางที่กล้าอวดดีกับตน ทว่าเขาก็เข้าใจ ครั้นจะเค้นเอาความทั้งหมดก็คงไม่ได้จริงๆ เขาเองก็เหนื่อยเพราะออกตามล่าหาที่กบดานของคนร้ายเหล่านี้เช่นกัน
“คนร้ายกลุ่มนั้นเจ้าบอกว่าตามล่ามันจนพลัดหลงกลับมายังยุคเดิมอีกครั้ง ยามนี้พวกมันไปที่ใด” เสียงเรียบเปล่งออกมา พร้อมกับจ้องนางเขม็ง
“ใต้เท้าหมิงซีบอกว่าเส้นทางที่พวกมันหนีไปคือชายแดนแคว้นต้าเว่ย ข้าคิดว่าพวกมันคงไม่ได้อยู่ในแคว้นอันแล้วล่ะ” บอกตามที่หมิงซีเอ่ยกับนาง
“เจ้าเจอกับหมิงซีกระนั้นหรือ” รีบถามถึงน้องชายทันที นานแล้วที่ไม่ได้พบกัน เพราะต่างคนต่างก็ทำหน้าที่
“อืม ข้าไปนอนได้หรือยัง ง่วงมากเลย” ถามเสียงงัวเงีย ตาก็เริ่มจะปิดลงแล้วเพราะหนังท้องตึงหนังตามันก็หย่อนนั่นเอง ทว่าคำตอบที่ได้มันก็ทำให้ซือซือต้องตาโต
“หากเจ้าจะนอนในห้องนี้ก็ต้องไปอาบน้ำก่อน ไม่เช่นนั้นก็ลงไปนอนในโรงม้า” เสียงกดต่ำของแม่ทัพหนุ่มเปล่งออกมา พร้อมกับนัยน์ตาคมดุ
“ฉันเป็นผู้หญิงนะ จะให้ไปนอนคอกม้าได้ยังไง อาบก็อาบสิ ชิ” แหวใส่พร้อมกับลุกพรวดขึ้น อันที่จริงก็ไม่ได้ลำบากอันใดกับการนอนในคอกม้า ทว่าเกิดเรื่องเมื่อตอนหัวค่ำขึ้น ชีวิตน้อย ๆ ของซือซือก็เหมือนจะก้าวเข้าไปอยู่ฝ่ายเดียวกับแม่ทัพหนุ่มเสียแล้ว
กลายเป็นว่านางมีศัตรูขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว จากคำบอกเล่าของเฟิงซีก่อนนี้ หากลงไปนอนด้านล่างก็เกรงว่าจะถูกศัตรูของแม่ทัพหนุ่ม ลอบเข้ามาบั่นคอทั้งที่ยังหลับอยู่เป็นแน่
อินสือยกนิ้วเรียวชี้นำทางสตรีตัวน้อยไปยังห้องอาบน้ำ ซึ่งอยู่ด้านข้าง “รีบไปจัดการตนเองเสีย อย่ามัวแต่พูดมาก ท่านแม่ทัพจะได้ไม่ต้องรอนาน” น้ำเสียงของรองแม่ทัพไม่ต่างจากผู้เป็นนายเลย
‘ชิ พอกันทั้งนายทั้งบ่าว’ ตำหนิทั้งคู่ในใจ ก่อนจะเดินเลี่ยงไปยังส่วนอาบน้ำ ซึ่งมีเพียงผ้าม่านกั้นไว้เท่านั้น ร่างเล็กชะงักทันที ก่อนจะหันมาหาบุรุษทั้งสองที่คุยกันอยู่
“ห้ามแอบดูนะ” บอกเสียงเข้ม พร้อมกับหยิบปืนออกมาขู่พวกเขา จึงได้เห็นว่าคนตัวโตเหลือบมองตนด้วยหางตา ไม่ต่างจากคนสนิทเลย
“หากเจ้ายังชักช้า ก็ลงไปนอนข้างล่าง” เฟิงซีตวาดลั่นห้อง ทำเอาร่างเล็กสะดุ้งโหยงทันที ก่อนจะรีบเปิดม่านเข้าไปด้านใน จึงไม่ทันได้เห็นว่าผู้ที่ดุนางเมื่อครู่เผลอยกยิ้ม
“เหอะ มีดีก็แค่หล่อเท่านั้นแหละนาย ปากเนี่ยะไม่ไหวเลย กับผู้หญิงยังจะวางมาดอีก” บ่นให้อีกฝ่ายเสียงเบา ก่อนจะหันมาปลดอาภรณ์ของตนออก
“คงต้องใส่ชุดเดิมไปก่อน ได้อาบน้ำก็ดีเหมือนกันนะ เหนียวตัวไปหมดแล้ว เห้อ…การกลับมาอีกครั้งทำไมมันไม่ง่ายอย่างที่คิดเลยนะ” บ่นพึมพำกับตนเอง ไม่คิดว่าการกลับมาบ้านเกิดจะลำบากถึงเพียงนี้
