บท
ตั้งค่า

6.ต่อปากต่อคำ

ทว่า!มือเรียวยกขึ้นส่งสัญญาณห้ามปราม ซึ่งซือซือก็เห็นแล้วจึงส่งยิ้มหวานให้เขาเป็นการขอบคุณ ก่อนจะเทชาดื่มโดยไม่สนใจสายตาผู้ใด เพราะคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหา ที่นี่ไม่ใช่ที่ส่วนบุคคลเสียหน่อย

“เอ่อ แม่นางเจ้าย้ายไปนั่งทางนั้นดีหรือไม่” เสี่ยวเอ้อผู้ดูแลด้านในเอ่ยเสียงเบา เพราะรู้ดีว่าคนที่นั่งอยู่ก่อนเป็นใคร ขนาดผู้ติดตามทั้งห้ายังไม่มานั่งด้วยเลย แล้วสตรีผู้นี้ไยถึงอาจหาญนักไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นใครหรือ

คิ้วสวยขมวดเป็นปม เพราะด้านที่เสี่ยวเอ้อบอกมันก็มีพวกชายหนุ่มกลัดมันนั่งอยู่เต็มโต๊ะ ดูสายตาของพวกมันเถอะ มองนางราวกับเหยื่อก็ไม่ปาน

“จะให้ข้าไปนั่งบนคอคนพวกนั้นหรือ ก็เห็นอยู่ว่ามันไม่ว่าง แล้วตรงนี้มันเป็นอะไร ทำไมนั่งไม่ได้” ถามเสี่ยวเอ้อ ทว่าสายตานางกลับจ้องผู้ที่ยกจอกชาขึ้นดื่ม

“นี่พี่ ตรงนี้ว่าง ข้านั่งด้วยได้หรือไม่” ถามคนที่นั่งก่อน ซึ่งครานี้ชายหนุ่มเงยหน้ามองนางเป็นคราแรก เพราะก่อนนั้นไม่ใส่ใจ เขาชะงักเล็กน้อยแล้วเปลี่ยนเป็นปกติทันที

“ข้าหิวแล้วอย่าเรื่องมาก” เสียงทุ้มเย็นบอกเพียงเท่านั้น เสี่ยวเอ้อก็รีบโค้งคำนับแล้วกลับไปยังห้องครัว ผู้มาใหม่ถึงกับผูกคิ้วมองตามอย่างฉงน

“เอ้า! แล้วทำไมไม่รอให้สั่งก่อน ฉันก็หิวเหมือนกันนะ” บ่นพึมพำอีกรอบ ก่อนจะหันมาสนใจหนุ่มหล่อตรงหน้า

“นี่พี่ชาย พี่เป็นขุนนางใหญ่เหรอ หรือเป็นพวกผู้มีอิทธิพล เอ่อ ข้าหมายถึงคนที่มีอำนาจอ่ะ ใช่ไหม ไม่งั้นคนอื่นคงไม่กลัวพี่ขนาดนี้หรอกใช่หรือเปล่า” ถามเพื่อสร้างมิตร

ซึ่งมันเป็นงานถนัดของซือซือก็ว่าได้ นางต้องใช้มันเวลาสืบข่าวเรื่องการค้ายาของพวกมาเฟียทั้งหลาย และมักจะได้ผลทุกครั้งเพราะหน้าตาจิ้มลิ้มนี่แหละ ทว่ากับคนตรงหน้าดูเหมือนจะยากเสียแล้ว

“ข้าไม่มีน้องสาว ถ้าอยากนั่งตรงนี้ก็หุบปากเสีย” เสียงเย็นเปล่งออกมาจนคนฟังถึงกับขนลุก

‘อืม ปล่อยเขานั่งเก๊กไปน่าจะดีกว่า' นึกในใจ พร้อมกับนั่งนิ่ง ทว่านิ้วขาวก็ยังเคาะลงบนพื้นโต๊ะ เพราะหิวมากนั่นเอง ก่อนจะตาโตเมื่อเห็นอาหารถูกยกมาวาง

“ข้าเอาแบบนี้นะ” รีบบอกเสี่ยวเอ้อทันที ก่อนจะนั่งด้วยท่าทีสงบเสงี่ยมพร้อมกับยิ้มแฉ่ง ทว่าคำตอบนั้น

