3. มาจากยุคอื่น
ทว่า! ชายหนุ่มทั้งสามยังคงฉงนกับถ้อยคำของหญิงสาว จนอดไม่ได้ที่จะถามนางเพื่อเอาคำตอบ
“ยุคของเจ้า หมายถึงอย่างไรกัน” เจิ้งเทาถามทันที เพราะมันประหลาดตั้งแต่คำพูดนางแล้ว
“ยุคสมัยที่เจริญรุ่งเรืองกว่ายุคนี้เป็นพันเท่า เอาไว้จะเล่าให้ฟังแล้วกันนะ นี่ยาแก้ปวด กินซะ มันลดไข้ได้ด้วย” สตรีตัวน้อยยื่นขวดยาสีขาวทรงกลมให้จินหาน รูปร่างของมันแปลกประหลาดยิ่งนัก อีกฝ่ายรับแล้วก็พลิกไปมา
“เป็นยาแน่หรือ?” ถามพร้อมกับเพ่งมอง เพราะรอบขวดนี้มีอักษรประหลาดติดอยู่ นั่นคือภาษาอังกฤษ ซึ่งมักจะมีอยู่ในบรรจุภัณฑ์เกือบทุกชนิด จินหานพยายามเปิดมันออก ทว่าทำอย่างไรเจ้าสิ่งนี้ก็ยังปิดสนิท
“หมุนเกลียวแบบนี้” ทำให้ดูเสร็จแล้วก็เทยาลงใส่ฝ่ามือ ก่อนจะส่งให้คนเจ็บ เจิ้งเทาหยิบมันขึ้นมาพลิกไปมา จนซือซืออดที่จะขำเอ็นดูพวกเขาไม่ได้ นึกถึงตัวเองตอนที่ข้ามมิติไปอยู่ในยุคแห่งความรุ่งเรือง
“มันเป็นยาแน่หรือ เหตุใดจึงขาวสะอาดเพียงนี้”
“กินเข้าไปเถอะน่า ถ้าฉันจะวางยาพวกนายแล้วจะมาช่วยทำไม ส่วนนี่ยาแก้อักเสบกินตามไปด้วย ส่วนคนที่หมดสติถ้าฟื้นค่อยเอาให้กิน ดูด้วยล่ะเผื่อไข้ขึ้นถ้าปลุกมากินยาได้ก็ดี ฉันง่วงแล้ว ไปหาที่นอนก่อนนะ” ร่างเล็กลุกขึ้นพร้อมกับกระเป๋าสะพายของตน ก่อนจะเดินไปหามุมสงบใต้ต้นไม้ใหญ่ บุรุษทั้งสามได้แต่มองตามทว่าไม่มีใครเอ่ยอันใด เพราะเห็นว่านางตั้งใจช่วยพวกเขาจริงๆ
“ข้าจะเฝ้ายาม อีกไม่นานฟ้าก็สาง คนของเราน่าจะออกตามหาได้ในช่วงเช้า” เจิ้งเทาเอ่ยก่อนจะเดินไปเก็บฟืนมาสุมไฟให้กองใหญ่ขึ้น ที่เหลือก็ขยับหามุมหลับ เพราะต่างก็เหนื่อยล้ากันมาทั้งวันทั้งคืน
ยามเฉิน [07:00-08:59] สตรีแปลกหน้ารู้สึกตัวตื่นขึ้น นางกวาดตามองไปรอบๆ เห็นว่าคนทั้งสี่ยังคงหลับอยู่ จึงลุกขึ้นมาดูคนเจ็บหนักสุดอย่างหมิงซี
“หน้าซีดเชียว คงเพราะเสียเลือดมากแน่เลย ยังดีที่ไม่มีไข้ อีกไม่นานก็น่าจะหายดี” พึมพำกับตนเองเบาๆ ก่อนจะพินิจพิจารณาหน้าตาของอีกฝ่าย
‘อีตานี่หล่ออย่างกับดาราเลยแฮะ ถ้าตายคงน่าเสียดายแย่' นึกในใจเมื่อเห็นใบหน้าคนเจ็บชัดเจน เมื่อคืนนางไม่ได้มองหน้าเขาเพราะง่วนกับการรักษาบาดแผล
“เจ้าจะทำอันใดใต้เท้า” เจิ้งเทาขยับตัวเข้ามาใกล้ผู้เป็นนาย ยกดาบชี้มาที่สตรีตัวน้อย เสียงถอนหายใจดังขึ้น ก่อนจะแหวใส่อีกฝ่ายจนคนที่หลับอยู่รู้สึกตัวตื่น
“แค่ตรวจอาการ ใครมันจะฆ่าคนได้ด้วยมือเปล่ากันห๊ะ ฉันเป็นผู้หญิงนะ ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณกันเลย” แหวใส่อีกฝ่ายทันที โดยลืมนึกไปว่าตรงหน้าคือคนเจ็บที่ยังนอนพักรักษาตัวอยู่ และตอนนี้เขาก็กำลังมองนาง
“เจิ้งเทา” เสียงแหบพร่าร้องเรียกคนของตน คนสนิทจึงรีบวางดาบลง แล้วตรงเข้ามาประคองผู้เป็นนาย ซือซือคว่ำปากใส่โดยไม่เกรงบุรุษตัวโตแม้แต่น้อย
“เจ้าเป็นคนช่วยข้ากับสหายหรือ” ถามในสิ่งที่ได้ยิน เมื่อคืนเขารู้สึกตัวตื่นขึ้น คนสนิทก็ให้กินยาประหลาดนั้นไม่นานนักเขาก็รู้สึกโล่งขึ้น อาการครั่นเนื้อครั่นตัวและปวดบาดแผลจางลง ยาที่นางให้มาช่างวิเศษยิ่งนัก
“ใช่” ตอบอีกฝ่ายสั้นๆ
“ขอบใจนะ” บอกเสียงเบาเพราะยังมีไข้อยู่
“เห็นนาย…เอ่อ…เจ้าค่อยยังชั่วก็ดีแล้ว ยาที่ให้ไว้ก็เก็บไว้ใช้เลย ฉันมีเยอะ” บอกตามจริง เพราะเธอเป็นหมอ ติดตามหน่วยลาดตระเวนตามขอบชายแดน ซึ่งเป็นแถบที่มาเฟียทั้งหลายลำเลียงยาเสพติดเข้าออกประเทศ ที่นั่นเกิดการปะทะกันบ่อยครั้ง จึงจำต้องมีหมออาสาแบบเธอเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน มู่ซือซือจึงขออาสามาทำภารกิจนี้เอง เพราะอยู่ในมนฑลเดียวกับที่เกิดเหตุเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน
“เจ้าเป็นใคร เหตุใดถึงมีอาวุธร้ายเช่นพวกมัน” หมิงซีถามในสิ่งที่ตนสงสัย เพราะเมื่อคืนเขาเห็นแสงจากพุ่มไม้ที่ดังขึ้นพร้อมเสียงดังไม่ต่างจากที่คนร้ายใช้ ก่อนที่พวกมันจะหนีไป และนางก็ปรากฎตัว
“เรื่องมันยาว หากเล่าก็ต้องเล่าตั้งแต่ต้น แต่เรื่องข้าช่างมันเถอะ ต่อไปถ้าพวกนาย เอ่อ! พวกเจ้าต้องการจะจับคนพวกนั้น แนะนำว่าอย่าดวลกันซึ่งหน้า อาวุธที่พวกมันใช้ร้ายกาจมาก ฉันไม่รู้ว่ามันมีกระสุนเท่าไหร่ ตั้งแต่หลุดเข้ามาในยุคนี้ นี่ก็ผ่านมาสิบวันแล้ว พวกมันยังมีอาวุธใช้อยู่ แสดงว่าคงมีสำรองอีกมาก ทางที่ดีหัดใช้หน้าไม้หรือธนูกำจัดพวกมันน่าจะดีกว่า” สตรีตัวน้อยร่ายยาวทว่าคนทั้งสี่กลับจ้องมองนางตาปริบๆ
“นี่อย่าบอกนะว่าไม่เข้าใจ” เสียงหวานลองถามทั้งสี่ อีกครั้ง เพราะเห็นสีหน้าท่าทางทั้งหมดเอาแต่ย่นคิ้วมองตน อุตส่าห์อธิบายให้เข้าใจแล้วแท้ๆ ยังจะทำหน้างงกันอีก ก่อนที่หมิงซีจะเอ่ยถามเสียงแหบพร่า