ร่างเล็กเปลือยกายหย่อนตัวลงในถังน้ำ ผมของนางถูกมัดรวบไว้ด้านบนเป็นกระจุก เพราะดึกแล้วไม่อาจปล่อยให้เปียกได้ หากเป็นเช่นนั้นคงไม่ได้นอนง่ายๆ แน่
“เห้อ สบายจัง เหมือนได้แช่อ่างจากุชชี่เลยแฮะ” เมื่อรู้สึกผ่อนคลายเสียงใสก็เปล่งออกมา ก่อนจะฮัมเพลงเบาๆ หลับตาพลิ้มดื่มดำกับความอบอุ่นของน้ำที่กำลังแช่ จนเวลาผ่านไปนานด้านนอกจึงส่งเสียงเตือนเข้ามา
“หากเจ้ายังเอ้อระเหยอยู่ ข้าจะเข้าไปลากเจ้าออกมาเสียเดี๋ยวนี้” เสียงกดต่ำที่เริ่มคุ้นชินดังมา ทำเอาร่างเล็กสะดุ้งเฮืกทันที ก่อนจะล้างเนื้อตัวให้เรียบร้อย แล้วลุกขึ้นจากถังน้ำลงมาอย่างรีบร้อน ทำให้ก้าวพลาดจนเหยียบไม่ถูกตั่งที่วางไว้เพื่อก้าวขึ้นถังใบใหญ่
“ว๊าย!!” ร้องเสียงหลงทันทีเมื่อร่างของตนล่วงลงมากระแทกพื้น คนด้านนอกก็ไม่รอช้ารีบวิ่งเข้ามา เพราะคิดว่าคนร้ายอาจรอบเข้ามาสังหารพวกตนอีก
“อะ ออกไปนะคนลามก” แหวใส่เขาทันที ทว่าร่างสูงของแม่ทัพหนุ่มกลับไม่ยอมขยับ เพราะเอาแต่จ้องสตรีตัวน้อยซึ่งไร้อาภรณ์ปกคลุมร่างกาย
“ออกไปสิ จะยืนอยู่ทำไม” ครานี้เสียงของนางสั่นเครือ เพราะกระดากอายที่ตนนั้นโป๊เปลือยต่อหน้าบุรุษ เฟิงซีไม่ได้เอ่ยอันใด ทว่าสองขานั้นก้าวเดินไปหยิบผ้าที่มีไว้สำหรับเช็ดตัวมาคลุมร่างของคนตัวเล็กไว้
“รีบจัดการตนเองเสีย อีกไม่นานคนงานจะเอาน้ำมาเปลี่ยนแล้ว” บอกก่อนจะเหยียดกายลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
ซือซือชำเลืองมองเล็กน้อย ก่อนจะกระชับผ้าที่อีกฝ่ายห่มให้แล้วพยายามลุกขึ้น ทว่ามันก็เจ็บจี๊ดจนต้องเขย่งขาเดินไปยังกองอาภรณ์ที่อยู่บนโต๊ะ รีบจับมันใส่ตามแบบที่ภรรยาเฒ่าแก่โรงเตี๊ยมใส่ให้เมื่อสามวันก่อน
“เห้อ ยังต้องเรียนรู้อีกเยอะเลยเรา” บ่นกับตนเองเมื่อมองสำรวจอาภรณ์บนตัว มันดูเหมือนห่ออะไรสักอย่าง
เมื่อคิดว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงสะพายเอากระเป๋าใส่บ่า ก่อนจะเขย่งไปที่ผ้าม่านเพื่อออกจากห้องนี้ ซึ่งมันก็ยากเย็นนัก เพราะอีกข้างเริ่มรู้สึกเจ็บขึ้นมาแล้ว
“ชักช้า” เสียงตำหนิดังมาพร้อมกับร่างสูง ซึ่งยามนี้มีเพียงแค่กางเกงที่สวมอยู่ ทำเอาซือซือถึงกับตาโตเท่าไข่หาน เพราะแม่ทัพหนุ่มมีรูปร่างที่ชวนฝันเป็นอย่างมาก และก่อนที่นางจะได้เอ่ยอันใด ร่างเล็กก็ลอยขึ้นเสียก่อน
“ทะ ทำอะไรเนี่ยะ” ร้องถามเสียงติดขัด มองอีกฝ่ายที่เอาแต่ตีหน้าเข้ม ทว่าบางสิ่งตรงจมูกมันก็ทำให้นางนิ่งงัน
‘จมูกเขาทำไมมีคราบเลือด’ นึกในใจจนร่างตนเองถูกวางลงบนเตียง ทว่ามันก็ไม่ได้แผ่วเบาอย่างที่ควรจะเป็น
#จมูกพี่เขามีคราบเลือด น่าจะเป็นเพราะรีบออกไปจนชนอะไรเข้าก็ได้ค่ะลูก 555