“ไม่มีแล้วขอรับ เหลือแค่ผัดผัก” ประโยคที่ได้ยินเหมือนฟ้าผ่าลงกลางหัวไม่มีผิด

“งั้นเอาผัดผักก็ได้” บอกเสียงอ่อยอย่างหมดแรง

ก่อนที่ใบหน้านั้นจะซบลงบนพื้นโต๊ะ ทอดสายตาออกไปหน้าทางเข้า ซึ่งมองเห็นคนเกือบยี่สิบกำลังเดินเข้ามาพร้อมอาวุธ ซือซือเหยียดกายลุกขึ้นนั่งตัวตรง คิ้วสวยผูกกันเป็นปม จนคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามอดฉงนไม่ได้

เขาจึงมองตามสายตานาง ซึ่งเป็นจังหวะที่ลูกศรพุ่งมาพอดี เขาเบี่ยงตัวหลบได้ทัน ก่อนที่กลุ่มธนูจะพุ่งเข้ามาอีก ครานี้โต๊ะอาหารถูกพลิกตะแคงใช้เป็นที่กำบังทันที

“อะไรอีกล่ะเนื่ยะ ข้าวยังไม่ได้กินเลยนะ” คนหิวร้องบ่นทันที ทำเอาบุรุษตัวโตข้างกายถึงกับถอนหายใจ ไม่คิดว่าหน้าสิวหน้าขวานนางจะยังห่วงกินอีก เขาหยิบซาลาเปาที่ยังคาอยู่ในถ้วย แม้มันจะถูกเทกระจาดลงพื้นส่งให้

“กินแล้วเงียบปากเสีย” ตำหนิก่อนจะหันไปส่งสัญญาณให้คนของตนซึ่งอยู่ใกล้หน้าต่าง ซือซือนั่งกินซาลาเปาโดยไม่ใส่ใจลูกศรที่กำลังพุ่งเข้ามาด้านในเลย เพราะมีโต๊ะที่คนตัวโตพลิกลงมาใช้เป็นที่กำบัง สายตามองไปที่บุรุษร่างสูงซึ่งอยู่คนละฝั่งกำลังปีนหน้าต่าง

'คนสมัยนี้ต่อสู้กันต้องใช้กลยุทธ์สินะ แล้วไปคนเดียวแบบนี้จะไหวเหรอ' นึกในใจพร้อมกับรอดู เพราะไม่รู้ฝ่ายไหนดี ฝ่ายไหนร้าย ให้ยื่นมือเข้าไปช่วยเลยคงทำไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องรอดูสถานการณ์ไปก่อน

“เจ้าควรหลบออกไปจากที่นี่เสีย พวกมันเห็นแล้วว่าเจ้านั่งอยู่กับข้า คงคิดว่าเป็นคนสำคัญ เพราะฉะนั้นยามนี้ชีวิตเจ้าอยู่ในอันตราย” คนที่เคยพูดแค่ประโยคสั้นๆ ร่ายยาวบอกเหตุผล เพราะเขาไม่อยากให้ใครมาตายด้วย

“หา! นี่ฉัน เอ้ย ข้าเข้าไปพัวพันธ์ด้วยหรือ แค่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกันเนี่ยะนะ” ถามกลับเสียงดัง ทว่าอีกฝ่ายไม่ได้หันมาสนใจ ร่างสูงขยับลุกขึ้นไปยังมุมประตู อีกฝั่งก็มีคนของเขาแอบซุ่มรอโอกาสอยู่เช่นกัน

ส่วนชายฉกรรจ์ที่เอาแต่จ้องนางตอนเข้ามา ต่างก็พากันกระโดดหน้าต่างหนีออกไปแล้ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารอดกันหรือเปล่า เพราะดูเหมือนคนด้านนอกจะสั่งให้ล้อมที่พักแห่งนี้ตั้งแต่มาถึง

“แย่ล่ะสิ จะได้เจอแม่ไหมแบบนี้” พึมพำอยู่เพียงครู่ เสียงด้านนอกก็ดังขึ้น ดวงตาสวยจึงแอบส่องดู

“เฟิงซี คนของเจ้าอยู่ในมือข้าแล้ว หากเจ้าไม่ออกมาข้าจะตัดหัวมันเสีย” เสียงขู่ดังขึ้น พร้อมกับเสียงหัวเราะชอบใจของพวกมัน

ทว่า! นามที่อีกฝ่ายเรียกขาน มันทำให้ซือซืออดสงสัยไม่ได้รีบมองไปยังผู้ที่ถูกเรียก เกรงว่าเขาจะเป็นกู้เฟิงซี

“คงไม่ใช่มั้ง อาจเป็นชื่อซ้ำกันก็ได้ เขาเป็นแม่ทัพไม่ใช่เหรอ ไม่ได้อยู่ประจำการที่ค่ายหรือไง” ตั้งคำถามกับตนเองอยู่เช่นนั้น ก่อนจะพิจารณาใบหน้าเขาอีกรอบ