“เหตุใดเจ้าพูดจาภาษาประหลาดนัก แล้วที่บอกว่ามาจากอีกยุค มันจริงกระนั้นหรือ” แม้จะเข้าใจสิ่งที่นางบอกกล่าวอยู่บ้าง ทว่ามันก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะคำว่าหลุดมาในยุคนี้ มันฟังดูไม่น่าเชื่อเลย จะมีประตูเช่นนั้นอยู่ได้เยี่ยงไร
หมิงซีจ้องมองใบหน้ามอมแมมของสตรีที่ช่วยตน ดูท่านางคงไม่ได้อาบน้ำมาหลายวันแล้ว อาภรณ์ก็มีกลิ่นสาบนางคงใช้ชีวิตลำบากมากในความคิดเขา
ทว่าความเป็นจริง ซือซือหลุดเข้ามายังยุคโบราณ ในช่วงกำลังตามล่าคนร้าย จึงต้องอาศัยอยู่แต่ในป่า จะให้เรียกง่ายๆ ก็หลงทางนั่นแหละ ก็ภูมิทัศน์ยุคตนและยุคนี้ต่างกันมาก ผืนป่าจึงกินอาณาเขตกว้างกว่ายุคปัจุบัน ยังดีที่มีความรู้เกี่ยวกับการดำรงค์ชีพในป่าพอควร ไม่งั้นคงแห้งตายอยู่ในป่าไปนานแล้ว
“นั่นสิ ต่อให้ยาวเจ้าก็เล่าให้พวกเราฟังหน่อยเถอะ ข้าอยากรู้จะตายอยู่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องยาวิเศษนี่ ข้ากินไปเมื่อคืนจากที่มีไข้ก็หายเป็นปลิดทิ้ง เจ้าช่วยเล่าเถอะนะ”
จางเจาขยับตัวเข้ามา เพราะยังเจ็บต้นขาอยู่ เสียงถอนหายใจจากสตรีตัวน้อยจึงดังขึ้น ก่อนจะเอ่ยอีก
“ก็ได้ ข้ามาจากยุคที่เจริญมากๆ ที่นั่นเราไม่ใช้รถม้ากันแล้ว และไม่ต้องมีม้าเร็วคอยส่งข่าว เรามีมือถือที่สามารถใช้สื่อสารพูดคุยกันและมองเห็นใบหน้าด้วย มีไฟที่สามารถส่องสว่างเป็นวงกว้างไม่ต้องจุดเทียนหรือคบไฟเช่นคนสมัยนี้ เอาเถอะ อธิบายไปก็เท่านั้น เอาเป็นว่าถ้าพวกนายจะตามล่าคนเหล่านั้น พวกนายก็ต้องใช้อาวุธที่เหมาะกับการซุ่มยิง ไม่ใช่ดาบแบบนี้ มีแต่จะเอาชีวิตไปทิ้งมากกว่า ส่วนฉันมีธุระต้องไปทำ” ร่ายยาวแล้วก็นิ่งคิด
‘เห้อ ไอ้ที่พูดมาเนี่ยะ เข้าใจกันหรือเปล่า ขนาดการใช้ภาษาของเรามันยังปะปนกับคำปัจจุบัน ไม่งงก็แปลกแล้ว ต่อไปต้องพยายามพูดให้เหมือนคนปกติ ไม่งั้นต้องถูกจับไปขังแน่’ บ่นกับตนเองในใจ ก่อนจะนึกบางสิ่งได้
“ว่าแต่ที่นี่ใช่แคว้นอันหรือเปล่า แล้วช่วงที่ทำสงครามกับแคว้นเหลียงผ่านมากี่ปีแล้ว” รีบถามในสิ่งที่อยากรู้
“ใช่ นี่คือแผ่นดินแคว้นอัน สงครามนั้นผ่านมาสิบหกปีแล้ว ยามนี้บ้านเมืองสงบดีแต่ก็ไม่แน่ว่าอาจจะมีศึกอีก” เจิ้งเทาตอบในสิ่งที่นางสงสัย
“สิบหกปี ถ้างั้นก็เป็นช่วงหลังที่เราจากไปพอดี แสดงว่ายังรบกันต่ออีกหนึ่งปีสินะ คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่านะ” พึมพำเสียงเบา ทว่าใจดวงน้อยกลับเต้นรัวยิ่งนัก
