4. เรื่องจริงเหมือนนิทาน
หญิงสาววัยยี่สิบสามเผยยิ้ม คนตรงหน้าคงคิดว่าเธอยังเด็กอยู่แน่ ๆ ดูจากคำพูดของเขาที่เรียกขาน ทว่าความจริงซือซืออายุยี่สิบสามแล้ว และหน้าตางดงามมากผิวพรรณภายใต้อาภรณ์แขนยาวนี้ก็ผุดผ่องยิ่งนัก ดวงตานางก็กลมโต จมูกเรียวโด่ง ริมฝีปากอิ่มสีแดงเรื่อโดยไม่ต้องแต่งแต้มใครได้เห็นเป็นต้องถูกใจ
ทว่าทุกอย่างที่มีบนใบหน้านี้มันถูกปิดบังไว้ภายใต้ผ้าโพกหน้าสีขี้ม้า เพราะซือซือเคยชินกับการอำพรางตัว และอยู่เช่นนี้มาตั้งแต่สามคืนก่อน ถ้านางอาบน้ำล้างเนื้อตัวดีดี คงได้เห็นใบหน้าหวานละมุน จนชายหนุ่มทั้งสี่อดเกี้ยวนางไม่ได้เป็นแน่ ทว่ายามนี้นางมอมแมมและมีกลิ่นสาบที่ไม่น่าเข้าใกล้เท่าใดนัก
“ก็ดี งั้นรอให้พวกนาย เอ่อ พวกเจ้าอาการดีขึ้น เราค่อยเดินทางเข้าเมืองแล้วกัน” เมื่อเห็นว่าเป็นทางออกที่ดี ซือซือจึงรับคำ หากมีม้าก็น่าจะดีกว่าเดินไปเรื่อยๆ
ครึ่งวันผ่านไป คนของหน่วยมังกรก็มาพบพวกเขา คนเจ็บจึงได้นั่งรถลากกลับ เพราะจางเจาและหมิงซีเดินไม่ไหว ซือซือจึงได้รับอนิสงค์ไปด้วย ทว่าสายตาของผู้มาใหม่ต่างก็มองสำรวจนางจนเริ่มทำตัวไม่ถูก
“เฮ้อ! มองอะไรนักหนา คนนะไม่ใช่สัตว์ประหลาด” บ่นให้บรรดาหนุ่มๆ ที่เอาแต่จ้องตน และมันก็เป็นเช่นนี้จนกระทั่งถึงโรงเตี๊ยมก่อนเข้าเมือง ซึ่งทั้งหมดได้แวะพักเพราะยังต้องเดินทางอีกนับชั่วยาม
“เจ้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ หากยังเดินทางด้วยอาภรณ์เช่นนี้ ชาวเมืองคงแตกตื่นและคิดว่าเจ้าเป็นพรรคพวกกับกลุ่มโจรเหล่านั้นเป็นแน่” หมิงซีเอ่ยบอกสตรีตัวน้อย ก่อนที่เจิ้งเทาจะส่งห่อผ้าให้
“ขอบคุณนะ” เอ่ยแล้วก็รับของมา
“อีกอย่างที่เจ้าควรจำไว้ ในเมื่อเจ้าบอกว่ามาจากยุคอื่น เจ้าควรพูดจาและทำตัวให้กลมกลืนกับผู้อื่น ไม่เช่นนั้นผู้คนจะสงสัยเอาได้” หมิงซีเตือนอย่างหวังดี
“อืม ฉันจะพยายาม” ตอบรับโดยที่นางก็ยังใช้คำจากยุคตนเอง ก็ใครมันจะไปปรับเปลี่ยนได้รวดเร็วขนาดนั้น ถึงแม้ว่าตอนเด็กจะอยู่ในยุคนี้ก็เถอะ ทว่าพอได้อยู่ในยุคที่ต้องเรียนรู้มากมาย ภายในหัวมันก็ลืมสิ้นแล้วคำพูดที่เคยใช้แต่ก่อน ยามนี้นางคงต้องหัดใหม่อีกรอบ ไม่เช่นนั้นต้องกลายเป็นตัวประหลาดในสายตาคนยุคนี้เป็นแน่
หนึ่งเค่อต่อมา ผู้ที่ขึ้นไปอาบก็แต่งกายใหม่ด้วยอาภรณ์ของคนยุคนี้ เป็นแบบชาวบ้านตามนอกเมืองซึ่งดูเรียบง่าย ไม่ได้สวยหรูเช่นคุณหนูสูงศักดิ์ ที่มีเครื่องประดับมากมาย ถึงกระนั้นอาภรณ์เรียบง่ายก็ยังไม่อาจปิดบังความงามที่มีได้ พออาบน้ำชำระล้างร่างกายสะอาดหมดจด ใบหน้าหวานละมุนก็ปรากฏออกมาให้เห็น จนบุรุษที่นั่งรออยู่ด้านล่างถึงกับตะลึงงัน
จ้องมองนางตั้งแต่บันไดขั้นบน จนลงมาสุดที่ขั้นล่าง คิ้วสวยผูกกันเป็นปมทันที เมื่อเห็นท่าทีของแต่ละคน
“พอไม่อาบน้ำก็มองว่าประหลาด พออาบแล้วยังจะมองอยู่อีก” บ่นให้กับคนที่มองอยู่ ในมือก็ถือผ้าขนหนูที่พกติดกระเป๋าเช็ดตัว เช็ดผมที่ยังเปียกอยู่
ยามนี้หากเปรียบเป็นยุคปัจจุบัน บุรุษนับสิบที่นั่งอยู่ในโรงเตี๊ยมคงบอกว่า ซือซือเซ็กซี่เป็นแน่ ทว่านี่มันคือยุคโบราณ การจะมองสตรีทำเรื่องเช่นนี้มันเป็นการไม่สมควร ทุกคนจึงได้แต่หันไปทางอื่น พร้อมกับใบหูที่ขึ้นสีแดงเรื่อ
“อะไรกัน ไม่เคยเห็นคนเช็ดผมหรือไง” บ่นอีกครั้งก่อนจะมองอาหารบนโต๊ะ ริมฝีปากอิ่มเผยยิ้มทันที
“เจ้าแต่งตัวไม่เรียบร้อย” หมิงซีท้วงเบาๆ
“ก็ใส่ไม่เป็น ไม่รู้เขาใส่กันยังไง” ตอบตามตรง เพราะมันไม่เหมือนเสื้อผ้าในยุคปัจจุบัน
“เจิ้งเทา ให้ภรรยาเฒ่าแก่มาจัดการให้นางที” ใต้เท้าหนุ่มเอ่ยกับคนสนิท ซึ่งเจิ้งเทาก็รีบทำตาม
ไม่นานนักภรรยาเจ้าของโรงเตี๊ยมก็พาสตรีตัวน้อยเข้าไปด้านหลัง ก่อนจะกลับออกมาอีกครั้ง ซึ่งครานี้เรียบร้อยกว่าเมื่อครู่ ผมนางก็แห้งแล้วและมัดขึ้นเปิดเผยใบหน้างาม ทำเอาบุรุษที่นั่งทานอาหารพากันมองเป็นตาเดียว
“แม่นางน้อยนี่หน้าตางดงามราวกับเทพธิดาเลยนะเจ้าคะใต้เท้า ผิวพรรณก็ผุดผ่องสว่างน่ามอง” ภรรยาเฒ่าแก่เอ่ยชมไม่หยุด เพราะนางได้เห็นรูปร่างของซือซือแล้ว
“อืม” คนไม่เคยชมใครได้แต่ตอบสั้นๆ ทว่าในใจหมิงซีก็อยากตอบมากกว่านี้ เพียงแต่เขาไม่รู้จะพูดอันใด
“ฉัน…อ๊ะ เอ่อ ข้าไม่ใช่แม่นางน้อย ข้าอายุยี่สิบสามแล้ว ข้าวนี่กินได้หรือยัง หิว” บอกตามตรง เพราะอยู่ในป่ากินแต่ผลไม้ ไม่ก็น้ำ นานๆ จะได้กินเนื้อสัตว์ที่พอล่ามาได้
“เจ้าอายุยี่สิบสามแล้ว ไยหน้าตาถึงดูเด็กนัก” จางเจาร้องถาม และเป็นสิ่งที่สหายและผู้เป็นนายต่างก็อยากรู้
“เรื่องพวกนี้มันเกี่ยวกับพวกเจ้าตรงไหน ข้าหิว จะกินได้หรือยัง” คนตัวเล็กเริ่มส่งเสียงไม่พอใจ
เพราะเริ่มโมโหหิวแล้ว เหนื่อยจากการเดินทางทั้งวันอีก จะให้มานั่งตอบคำถามไร้สาระเช่นนี้ใครจะอยู่เฉยได้
“เช่นนั้นก็กินเถอะ” หมิงซีเอ่ยกับนาง ก่อนที่ทั้งหมดจะเริ่มกินกันเงียบๆ เพราะสีหน้าของสตรีตัวน้อยดูไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย จะโทษนางก็ไม่ได้ เพราะพวกเขาก็ช่างสงสัยดีเหลือเกิน ตลอดทางหากคนหนึ่งไม่ถาม อีกคนก็ชวนคุย เรื่องราวก็ไม่พ้นยุคที่รุ่งเรืองกว่า
ผ่านไปหนึ่งเค่อ [15นาที] อาหารบนจานก็หมดเกลี้ยง แม้จะไม่ค่อยถูกปากเพราะรสชาติไม่ค่อยจัดจ้านเช่นยุคปัจจุบัน ทว่ามันก็ดีกว่าต้องกินแต่ผลไม้
“ช่วยจัดการหาม้าให้ข้าได้หรือไม่ แล้วก็แผนที่ด้วย ข้าไม่รู้ทาง” ซือซือหันมาถามผู้ที่น่าจะเป็นหัวหน้าหน่วยอย่างหมิงซี เมื่อทุกอย่างถูกเก็บไปหมดแล้ว เหลือเพียงกาน้ำชาที่ตั้งอยู่ ซึ่งนางก็รินดื่มจนเกือบหมด
“เจ้าจะไปเลยหรือ” เขาถามเมื่อได้ยินเช่นนี้ ภายในใจวูบไหวอยู่ไม่น้อย ไม่คิดว่าผู้มีพระคุณจะจากไปเร็วนัก
“ข้าจะไปตามหาคน” บอกเพียงเท่านั้น แต่ดูเหมือนบุรุษทั้งสี่ยังอยากจะรู้อีก ทว่าก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยถาม เพราะสตรีตัวน้อยดูเหมือนไม่อยากบอกพวกเขา
“หาคนหรือ ใครกัน ไหนเจ้าบอกว่าไม่ใช่คนยุคนี้ เหตุใดถึงมีคนที่รู้จักได้ล่ะ” จินหานผู้ที่มักตั้งประเด็นข้อสงสัยเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง ทว่ามันก็ไม่ใช่แค่เขาที่อยากรู้
ซือซือมองหน้าอีกฝ่ายและคนที่นั่งรายล้อมอีกสามคน เสียงถอนหายใจดังขึ้นก่อนจะเอ่ยเรื่องของตนในที่สุด
“อันที่จริง ข้าก็เป็นคนยุคนี้ แต่สงครามเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน ก่อให้เกิดเหตุไม่คาดฝันกับชีวิตข้า ยามนั้นข้ากับท่านแม่หนีลงเรือเพื่ออพยพจากภัยสงคราม แต่ว่าเรือเกิดล่มในช่วงที่มีสุริยุปราคาเต็มดวง ข้าว่ายน้ำหนีตายจนขึ้นฝั่งมาได้ แต่! ฝั่งที่ขึ้นนั้นกลับกลายเป็นอีกยุคที่ข้าไม่รู้จักและคุ้นเคย สุดท้ายข้าก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นจนกระทั่งเมื่อสิบเอ็ดวันก่อนที่เกิดสุริยคราสขึ้น ข้ากับกลุ่มโจรนั่นก็ข้ามมิติมาในยุคนี้อีกรอบ แล้วก็เจอพวกเจ้านี่แหละ”
ดวงตาสวยมองบุรุษตรงหน้าเรียงคน เพื่อดูว่าพวกเขาจะว่าอย่างไร เพราะสิ่งที่ตนเอ่ยมันไม่น่าเป็นไปได้เลย
“สิบเอ็ดวันก่อนแคว้นเราก็เกิดสุริยคราส ยามนั้นพวกข้าอยู่ที่เมืองหลวง พึ่งมาที่เมืองนี้เมื่อสี่วันก่อน เพราะมีรายงานถึงกลุ่มโจรที่ออกปล้นฆ่าคนของสำนักคุ้มภัยและคนของทางการ หากเป็นเช่นที่เจ้าว่าคนเหล่านั้นเป็นคนไม่ดีใช่หรือไม่” หมิงซีเอ่ยกับสตรีข้างกาย สายตาเขาก็เอาแต่สำรวจใบหน้างดงามนี้ โดยเฉพาะปากอิ่มที่มันไม่ได้แต่งแต้มสิ่งใดเลย ทว่ากลับมีสีแดงเรื่อชวนมองยิ่งนัก
“เช่นนั้นผู้ที่เจ้าจะตามหาคือครอบครัวกระนั้นหรือ” เป็นเจิ้งเทาที่เอ่ยถามถึงสิ่งที่นางกล่าว ใบหน้าหวานเศร้าหม่นลงในทันที
ปล. นางเอกหลุดมิติตอนแรกผ่านสุริยุปราคานะคะ
รอบสองที่กลับมาคือผ่านตอนเกิดสุริยคราส
ขอบคุณที่กดเก็บเข้าชั้นนะคะ เรื่องนี้มีทั้งหมด 66 ตอน