หวงรัก ฮูหยินหลงยุค

142.0K · จบแล้ว
หลินซี
66
บท
73.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

"มู่ซือซือ" สตรีที่มีชีวิตพลิกผันอยู่ตลอดเวลา หลงไปอยู่อีกยุคจนเติบใหญ่ กลับมาก็ยังต้องเผชิญชะตากรรมมากมาย แต่บนความโชคร้ายเหล่านี้ นางกลับมีบุรุษผู้หนึ่งที่รักมั่นเป็นที่สุด คอยอยู่เคียงข้างเสมอ #ใครชอบแนวความรักอบอุ่น มั่นคง แนะนำเรื่องนี้นะคะ คุณจะได้ยิ้มตามไม่หุบแน่นอน

นางเอกเก่งโรแมนติกรักหวานๆดราม่านิยายจีนโบราณแม่ทัพนิยายแฟนตาซีจีนโบราณข้ามมิติ18+

1. หลงยุค

“ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านอยู่ที่ไหน ลูกกลัว” ร่างเล็กของเด็กน้อยวัยหกขวบ เดินโซเซอยู่ริมแม่น้ำ ร้องเรียกมารดาของตน ทั้งสองลงเรือมาพร้อมกับชาวเมือง อพยพหนีสงครามซึ่งกำลังปะทุอยู่ในยามนี้

ทว่าในขณะเดินทางได้เกิดสุริยุปราคาขึ้นมาพอดี ทำให้กระแสน้ำแปรปรวน เรือที่แล่นอยู่จึงล่มจมดิ่งลงก้นบึ้งแม่น้ำ แต่ละคนต่างก็ว่ายน้ำเอาตัวรอด ไม่รู้ว่าไปขึ้นฝั่งทางไหนกันบ้าง เป็นหรือตายก็ไม่มีใครรู้ ทว่าเด็กน้อยกลับขึ้นฝั่งมาลำพัง

มู่ซือซือ วัยหกหนาว นั่งกอดเข่ามองพื้นน้ำเบื้องหน้า เพราะไม่รู้ว่าตนจะไปต่อทางไหนดี ยามนี้เป็นช่วงดึก ทว่าบางสิ่งก็ดึงความสนใจของเด็กน้อยให้รีบลุกขึ้น เพราะห่างออกไปห้าสิบเก้า กำลังมีบางสิ่งส่องสว่างจ้าไปทั่วพื้นป่า พร้อมกับเสียงดังก้องเป็นที่น่าตื่นกลัว จนเด็กน้อยต้องรีบหาที่หลบข้างต้นไม้

บรืน! บรืน! เสียงดังขึ้นทุกทีเมื่อมันเข้ามาใกล้ มือเล็กยกขึ้นปิดหูตัวเอง พร้อมกับหลับตาก้มหน้าด้วยความตื่นกลัว แม้อยากจะร้องไห้เพียงใดก็ต้องอดทน เพราะสิ่งที่กำลังแล่นเคลื่อนไปนั้นน่ากลัวยิ่งนัก

“ท่านแม่ ลูกกลัว” พึมพำเบาๆ และยังคงขดตัวอยู่เช่นนั้นไม่ยอมขยับไปไหน จนกระทั่งผล็อยหลับไปเพราะพิษไข้ แม้แสงตะวันสาดส่องมาเด็กน้อยก็ยังอยู่ที่เดิม

“พี่เซียว ดูสิตรงนี้มีเด็กด้วย” หมอหลินร้องเรียกสามีดังลั่น ทำให้ร่างเล็กรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ทว่านางก็ทำได้เพียงลืมตามอง แต่ทุกสิ่งที่เห็นมันก็เลือนลางนัก

“เด็กหลงทางงั้นเหรอ แต่งตัวยังกับคนยุคโบราณเลย หรือว่าแถวนี้มีถ่ายซีรี่ย์” เซียวซาน คุณหมอวัยสามสิบแปดพูดขึ้น ก่อนจะช้อนอุ้มเอาเด็กน้อยเพื่อพาไปรักษา

“คุณแจ้งตำรวจด้วยนะ พ่อแม่เด็กอาจจะตามหาอยู่ก็ได้” รีบบอกภรรยา ก่อนที่ทั้งคู่จะตรงไปยังที่พักของตนที่อยู่ไม่ไกลนัก สามีภรรยาคู่นี้มากางเต็นท์นอนเป็นประจำ

สิบเจ็ดปีต่อมา เด็กน้อยในวันนั้นเติบใหญ่แล้ว และเธอก็กลายมาเป็นหมอ ตามแบบอย่างของพ่อแม่บุญธรรม เพียงแต่ว่า มู่ซือซือ เป็นหมอทหาร

ซือซือคาดหวังกับบางอย่างที่ไม่รู้ว่ามันจะเป็นไปได้หรือเปล่า จากนั้นมาเธอจึงตั้งใจเรียนรู้ให้มากที่สุด โดยมีพ่อแม่บุญธรรมคอยสนับสนุนไม่ว่าเธออยากจะทำอะไร ซือซืออยากเรียนเป็นหมอทหารก็ส่งให้ฝึกยิงปืนและการต่อสู้ ทำให้สาวสวยวัยเพียงยี่สิบสามเก่งเกินตัว มีความรู้มากมายโดยเฉพาะเรื่องบ้านเกิดเมืองนอนที่จากมา เธอคาดหวังว่าจะได้กลับไปอีกครั้ง แม้มันจะริบหรี่ก็เถอะ

“พ่อคะ แม่คะ ซือซือต้องไปแล้วนะ ได้ยินว่าอีกหนึ่งเดือนจะมีสุริยคราสเต็มดวง ไม่แน่หนูอาจจะกลับไปที่นั่นได้ พ่อกับแม่คุ้มครองหนูด้วยนะคะ” ร่างเล็กคุกเข่าอยู่ที่หน้าสุสานของพ่อแม่บุญธรรม ซึ่งตายจากไปสองปีแล้ว

จอกเหล้าถูกยกขึ้นมาเทราดลงกับพื้น เพื่อเซ่นไหว้คนที่จากไป ซือซือก้มลงวางมือขนาบข้างหัว คำนับผู้ที่ดูแลเธอมาเนิ่นนาน ตั้งแต่หลุดเข้ามาอยู่ในยุคนี้ เธอก็ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีจากสองสามีภรรยา

อยากทำสิ่งไหนพ่อแม่บุญธรรมก็ไม่เคยขัด และยังสอนเรื่องการรักษาด้วยสมุนไพรจนความรู้แน่นหัวเธอไปหมด แต่ละวันเรียกได้ว่ามู่ซือซือไม่เคยปล่อยเวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์

หญิงสาวผู้มีหน้าตาสะสวยลุกขึ้นยืนหลังจากบอกลาพ่อแม่แล้ว ผมยาวสลวยจนถึงกลางหลังปลิวไปตามแรงลมที่พัดมา วันนี้เธออยู่ในชุดกางเกงยีนส์ เสื้อยืดสีขาว สวมทับด้วยแจ็คเก็ตสีขี้ม้า บ่งบอกให้รู้ว่าทำอาชีพอะไร บนหัวมีหมวกแก๊ปสีเดียวกันสวมปิดบังความเศร้า

“ซือซือไปนะคะ หากไม่เป็นอย่างที่หวัง เราคงได้เจอกันอีก” กล่าวจบเธอก็โค้งคำนับ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากสุสานแห่งนี้ไป ทว่าสองขาได้หยุดลงยืนมองทิวทัศน์ด้านล่าง ซึ่งเป็นเมืองใหญ่และรุ่งเรืองของโลกปัจจุบัน

น่าแปลกที่เธอไม่อาลัยอาวรณ์มันเลย คงเป็นเพราะภาพความทรงจำเมื่อครั้งอยู่อีกยุค มันยังย้ำเตือนให้นึกถึง ภาพผู้คนล้มตายนับพัน ศรธนูที่พุ่งมาไม่หยุด ผู้คนหนีเอาตัวรอดอย่างน่าเวทนาแม้แต่ตัวเธอกับแม่ก็เช่นกัน

“สวรรค์ ช่วยส่งฉันกลับไปบ้านเกิดเมืองนอนฉันด้วยเถิด” ร้องขอราวกับว่าสิ่งที่เอ่ยถึงจะมีจริง แต่จะว่าไปหากไม่ใช่สวรรค์แล้วสิ่งใดกันส่งเธอให้มาที่นี่

สี่สิบวันผ่านไป ยามจื่อ [23:00-00:59] ยุคโบราณพันกว่าปีก่อน ยุคสมัยที่มีป่ามากกว่าบ้านเรือน

“ใต้เท้ามันหนีออกไปนอกเมืองขอรับ” เจิ้งเทารายงานผู้เป็นนาย ใบหน้าคมคายของหัวหน้าหน่วยมังกรทองหันมาหาคนของตน ริมฝีปากหนายกยิ้มก่อนจะสั่งเสียงเหี้ยม

“ตามไปอย่าให้มันรู้ตัว พบที่ซ่อนเมื่อใดสังหารมันให้สิ้น อย่าให้เหลือรอดเป็นอันขาด” สิ้นคำของผู้เป็นนายผู้ใต้บังคับบัญชาก็มุ่งหน้าไปยังจุดหมาย ชายฉกรรจ์รูปร่างสูงโปร่งนับสิบ แต่งกายด้วยชุดดำปักลายมังกรทอง

สวมหมวกและลายปักด้วยสีไม่ต่างกัน ยามออกตรวจตราหรือสืบคดีผู้คนต่างก็เกรงขาม ทว่าหน่วยนี้ก็ทำให้ผู้คนตื่นกลัวไม่น้อยเช่นกัน เพราะผู้บังคับบัญชาเป็นถึงท่านน้าของรัชทายาท หรือน้องชายไทเฮาเขาเป็นผู้ที่เด็ดขาดมาก อำมหิตหน้านิ่ง จนได้รับฉายาว่า