“เราไม่ได้ทำสงครามมาแปดปีแล้ว ตั้งแต่มีแม่ทัพที่เก่งกาจเช่นแม่ทัพกู้ ยามนี้ทั่วแคว้นสงบสุขดี ว่าแต่! เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือ ว่าไม่ใช่คนยุคนี้ เหตุใดจึงรู้เรื่องสงครามล่ะ ในเมื่อไม่เคยใช้ชีวิตที่นี่” จินหานถามบ้าง
“ก็ร่ำเรียนมาน่ะสิ ยุคที่ข้าจากมาห่างจากที่นี่นับพันกว่าปี เหตุการณ์สำคัญจะถูกบันทึกไว้ ที่ถามเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้ข้าอยู่ในยุคของราชวงศ์ใด แคว้นอันมีอายุอยู่ถึงหกร้อยปี ข้าไม่รู้ว่าตอนนี้ผ่านมากี่ปีแล้ว เพราะบางช่วงก็รบหนักมาก จนราษฎรต้องอพยพหนีตายแทบทุกวัน” บอกสิ่งที่ตนพอจำได้ และเป็นสิ่งที่ซือซือเฝ้าศึกษามาตลอด
เพราะวาดหวังว่าตนจะต้องได้กลับมาบ้านเกิดอีกครั้ง
“หมายความว่าอีกหกร้อยปี แคว้นอันจะไม่มีอยู่กระนั้นหรือ จะมีผู้มายึดตีแคว้นของเราไปเป็นของเขาใช่หรือไม่” เจิ้งเทารีบถามอย่างสนใจ
“ใช่ ว่าแต่ตอนนี้ก่อตั้งแคว้นมานานแค่ไหนแล้ว” ยังคงถามย้ำเรื่องเดิมเพราะอยากรู้ว่าตนนั้นได้กลับมาในช่วงที่จากไปหรือเปล่า และคำตอบก็ทำให้นางเผยยิ้ม
“สองร้อยสี่สิบสามปี หากเป็นเช่นที่เจ้าว่า เราคงเกิดใหม่หลายคราแล้ว กว่าที่แคว้นอันจะล่มสลาย” หมิงซีเอ่ย เย้าสตรีตัวน้อยถึงถ้อยคำที่นางบอก ว่าแคว้นอันอยู่ได้ถึงหกร้อยปี ก่อนจะล่มสลายไป
“เวลาในยุคปัจจุบันกับโบราณมันเท่ากันสินะ แบบนี้เราก็ตามหาคุณแม่ได้น่ะสิ หวังว่าแม่จะยังมีชีวิตอยู่นะคะ” นึกกับตนเองถึงเรื่องเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน
“แล้วเมืองตูไปทางไหนเหรอ” ถามถึงที่สุดท้ายก่อนจาก ซึ่งมันอยู่ติดกับชายแดนและมีสงครามในช่วงนั้น
ซือซือหวังว่าสงครามสงบแล้วทุกอย่างจะเหมือนเดิม ไม่แน่ว่าคนเป็นแม่อาจจะรอดและกลับไปรอฟังข่าวตนอยู่ที่เมืองนี้ก็เป็นได้ คิดถึงตรงนี้ใจดวงน้อยก็เต้นรัว
“ทิศใต้ ต้องเดินทางด้วยม้าห้าคืน ถ้าเจ้าไม่หยุดพักเลย” หมิงซีบอกตามจริง ทำเอาคนฟังถึงกับหน้าเสีย
“ห้าคืน และต้องใช้ม้าด้วย แล้วจะไปหาม้าจากที่ไหนกันล่ะเนี่ยะ แต่ถ้าให้เราเดินไปเดือนหนึ่งจะถึงหรือเปล่า” บ่นพึมพำอยู่เช่นนั้น ทำเอาทั้งสี่อดเอ็นดูไม่ได้
“หากเจ้าไม่รังเกียจ เข้าเมืองไปกับพวกเราก่อนก็ได้ ประเดี๋ยวข้าจะให้คนในหน่วยหาม้าให้ ถือว่าเป็นการตอบแทนน้ำใจที่เจ้าช่วยพวกเราไว้ก็แล้วกัน” ใต้เท้าหนุ่มเอ่ยกับสตรีตรงหน้า ซึ่งคิดว่านางคงอายุน้อยกว่าตนหลายปี