“มีส่วนคล้ายใต้เท้าผู้นั้นอยู่เหมือนกัน เอาไงดีล่ะเรา ถ้าช่วยก็ต้องมีคนเห็นปืนนี้อีกแน่ แต่ถ้าไม่ช่วยวิธีนี้จะช่วยแบบไหนล่ะ โอ๊ย! จะบ้าตายรายวัน” เพราะการที่ได้หลุดเข้ามาในยุคนี้อีกครั้ง มันไม่ได้สวยหรูเรียบง่ายเช่นที่คิดแม้แต่น้อย มันยิ่งกว่าการผจญภัยในเกมส์เสียอีก

“นายท่านไม่ต้องห่วงข้าน้อยขอรับ อย่าให้มันข่มขู่ได้” ชายหนุ่มที่ถูกจับเป็นตัวประกันตะโกนบอก ทำให้คนร้ายอดไม่ได้ใช้มีดแทงเข้าที่ไหล่เขาทันที เพื่อกดดันผู้ที่หลบซ่อน และเฟิงซีไม่อาจทนดูคนสนิทเจ็บตัวได้จริงๆ เท้าใหญ่กำลังจะก้าวออกไป ทว่ากลับมีมือเล็กมารั้งเอาไว้เสียก่อน พร้อมกับดันเขาให้หลบเข้าไปอีก

“ข้าจัดการเอง” บอกก่อนจะเล็งปืนไปยังชายตัวโต ที่กำลังใช้มีดกดแทงลงที่ไหล่ของคนเจ็บทีละนิด

ปัง! ปัง! ปัง! สามนัดติดกัน คนถูกยิงล้มลงกองกับพื้นตาเหลือก เพราะกระสุนเจาะเข้าที่หน้าผากล้มทั้งยืน อีกสองคนที่ยืนประกบข้างก็มีลักษณะไม่ต่างกัน

ครานี้ต่างคนต่างก็หาที่หลบ บางคนก็วิ่งหนีเตลิดไปเพราะตื่นกลัว หัวหน้าพวกเขาได้ตายไปแล้วเพราะอาวุธที่มองไม่เห็น ไหนจะเสียงที่ดังก้องนั่นอีก จะไม่ให้พวกเขาตื่นกลัวได้เช่นไร แม้แต่เฟิงซีเองยังชะงักงัน

คนเจ็บถูกปล่อยทิ้งไว้พร้อมกับคนตายที่สิ้นลมโดยไม่มีเลือดออกเลย นอกจากตรงหน้าผากซึ่งมีบางสิ่งฝังอยู่ คนของเฟิงซีรีบวิ่งออกไปช่วยสหายตน ด้านผู้เป็นนายกำลังจ้องมองสตรีตัวน้อยซึ่งยามนี้เงยหน้าส่งยิ้มให้เขา

“เจ้าเป็นใคร เหตุใดมีอาวุธร้ายเช่นนี้ไว้ครอบครอง” เสียงกดต่ำดังขึ้น เสียงถอนหายใจยาวจึงตามมา เพราะนางต้องตอบคำถามพวกนี้อีกแล้ว

“พวกมันหนีไปหมดแล้ว ขอกินข้าวก่อนได้ไหม แล้วจะตอบ” บอกก่อนจะเดินไปหาเสี่ยวเอ้อที่หลบมุมอยู่

“อาหารข้าได้หรือยัง”

“ขะ ขอรับ พวกนั้นไปหมดแล้วหรือแม่นาง”

“ไปหมดแล้ว เอาอาหารออกมาเถอะ” บอกก่อนจะเดินมายกโต๊ะขึ้น ทว่าลูกศรก็ปักเต็มไปหมดจึงต้องดึงมันออกก่อนที่สายตาจะมองเลยไปยังร่างคนเจ็บ ดูเหมือนแผลจะลึกมากเลือดถึงไหลไม่หยุด เขาถูกหิ้วปีกมานั่งเพื่อปลดอาภรณ์ด้านบนออกเพราะต้องทำการรักษาเบื้องต้น

“อู้ววว…แน่นเชียว ขาวด้วย” เอ่ยพร้อมกับยกมือป้องปาก ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีก “หัวชมพูซะด้วย” ชมเม็ดไตที่แข็งตั้งชัน ทำเอาผู้ที่ยืนอยู่ข้างกายถึงกับพ่นคำออกมาต่อว่า

“ไร้ยางอาย” เอ่ยจบเฟิงซีก็เดินไปหาคนของตน ทิ้งให้ซือซือคว่ำปากใส่แผ่นหลังเขา พร้อมกับมองค้อนไปหนึ่งที 

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel