5. ไม่เป็นดั่งหวัง
“ข้าจะไปตามหาท่านแม่ นางอาจจะกลับไปรอข้าที่เมืองตู” บอกเสียงเศร้า เกรงว่าความคิดตนจะไม่เป็นไปอย่างที่หวัง เพราะมารดาอาจจะเสียไปตั้งแต่วันนั้น เหล่าบุรุษที่นั่งอยู่ต่างก็เข้าใจท่าทีของสตรีตัวน้อย จึงได้แต่นิ่งเงียบไม่เอ่ยถามสิ่งใด เป็นหมิงซีที่เอ่ยสั่งคนของตน
“เจิ้งเทา เจ้าจัดการให้นางที” สั่งเสร็จก็มองใบหน้างาม ซึ่งยามนี้มันเศร้าหม่นอย่างเห็นได้ชัด ทว่าเขาก็ไม่รู้จะปลอบเช่นไร หากเป็นจริงเช่นที่นางเอ่ย สตรีนางนี้คงมีชีวิตที่น่าสงสารมาก ต้องพลัดพรากจากบ้านเกิดไปตั้งแต่เด็ก ครอบครัวก็ไม่รู้อยู่หรือตาย ซือซือยกยิ้มก่อนจะเอ่ย
“ยาที่ให้ไว้ กินครั้งละหนึ่งเม็ดก็น่าจะพอ มันมีเอาไว้รักษาพิษไข้และแก้ปวด ส่วนเม็ดที่มีสองสีเป็นยาแก้อักเสบ กินเวลามีบาดแผล รักษาอาการไข้ไม่ได้ แยกแยะให้ถูกล่ะ” เอ่ยบอกกับทั้งสี่ที่นั่งอยู่
“ข้ายังไม่รู้นามของเจ้าเลย เผื่อวันหน้าได้เจอกันอีก” หมิงซีรีบเอ่ยกับนาง อย่างน้อยรู้นามไว้ก็ยังดี
“ข้าชื่อ ซือซือ” บอกเพียงเท่านั้นก็หันมาสนใจสัมภาระของตน ก่อนจะสะพายมันใส่หลัง
“ย่ามของเจ้าใบใหญ่ยิ่งนัก” จินหานเอ่ยขึ้นบ้าง
“เป็นย่ามที่มีไว้ใส่อุปกรณ์การแพทย์ และของใช้ส่วนตัวข้า โชคดีที่มันติดมาด้วยตอนที่ข้ามมิติ”
ตอนนั้นซือซือกำลังตามจับคนร้ายพร้อมกับเพื่อนทหารอีกหกคนซึ่งแยกย้ายกัน จนลืมไปเลยว่าตนกำลังรอปรากฏการณ์ของสุริยคราสอยู่ พอมันเกิดขึ้นร่างเล็กก็หลุดเข้ามาในยุคโบราณอีกครั้งโดยไม่ทันตั้งตัว ยังดีที่ได้อุปกรณ์การแพทย์ติดมาด้วย
ทว่ามันไม่ได้ส่งนางมาแค่คนเดียว แต่ยังมีคนร้ายทั้งห้าหลุดเข้ามาก่อน และสร้างความเดือดร้อนให้กับคนยุคนี้ น่าแปลกที่เพื่อนพ้องซึ่งอยู่โดยรอบบริเวณนั้นไม่มีใครหลุดเข้ามาด้วย ไม่เช่นนั้นซือซือคงไม่หลงอยู่ในป่าตั้งหลายวัน
“ข้ามมิติหรือ อย่างไร” หมิงซีถามอีกครั้ง
“ก็คงเหมือนการเปิดประตูล่ะมั้ง เช่นเจ้านอนอยู่ในห้อง แต่พอเปิดออกมามันกลับไม่ใช่สวนในบ้าน แต่เป็นทะเลหรือป่าประมาณนั่นแหละ จะอธิบายยังไงล่ะเนี่ยะ”
“ช่างเถอะ เจ้าว่าอย่างไรก็อย่างนั้น” มาดคนเหี้ยมโหดเด็ดขาดไม่รู้หายไปไหน ยามที่คนตัวเล็กเอ่ยอันใดหมิงซีก็คล้อยตามตลอด เป็นที่น่าแปลกใจของคนสนิททั้งสาม หลังจากพูดคุยกันสักพัก ซือซือก็ขอตัวเมื่อมีคนนำม้ามา