“ยมทูตหน้าตาย” ทว่ามันก็เป็นเพียงคำเรียกของผู้คนที่เห็นเขาแค่ยามทำงาน เมื่ออยู่กับคนสนิทหรือพี่ชาย ใต้เท้าผู้นี้ก็เหมือนกับน้องเล็ก เพราะมีอายุน้อยสุดในกลุ่ม ทว่ายามทำงานเขาจริงจังไม่แพ้พี่ชายซึ่งเป็นแม่ทัพ และมีอายุห่างจากเขาถึงสิบปี กับพี่สาวที่เป็นไทเฮาก็ห่างกันถึงยี่สิบปี คาดว่าบิดามารดาของทั้งสามคงตั้งใจให้เป็นเช่นนี้กระมัง ไม่ก็มีบุตรยากจึงปล่อยทิ้งระยะห่างเพียงนี้

ทว่าช่วงนี้เขารับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้ออกตามล่าตัวโจรร้ายที่ดักปล้นผู้คนแถบชานเมืองฝั่งตะวันออก เพราะทำผู้คนล้มตายไปหลายสิบ มีฎีกายื่นมาไม่เว้นแต่ละวัน ทำให้ฮ่องเต้ไม่อาจนิ่งนอนใจได้

คนนับสิบควบม้าตรงออกนอกเมือง ตามจับคนร้ายหลังทราบข่าวที่ซ่อนของพวกมัน พวกเขาหยุดลงก่อนจะถึงกระท่อมริมแม่น้ำ เพราะเกรงว่าจะทำให้คนเหล่านี้รู้ตัว

ใต้เท้ากู้ หรือ กู้หมิงซี บุรุษหนุ่มวัยยี่สิบ เพ่งมองเข้าไปในกระท่อม ซึ่งมีคนเดินเข้าออกมากกว่าหนึ่ง แม้ว่ายามนี้จะดึกแล้วก็เถอะ ด้านในมีเสียงพูดคุยดังขึ้นโดยไม่ได้ใส่ใจว่ามีคนติดตามมาแม้แต่น้อย ทว่าบางถ้อยคำมันกลับประหลาดนัก ไม่รู้ว่าคนเหล่านี้มาจากแคว้นใดกันแน่

มิหนำซ้ำยังแต่งกายด้วยอาภรณ์ต่างออกไปอีก ถึงแม้จะมีบางคนดูเหมือนชาวบ้านก็เถอะ ทว่าผมของพวกมันกลับสั้นจนเห็นใบหู จะว่าเป็นคนต่างแคว้นก็ไม่น่าใช่ เพราะไม่มีแคว้นใดมีธรรมเนียมตัดผมจนสั้นถึงเพียงนี้

“โอบล้อมเรือนเอาไว้ อย่าให้มันรอดไปได้” ออกคำสั่งเสียงเหี้ยม เมื่อเห็นว่าด้านในเริ่มสงบลงแล้ว

กลุ่มคนนับสิบเริ่มขยับออกจากที่ซ่อนโอบล้อมกระท่อมหลังนี้ไว้ เมื่อเห็นว่าทุกคนพร้อมจึงสั่งให้บุกพังประตูเข้าไป ทว่า! ปัง! ปัง! เสียงสนั่นดังลั่นกระท่อม ร่างของหน่วยมังกรทองล้มลงกองกับพื้นทันที

“อย่ายิงพร่ำเพรื่อนะโว้ย กระสุนมีจำกัด” เสียงหนึ่งตะโกนบอกพรรคพวกของตน เพราะก่อนนั้นพวกเขาได้ใช้ไปบ้างแล้ว จึงกลัวว่ายิงออกไปมั่วๆ จะทำให้เสียเปรียบในเวลาต่อมา เพราะไม่รู้คนกลุ่มนี้มากันเท่าไหร่

“พี่ใหญ่มันมากันหลายคนเลย สงสัยเป็นพวกทหารของเมืองนี้แน่” หนึ่งในลูกน้องกลุ่มโจรเอ่ยขึ้น

“จะกลัวทำไมวะ เรามีปืน มันมีแค่ดาบ” ร้องบอกในขณะที่หลบมุมอยู่ คนด้านนอกก็ไม่กล้าผลีผลามเข้ามา

“ไอ้โง่ แล้วถ้าพวกมันแห่กันมาทั้งกองทัพ มึงคิดว่าจะสู้ได้งั้นเหรอ มีระเบิดก็ว่าไปอย่าง” อีกคนตะโกนตอบ

“ถอยก่อน ยิงสกัดเพื่อเปิดทางก็พอ มันมีแค่ดาบสู้เราไม่ได้ก็จริง แต่อย่างที่ไอ้กวงบอก ถ้ามันมาเป็นร้อยเราไม่รอดแน่” ผู้เป็นนายร้องสั่งพรรคพวกของตน ซึ่งมีกันอยู่แค่ห้าคน เมื่อเห็นว่าไม่มีคนบุกเข้ามา จึงพากันกระโดดออกทางหน้าต่างหนีขึ้นเขาท่ามกลางความมืด 

#ฝากผลงานใหม่ด้วยนะคะ