10. นอนละเมอ
“โอ๊ย! เจ็บนะ เบา ๆ ไม่ได้หรือไง” ตำหนิเขาเสียงดัง คนทำก็ได้แต่ยกยิ้มที่มุมปาก เพราะตั้งใจจะสั่งสอนสตรีตัวน้อยผู้นี้อยู่แล้ว นางบังอาจทำให้ภายในเขาร้อนรุ่มจนมีโลหิตไหลออกมาทางจมูก แค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ
ทว่า! พอได้เห็นใบหน้านางชัดเต็มตา พร้อมกับผมที่กำลังสยายลงมาเพราะยางรัดมันขาดด้วยความเก่าที่ใช้มานาน แม่ทัพหนุ่มก็ชะงักงันอีกรอบ ไม่ต่างจากยามที่เขาพบเจอร่างเปลือยของนางเลย
“รีบไม่ใช่เหรอ จะมัวมายืนมองอยู่ทำไม” ต่อว่าเขาอีกครา เพราะคนตัวโตยืนนิ่งเผยท่อนบน และมันก็ยั่วน้ำลายนางดีเหลือเกิน ลอนท้องเขากระเพื่อมไหวไปตามแรงหายใจ ซึ่งดูเหมือนมันจะแรงขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับกำลังตื่นเต้นกับบางสิ่งอยู่ เมื่อมองขึ้นไปที่ใบหน้าคมคาย ซือซือจึงได้เห็นว่าใบหูของแม่ทัพหนุ่มแดงระเรื่อแล้วในยามนี้
“ง่วงไม่ใช่หรือ ก็นอนไปสิ” เอ่ยเพียงเท่านั้นร่างกำยำก็เดินเลี่ยงไปยังห้องอาบน้ำ เป็นช่วงเวลาที่คนงานหิ้วน้ำเข้ามาพอดี ซือซือจึงรีบขยับกายลงจากเตียงเพื่อหาที่นอนใหม่ ยังดีที่มีตั่งตัวยาวข้างหน้าต่าง แม้จะไม่พอดีช่วงตัว ทว่ามันก็ยังพอให้ขดตัวนอนได้
“ตรงนี้แหละ ดีกว่านอนเตียงเดียวกับเขา” เอ่ยกับตนเองแล้วก็หยิบเสื้อแจ็คเก็ตที่เอามาด้วยห่ม ใช้กระเป๋ารองหัวเช่นทุกที ความเหนื่อยล้าทำให้ซือซือหลับไปโดยง่าย จนกระทั่งถึงเช้าอีกวัน น่าแปลกที่นางหลับโดยไม่ตื่นขึ้นมาเลย ทั้งที่อากาศก็เย็นแต่กลับหลับสบายยิ่งนัก
ยามเฉิน [07:00-8:59] เปลือกตาสวยเปิดขึ้นมา หลังจากที่นอนจนเต็มอิ่มแล้ว คงเป็นคืนแรกตั้งแต่หลุดมาอยู่ในยุคนี้เลยกระมังที่ได้หลับสนิทเช่นนี้ ทว่า! สิ่งที่เห็นเป็นอันดับแรกคือเม็ดไตสีน้ำตาลแดง และมันก็อยู่ใกล้เพียงแค่ปลายจมูกเสียด้วย ทำเอาซือซือถึงกับตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยับกันเลยทีเดียว ในหัวยามนี้ตีกันยุ่งเหยิงไปหมด
‘คะ ใคร นี่เรานอนกอดใคร’ ตั้งคำถามกับตนเองในใจ เพราะไม่รู้ว่าหัวนมสีเข้มนี้เป็นของผู้ใดกันแน่ เมื่อคืนนางนอนอยู่ที่ตั่งไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงมาอยู่บนเตียงซึ่งมีผ้าห่มคลุมกายได้ ซ้ำยังกอดก่ายบุรุษอย่างแนบชิดอีก
“ตื่นแล้วก็ลุกไปสิ หรืออยากให้คนของข้ามาเห็น” เสียงแหบพร่าของแม่ทัพหนุ่มเปล่งออกมา ก่อนจะขยับพลิกตัวนอนหงาย หลังจากอยู่ในท่าตะแคงทั้งคืน
“ข้ามานอนที่นี่ได้อย่างไร” ถามเสียงเบา ก่อนจะขยับตัวถอยออกมาแล้วยันกายลุกนั่ง มองคนตัวโตที่ยังคงปิดเปลือกตาราวกับคนหลับอยู่
“ลงไป” แม่ทัพหนุ่มเปล่งเสียงออกมาเพียงเท่านั้น ก่อนจะเปิดเปลือกตามองคนตัวเล็กที่นั่งจ้องเขาอยู่ ใบหน้านางยามตื่นมันช่างชวนมองยิ่งนัก
ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าไปคงเพราะทำสิ่งใดไม่ถูกกระมัง ดวงตากลมก็โตราวกับกวางน้อยที่กำลังตื่นตกใจ แก้มนางก็เนียนใส ทว่ายามนี้มันกำลังขึ้นสีเรื่อไม่ต่างจากจมูกซึ่งออกเป็นสีอมแดงชวนมองยิ่งนัก จนเขาเผลอจ้องอยู่นาน
“ก็ขยับออกไปสิ หรือจะให้ข้ามไปทั้งอย่างนี้” แหวใส่ เมื่ออีกฝ่ายยังคงนอนนิ่งไม่ยอมขยับ
เฟิงซียกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยก่อนจะยันกายลุกขึ้นนั่ง ซึ่งมันก็อยู่ใกล้กันมาก จนเขาเห็นท่าทางประหม่าของนางชัดเจน โดยเฉพาะแก้มเนียนที่ขึ้นสีแดงเรื่อหนักกว่าเดิม
“ลุกไปสิ หรือจะให้ข้าอุ้มลงจากเตียงอีก” เอ่ยเสียงเรียบ สายตาเขาก็ยังคงจับจ้องใบหน้านางไม่หันหนี ซือซือจึงรีบขยับเพื่อลงจากเตียง มีแม่ทัพหนุ่มมองตามทุกการเคลื่อนตัว โดยเฉพาะผมดำสลวยที่ยาวถึงกลางหลัง
“อ๊ะ!” เสียงร้องดังขึ้นเมื่อหย่อนเท้าลงแตะพื้น เมื่อคืนนางง่วงจนลืมกินยาหลับไปทั้งอย่างนั้นเลย ยามนี้มันทั้งบวมและแดงจนมองเห็นได้ชัดเจน
“ไหนว่าเป็นหมอ เมื่อคืนไม่ได้กินยารักษาตนเองกระนั้นหรือ” เสียงตำหนิดังมาจากคนที่นั่งอยู่ด้านหลัง
“ลืม แล้วข้าก็เหนื่อยมากด้วย” บอกตามตรง หัวถึงพื้นนางก็หลับไปเลย ไม่ทันได้นึกว่าตนขาพลิกด้วยซ้ำ
คำตอบของสตรีตัวน้อยเฟิงซีพอเข้าใจ เมื่อคืนเขาอุ้มนางมานอนบนเตียง ซือซือก็ยังไม่รู้สึกตัวเลย เขาขยับตัวมานั่งหย่อนขาลงข้างกายนาง มองเท้าที่บวมแดงก็พาให้ใจหาย ไม่คิดว่านางจะเจ็บหนักเพียงนี้
เฟิงซีขยับตัวลุกยืนเต็มความสูง ดวงตาสวยมองตามการกระทำของเขา ซึ่งโน้มตัวลงมาช้อนอุ้มเอานางขึ้น ก่อนจะพาไปยังห้องอาบน้ำเพื่อชำระล้างใบหน้า เพราะนี่ก็สายมากแล้วขืนรอให้นางจัดการตนเอง คงได้รอเป็นชั่วยามแน่ ซือซือก็ได้แต่ยกแขนโอบรอบคอเขาไว้
เพราะนางเองก็เดินไม่ไหว ไม่คิดเลยว่าจะกลายมาเป็นคนเจ็บเช่นนี้ นี่สินะคำโบราณที่ผู้คนมักเอ่ยถึง สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง เป็นหมอแท้ ๆ ก็ยังมาเจ็บตัวเพราะความซุ่มซ่ามที่ไม่รู้จักระวัง
“ขอบคุณ” บอกเสียงเบาเมื่ออีกฝ่ายปล่อยลงข้างโต๊ะ ซึ่งมีอ่างน้ำและผ้าวางคู่กัน เฟิงซีมองหน้านางเล็กน้อย
“ขอบคุณเจ้าค่ะ หัดพูดให้มีหางเสียงเสียบ้าง ภายภาคหน้าเจ้ายังต้องเจอกับคนมากมาย ควรหัดให้ชินเสีย” เตือนนางก่อนจะหันมาจัดการชำระล้างใบหน้าของตน คนฟังจึงได้แต่พยักหน้ารับ มันจริงเช่นที่คนตัวโตสั่งสอน
จัดการตนเองเสร็จแม่ทัพหนุ่มก็เดินออกไปเพื่อแต่งตัวด้านนอก ทิ้งให้สตรีตัวน้อยชำระล้างใบหน้า ไม่นานนักเขาก็กลับเข้ามา พร้อมกับจัดแจงชุดที่นางใส่ซึ่งมันหลุดรุ่ยให้เรียบร้อย ซึ่งซือซือก็ได้แต่ยืนปล่อยเขาจัดการไป เพราะเฟิงซีก็แค่ทำให้มันกระชับขึ้นและผูกเชือกที่เอวให้ ดีกว่าให้นางทำเอง ไม่แน่มันอาจจะหลุดต่อหน้าผู้คนก็ได้
“ผมก็มัดขึ้นเสีย” สั่งเสียงเข้มเมื่อจัดแจงอาภรณ์คนตัวเล็กเรียบร้อยแล้ว สายตาเขาก็เอาแต่จ้องใบหน้านาง
“ยางรัดผมข้าอยู่ด้านนอก เอ่อ…เจ้าค่ะ” บอกเสียงอ้อมแอ้ม เพราะต้องพูดจามีหางเสียงในแบบโบราณเป็นคราแรกในรอบสิบเจ็ดปีที่ห่างหายไป
“หึ! พูดจาดีดีก็เป็นนี่ แล้วเหตุใดจึงชอบโต้เถียงนัก” ตำหนิเสียงเรียบ สายตาก็ยังจับจ้องที่ดวงหน้างาม เลื่อนลงมายังเนินเขาที่ดันอาภรณ์จนเห็นได้ชัด นึกมาถึงตรงนี้แม่ทัพหนุ่มก็หวนคิดเรื่องเมื่อคืนที่เขาเปิดม่านเข้ามา
ยังดีที่ยามนั้นคนสนิทเขาออกจากห้องไปแล้ว จึงไม่ได้เห็นว่าสตรีตัวน้อยมีรูปร่างเย้ายวนเพียงใด สองเต้าอวบอิ่มประดับด้วยเม็ดไตสีแดงน่ากลืนกินยิ่งนัก หากได้ขยำก็คงจะล้นมือเป็นแน่ ผิวของนางชวนให้นึกถึงดอกท้อสีชมพูอ่อนที่กำลังผลิบาน พอได้นึกถึงช่วงล่างเขาก็ตื่นขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งมันเป็นปกติของบุรุษที่นึกถึงเรื่องเช่นนี้ ที่สำคัญเขาก็พึ่งได้เห็นมาเมื่อคืนภาพมันยังติดตาอยู่เลย
แม่ทัพหนุ่มช้อนอุ้มเอาร่างเล็กเดินออกไป ซึ่งครานี้คนสนิททั้งสามได้มายืนรอในห้องแล้ว ทำเอาบุรุษหนุ่มวัยไล่เลี่ยกันถึงกับตาโต เพราะไม่คิดว่าผู้เป็นนายจะดูแลนางเองเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นสตรีซึ่งมีใบหน้ามอมแมมที่พวกเขาเห็นเมื่อวาน กลับงดงามน่าทะนุถนอมยิ่งนัก
“เกิดอันใดขึ้นหรือขอรับ” ฟู่เล่อเอ่ยถามอาการของผู้ที่รักษาบาดแผลให้ตนเมื่อวาน เห็นคราแรกเขาก็ว่านางงามถึงจะมอมแมมอยู่บ้าง ทว่ายามนี้กลับงามราวกับเทพธิดา
“ตกถังเมื่อคืน” ผู้เป็นนายเอ่ยเพียงเท่านั้น คนสนิทก็ไม่ถามสิ่งใดอีก เพราะรู้ดีว่าผู้เป็นนายไม่ชอบอธิบายอันใดให้มากความ จึงได้แต่ยืนมองอยู่เช่นนั้น
#หลับสนิทขนาดนั้น ซือซือของแม่จะละเมอจริง ๆ เหรอ