บท
ตั้งค่า

2.อาวุธประหลาด

กู้หมิงซีและคนในหน่วยที่ยังเหลือรอดจึงรีบตามไป ทว่าพวกเขาก็ทิ้งระยะห่างอยู่มาก

“ใต้เท้าเราตามมันยามค่ำคืนเช่นนี้จะดีหรือขอรับ อาวุธของมันร้ายกาจยิ่งนัก” เจิ้งเทาเอ่ยท้วงผู้เป็นนาย เพราะอีกฝ่ายมีอาวุธประหลาด เสียงดังสนั่นไปทั่วพื้นป่า สหายในหน่วยที่ถูกคมอาวุธก็นอนแน่นิ่งสิ้นใจตายทันที

“ตามไปเงียบๆ อย่าให้มันรู้ตัว อย่างไรเสียมันก็ต้องหาที่พัก” ใช่ว่าหมิงซีจะไม่คิดเรื่องนี้ ทว่าจะปล่อยให้โจรชั่วหนีไปง่ายๆ เขาไม่ทำเป็นอันขาด เพราะปล่อยทิ้งไว้นานวัน ชาวบ้านก็ยิ่งประสพภัยร้ายจากการดักปล้นของพวกมัน

ทั้งเจ็ดตามกลุ่มโจรไปจนถึงถนนซึ่งตรงเข้าไปในป่าไผ่ ดูท่าพวกมันคงเริ่มเหนื่อยแล้ว จึงหาที่พักและก่อไฟ เพราะคิดว่าไม่มีใครตามพวกตนมาแล้ว หมิงซีจึงสั่งให้คนของตนซุ่มดูอยู่ภายในป่าเงียบๆ รอเวลาให้คนเหล่านี้หลับ

ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม [2ชั่วโมง] กลุ่มโจรก็หลับสนิท เป็นโอกาสให้หน่วยมังกรทองได้ลอบเข้าไปจัดการ ทว่ายังไม่ทันถึงตัวพวกมันคนร้ายก็ตื่นขึ้นเสียก่อน จึงเกิดเสียงดังสนั่นในป่าไผ่แห่งนี้อีกรอบ หมิงซีและคนของเขารีบหาที่หลบทันที ยังดีที่ป่าไผ่มืดมิดจึงพออำพรางตัวได้ ถึงกระนั้นกลุ่มโจรก็ยังสามารถปล่อยอาวุธออกมาเอาชีวิตคนของเขาได้ บางคนบาดเจ็บจนต้องนอนอยู่เฉยๆ

ปัง! ปัง! เสียงดังสวนมาจากมุมหนึ่งของชายป่า ทำให้กลุ่มคนร้ายพากันแตกตื่น

“ลูกพี่ต้าหยางตายแล้ว” หนึ่งในคนร้ายร้องบอกหัวหน้าของตน เมื่อพรรคพวกล้มลงต่อหน้า และสิ้นลมหายใจในทันที ไม่มีแม้แต่เสียงร้องออกมา

“ถอย! ถอยก่อน มันเป็นนักแม่นปืน อย่าเสี่ยงดีกว่า” เสียงตะโกนสั่งมา ทำให้ทั้งสี่ไม่รีรอที่จะวิ่งหนีเอาตัวรอดอีกครั้ง ท่ามกลางความมืด ซึ่งมีเพียงแสงจันทร์เสี้ยวสาดส่องมาพอให้เห็นเส้นทางเท่านั้น ทว่ายามนี้ต้องหนีให้พ้นคมกระสุนที่พุ่งมาหมายเอาชีวิตตนเสียก่อน

“ใต้เท้ามันหนีไปแล้วขอรับ” เจิ้งเทารีบรายงาน ทว่าไม่มีเสียงตอบรับอันใดกลับมา

ร่างสูงของหมิงซียืนพิงต้นไผ่นิ่ง มือเขากุมที่ท้องของตนเพราะรู้สึกมึนชาขึ้นมา ก่อนจะพบว่ามีของเหลวเปียกแฉะติดมือมาด้วย ร่างสูงทรุดลงคุกเข่ากับพื้นทันที เพราะยามนี้เริ่มรู้สึกปวดและไร้เรี่ยวแรงจะยืน

“ใต้เท้า เป็นอันใดไปขอรับ” เพราะทุกอย่างมืดมิดไปหมด จึงทำให้คนในหน่วยไม่รู้ว่าหมิงซีบาดเจ็บ และสหายบางคนก็สิ้นใจแล้ว จากเจ็ดยามนี้เหลือเพียงสี่คนเท่านั้น ทว่ายังไม่ทันได้ทำสิ่งใด ใครบางคนก็ปรากฏตัวบริเวณจุดพักของคนร้ายเมื่อครู่ หากเจิ้งเทามองไม่ผิด คนผู้นี้เป็น