“เจ้าขี่เป็นใช่หรือไม่” ถามด้วยความเป็นห่วง เพราะเห็นนางตัวเล็ก ท่าทางอ้อนแอ้นนัก ไม่น่าจะบังคับม้าได้ ทว่าสตรีตัวน้อยไม่ได้ตอบ นางเหยียบที่พักเท้าได้ก็ดีดตัวขึ้นไปนั่งคร่อม ทำเอาบุรุษทั้งหลายต่างก็มองกันตาค้าง
“นี่คือแผนที่เดินทาง เจ้าเก็บไว้ และนี่เงินที่ใช้ในยุคนี้ หากมีปัญหาใด ไปหาข้าที่หน่วยมังกรทองในเมืองหลวง ข้าคงอยู่ที่นี่อีกไม่นาน ต้องออกตามล่าคนเหล่านั้นอีก ข้ามีนามว่ากู้หมิงซี” ใต้เท้าหนุ่มยืนส่งสตรีตัวน้อย โดยมีคนสนิทประคองเอาไว้ เพราะยังมีอาการปวดที่บาดแผล
“เจ้าคือคนสกุลกู้งั้นหรือ เช่นนั้นก็เป็นญาติกับแม่ทัพเฟิงซีน่ะสิ” ถามถึงบุรุษที่เลื่องชื่อในสนามรบ เคยอ่านเจอว่าคนผู้นี้นำพาอิสระภาพมาให้แคว้นอัน ไม่คิดว่าตนจะได้มาเจอคนในสกุลนี้ด้วย
“กู้เฟิงซีคือพี่ชายข้า” บอกอย่างภูมิใจ คนฟังจึงได้แต่ยิ้มแหย นึกไม่ถึงว่าตนจะได้เจอกับน้องชายของวีรบุรุษแคว้นอัน คิดว่าอีกฝ่ายเป็นเครือญาติทั่วไปเสียอีก
“เจ้ารักษาตัวด้วย นี่เป็นป้ายประจำตัวของข้า เก็บไว้ ไม่ว่าเจ้าจะไปเมืองใดในแคว้นอัน แค่ยื่นมันให้หน่วยมังกรทองในเมืองนั้นๆ เจ้าจะได้รับการดูแลอย่างดี” เพราะอดห่วงไม่ได้ หมิงซีจึงมอบป้ายทองให้นาง
“โห! ทองจริงไหมเนี่ยะ” มือเล็กรับมาพลิกดู หากไม่ใช่เพราะตนพึ่งกลับมายังยุคนี้ ซือซือไม่รับของพวกนี้แน่มันมีค่ามากเกินไป ทว่าการเดินทางก็ไม่รู้จะออกมารูปแบบไหน จำต้องมีข้าวของเหล่านี้เตรียมไว้ก่อน
“เอาไว้ข้าหาคนเจอ จะแวะไปเที่ยวเล่นกับพวกเจ้าที่เมืองหลวงแล้วกัน แล้วอย่าลืมที่ข้าบอกล่ะ หาอาวุธสำหรับดักซุ่มหรือยิงระยะไกล ทำเช่นนี้ถึงจะกำจัดคนพวกนั้นได้ ไม่ก็ใช้วิธีวางยา ไม่งั้นเข้าไม่ถึงตัวพวกมันแน่ เอาล่ะขอบใจนะน้องชาย พี่สาวคนนี้ขอตัวก่อน”
เอ่ยจบนางก็ใช้เท้ากระทบม้าจนมันออกวิ่งในทันที ทำเอาหมิงซีถึงกับตาโต ไม่ใช่เพราะเห็นนางบังคับม้าเป็น ทว่าเป็นเพราะนางเรียกเขาว่าน้องชายต่างหาก
“นางไปแล้วขอรับใต้เท้า” จางเจาเอ่ยบอกเสียงหงอย อุตส่าห์มีสตรีงามอยู่ในขบวนด้วยแท้ๆ ทว่ายังไม่ทันไรนางก็จากไปเสียแล้ว จะหาหญิงงามเช่นนี้ได้จากที่ไหนอีก
“น่าเสียดายนะขอรับ” เจิ้งเทาเอ่ยบ้าง
“หากมีวาสนาเราคงได้พบกันอีก” ผู้เป็นนายเอ่ยเสียงเบามิต่างกัน ก่อนจะสั่งคนของตนออกเดินทางเข้าเมือง เพราะต้องวางแผนจับคนร้ายที่หนีรอดไปอีก คงต้องทำตามที่ซือซือบอกกล่าวเอาไว้จึงจะทำการได้สำเร็จ
สี่วันผ่านไป
ซือซือยังไม่ถึงเมืองตู เพราะไม่คุ้นชินเส้นทางนั่นแหละ แม้จะมีแผนที่ให้ดูตลอดก็เถอะ แต่มันระบุเพียงเส้นทางหลัก ซึ่งตอนนางมามันมีแยกมากมาย จึงไม่รู้ว่าเส้นไหนเป็นเส้นไหน เพราะคนทำแผนที่ไม่ได้เขียนไว้เลย
“เฮ้อ ชักจะสงสารตัวเองแล้วสิ” บ่นพึมพำอยู่คนเดียว ตอนนี้ก็ค่ำแล้ว จึงจำต้องหาที่พัก ซึ่งคืนนี้ยังดีได้เจอที่พักม้า ไม่ต้องนอนข้างทางเหมือนสามคืนก่อน
“เอาไงดี แถบนี้ก็หนาวซะด้วยสิ ขอพักด้วยสักคืนเขาคงไม่ว่าหรอกมั้ง” พึมพำกับตนเองแล้วก็จูงม้าเดินเข้าไป ที่นี่เป็นแหล่งพักม้าขนาดใหญ่ มีหญ้าเตรียมพร้อม จนดูเหมือนไม่ใช่จุดที่ชาวบ้านทั่วไปจะใช้กัน
สายตาของบุรุษร่างสูงนับสิบจ้องมาที่สตรีตัวน้อย บางคนก็เผยยิ้ม ทว่าบางคนสายตาก็สื่อไปทางลามกอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งคนที่มีอาวุธร้ายติดตัวไหนเลยจะกลัว หากกล้าเข้ามายุ่งวุ่นวาย ‘แม่จะยิงหมดแม็กเชียว’ สิ่งที่คิดอยู่ในหัวของซือซือในยามนี้
“แม่นางเดินทางคนเดียวกระนั้นหรือ” คนงานชายซึ่งประจำที่นี่เอ่ยขึ้น เขารับบังเหียนมาจากนางเพื่อนำไปผูก
“ใช่ มีที่พักหรือเปล่า” ตอบอีกฝ่ายแล้วก็ถามกลับด้วย ทว่าสายตานางมองไปยังร่างสูงของบุรุษผู้หนึ่ง
เขาดูสง่ามาก ผมรวบตึงม้วนอยู่ด้านบน มีที่ครอบพร้อมกับปิ่นปักเอาไว้ หากจะบอกว่าเขาดูทรงเหมือนแม่ทัพหรือท่านอ๋องในซีรี่ย์ก็ไม่ผิดนัก
“คนยุคโบราณนี่หล่อแบบไม่ต้องศัลจริงๆ หล่อมากพ่อคุณเอ๊ย” มัวแต่ชื่นชมจนไม่ได้ฟังคนงานไต่ถาม
“มีกระไรหรือแม่นาง ข้าจะบอกว่าห้องเราเต็มแล้ว ท่านคงต้องหาที่นอนแถวนี้เอาเองนะ”
ใบหน้าหวานหันขวับกลับมาทันที “เอ๋! ไม่มีห้องแล้วฉันจะนอนยังไง เอ่อ ข้าจะนอนได้เยี่ยงไร ข้าเป็นสตรีนะ” ร้องถามเสียงหลง เพราะที่นี่ก็ใหญ่โตพอดู น่าจะมีถึงห้าห้อง แต่ก็นั่นแหละ ผู้ที่เดินขวักไขว่ยามนี้ก็มีเป็นสิบแล้ว
“เรามีแค่อาหารสำหรับม้าและคน ส่วนที่พักไม่มี” คนงานยังย้ำคำเดิม ก่อนจะเดินนำเข้าไปด้านใน
สายตาของแต่ละคนจ้องมาที่สตรีหน้าตาหมดจดทันที ยกเว้นคนที่นางชื่นชมเมื่อครู่ ยามนี้เขานั่งจิบชาไม่สนอันใด และยังนั่งอยู่ผู้เดียวด้วย นอกนั้นก็มีบุรุษนั่งเต็มหมด คนมาใหม่จึงไม่รอช้ารีบเดินไปหย่อนก้นลงทันที ซึ่งมันก็ทำให้อีกสองโต๊ะ ซึ่งมีบุรุษรูปร่างพอกันนั่งอยู่ ตั้งท่าจะลุกมาจัดการกับคนที่บังอาจล่วงเกินนายเขา