“สตรี?” เจิ้งเทาเอ่ยออกมาราวกระซิบ เมื่อเห็นว่าผู้ที่ยืนอยู่ข้างคนร้ายที่นอนแน่นิ่ง คือสตรีร่างเล็กสูงแค่ไหล่เขาเท่านั้น และนางยังสวมใส่อาภรณ์ประหลาดอีก

“เหลืออีกสี่สินะ น่าเสียดายที่มืดเกินไป หากตามคงเสียเปรียบพวกมันแน่” สตรีตัวน้อยนั่งยองๆ มองร่างไร้วิญญาณที่ตนออกตามล่ามาหลายคืน

เพราะกลุ่มคนเหล่านี้คือพ่อค้ายาในแถบชายแดน ซึ่งหลุดเข้ามายังยุคโบราณดินแดนที่ซือซือจากไปเมื่อยามเด็ก ทว่าตอนนี้นางได้กลับมาแล้ว และหวังว่ามันจะเป็นยุคสมัยที่เธอเคยใช้ชีวิตอยู่เมื่อสิบเจ็ดปีก่อน

“นี่! เจ้าเป็นใคร มาจากแว่นแคว้นใด ไยเจ้าถึงได้แต่งตัวประหลาดนัก” เจิ้งเทาผู้ที่ยังปลอดภัยดีทุกอย่างร้องถามสตรีตัวน้อย ซึ่งยามนี้นางกำลังเดินมาหาพวกเขา พร้อมกับคบไฟที่หยิบมาจากกองของคนร้าย

“มีคนเจ็บใช่ไหม” ถามเมื่อเห็นว่ามีคนนอนอยู่ อีกคนก็นั่งพิงลำไผ่ เปลือกตาเรียวจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่อยู่แล้ว

“เจ้าเป็นใคร เป็นพวกเดียวกับกลุ่มโจรกระนั้นหรือ” จินหานเอ่ยถาม พร้อมกับกระชับดาบในมือแน่น แม้ว่าแขนด้านขวาจะถูกคมอาวุธจากคนร้ายก็เถอะ

“ไม่ได้เป็นพวกเดียวกัน แต่มาจากที่เดียวกัน เอาล่ะอย่ามัวพูดมาก รีบก่อไฟซะ ฉันจะรักษาบาดแผลให้” บอกเพราะหวังดี นางคิดว่าคนที่นั่งพิงลำไผ่คงอาการหนัก

“เจ้าเป็นใครไยไม่ตอบเรา เหตุใดแต่งตัวประหลาดนัก เจ้าต้องเป็นพวกเดียวกับคนร้ายกลุ่มนั้นแน่” จินหานยังไม่ลามือ เขารีบยกดาบชี้สตรีตัวน้อย ซึ่งกำลังจะนั่งลงดูอาการคนเจ็บ ทำให้นางต้องรีบยกมือขึ้น

“ฉันมาจากสถานที่เดียวกันกับคนเหล่านั้น แต่! ไม่ได้เป็นพวกเดียวกันกับพวกมัน อ้อ!...อีกอย่างนะ ถ้านายยังไม่ยอมให้ฉันรักษาแผลให้เพื่อนนายล่ะก็ เขาตายแน่” บอกไปตามจริง เพราะหมิงซีจะหมดสติแล้ว ถ้อยคำประหลาดที่ไม่คุ้นหู ทำเอาผู้ที่ยังมีสติดีอยู่ถึงกับมึนงง แม้จะเข้าใจในบางประโยค ทว่าเหตุใดสตรีตัวน้อยถึงเอ่ยเรียกเขาว่า

‘นาย’ ทั้งที่ตนก็เป็นเพียงองครักษ์ในหน่วยเท่านั้น ไม่เคยมีใครเอ่ยเรียกคำสั้นๆ เช่นนี้เลย

“ยังจะงงอยู่อีก เห็นไหมนั่นเขาสลบไปแล้ว” บอกพร้อมกับชี้นิ้วไปหาหมิงซี ซึ่งฟุบลงกับพื้น เจิ้งเทารีบตรงเข้ามาประคองผู้เป็นนายของตน

“ปล่อยเขานอนลงเถอะ นายไปก่อไฟนู่น มืดขนาดนี้จะรักษาแผลได้ยังไง” หันมาต่อว่าชายหนุ่มทั้งสอง ซึ่งได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ต่างจากคนที่หมดสติ และคนที่ถูกยิงที่ขา ดีที่กระสุนทะลุจึงไม่น่าห่วงเท่าคนที่สลบไปแล้ว เพราะหมิงซีถูกยิงเข้าที่ช่วงท้องมีกระสุนฝังในและเลือดออกมาก เขาจึงมีอาการน่าเป็นห่วงกว่าคนอื่น

เจิ้งเทาและจินหานจึงได้แต่ทำตามคำของสตรีตัวน้อยอย่างรนราน เพราะไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว พวกเขาไม่รู้วิชาแพทย์ ยิ่งไปกว่านั้นบาดแผลนี้ก็เกิดจากอาวุธประหลาดด้วย คงต้องฝากความหวังไว้กับคนที่รู้เรื่อง และนางก็คงเป็นคนผู้นั้นจึงได้มีท่าทีคล่องแคล่วนัก

กองไฟถูกก่อขึ้นในเวลาต่อมา ส่องสว่างไปทั่วบริเวณ คนตัวเล็กจึงนั่งยองลงข้างคนเจ็บ นางวางย่ามที่สะพายอยู่ลง ก่อนจะหยิบเอาอุปกรณ์การแพทย์ออกมา ซึ่งในย่ามสีเขียวลายพรางนี้มีข้าวของบรรจุมากมาย

“นั่นเจ้าจะทำอันใด จะสังหารใต้เท้าหรือ” เจิ้งเทายกดาบจ่อที่คอนางทันที เมื่อเห็นนางถือของแหลมไม่ต่างจากมีดไว้ในมือ และตั้งท่าจะทิ่มลงบนบาดแผลผู้เป็นนาย

“ฉันต้องเอากระสุนออก หากนายยังขวางฉันอยู่แบบนี้ ไม่ถึงครึ่งวันเขาต้องตายแน่ เลือกเอาจะให้ทำไหม”

“กระสุนอันใดกัน เจ้าอย่ามาพูดไปเรื่อยนะ” เจิ้งเทารีบถามทันที ยามนี้พวกเขากังวลยิ่งนัก

“ก็กระสุนที่ยิงออกมาสังหารพรรคพวกของนายยังไงล่ะ ตอนนี้มันอยู่ในตัวเขา ถ้าไม่เอาออกมันก็ไม่ต่างจากพิษร้าย ว่าไง ฉันไม่ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้หรอกนะ ไม่รักษาฉันก็ไม่เหนื่อย ปล่อยให้ตายตรงนี้แหละ” ว่าแล้วร่างเล็กก็ตั้งท่าจะลุกขึ้น พวกเขาจึงลังเลไม่รู้ต้องทำเช่นไรดี

“ให้นางรักษา” จินหานเอ่ยกับสหาย เขารับรู้ถึงความเจ็บบนบาดแผลแม้มันจะไม่ใหญ่ มันต่างจากคมดาบที่เคยโดนมา เพราะทั้งแสบและปวดร้าวไปทั่วตัว จึงคิดว่าผู้เป็นนายก็คงรู้สึกไม่ต่างกันหรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ

“ชิ…อิดออดกันอยู่นี่แหละ ชักช้าได้ตายกันพอดี” แหวใส่บุรุษทั้งสองจบนางก็นั่งลงรักษาต่อ

เจิ้งเทาจึงได้แต่ยืนมองสตรีแปลกหน้า ใช้ของแหลมจิ้มเข้าไปในบาดแผล ไม่กี่อึดใจ เหล็กแหลมนั้นก็หนีบเอาบางสิ่งออกมาด้วย ทำให้สองสหายต้องรีบขยับมามุงดู

“นี่หรือคือกระสุนที่เจ้าว่า” เขาถามพร้อมกับใช้ไม้เขี่ยดูก้อนเหล็กเล็กๆ ซึ่งมันไม่น่าจะมีพิษสงร้ายกาจเพียงนี้

“ใช่ มันคืออาวุธในยุคของฉัน” บอกแล้วก็นิ่งไป เพราะคำที่ซือซือพูดออกมาเมื่อครู่มันผิดถนัด นางมาจากยุคที่รุ่งเรืองจริง ทว่ามันไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนที่แท้จริง ที่นี่ต่างหากคือบ้านของเธอ แต่ก็นั่นแหละบอกไปใครจะเชื่อ แม้แต่ตัวเธอเองยังคิดไม่ถึงว่าจะมาพบเจอเรื่องเช่นนี้เลย

สตรีตัวน้อยไม่ได้หันมองหน้าคนถามสักนิด เพราะมือเล็กกำลังสาละวนกับการใส่ยา และเย็บปิดบาดแผล ซึ่งการกระทำอันคล่องแคล่วนี้อยู่ในสายตาของบุรุษทั้งสาม ต่อมานางก็ดึงม้วนผ้าออกมาพันโอบรอบตัวหมิงซี

อุปกรณ์ทุกอย่างล้วนแต่แปลกตาจนบางคราเจิ้งเทายังแอบหยิบขึ้นมาดู ซือซือเองก็ไม่ได้เอ่ยตำหนิหรือต่อว่าเขา เพราะรู้ดีว่าใครเห็นก็ต้องสงสัยกันทั้งนั้น

เธอหันมาจัดการทำแผลให้จางเจา องครักษ์ในหน่วยอีกคนที่ถูกยิงต้นขา ล้างแผลและใส่ยาให้ก่อนจะเย็บเล็กน้อย แล้วก็พันด้วยผ้าไม่ต่างจากคนที่ไม่ได้สติ 

#ซือซือกลับมาแล้ว 

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel