บท
ตั้งค่า

7. ผู้ชายปากร้าย

คราแรกซือซือคิดว่าจะไม่เดินตามเขามาดูคนเจ็บ ทว่าจะไม่สนใจเลยก็ทำไม่ได้เพราะตนก็เป็นหมอ ใจหนึ่งก็อยากเห็นวิธีรักษาของคนในยุคนี้นั่นแหละ

“ทำเช่นไรดีขอรับนายท่าน จางเหวิ่นไม่อยู่เสียด้วย” อินสือเอ่ยขึ้น เพราะสหายที่รู้วิชาแพทย์ยังเดินทางมาไม่ถึงจุดนัดพบแห่งนี้ คงต้องรออีกเป็นวันแน่

“ส่งคนไปตามหมอในเมืองใกล้เคียงนี้ให้เร็วที่สุด” ออกคำสั่งเมื่อเห็นคนของตนมีใบหน้าซีดเผือด เพราะเลือดยังไม่หยุดไหล อาการน่าเป็นห่วงยิ่งนัก ทำเอาคนเป็นหมออยู่เฉยไม่ได้ ต้องอาสาช่วย

“ข้าจะรักษาให้ หลบหน่อย” ว่าพร้อมกับถอดกระเป๋าสะพายวางลงบนพื้น มือเล็กลากเอาม้านั่งมา ก่อนจะหย่อนก้นลงตรงหน้าชายหนุ่ม

“เจ้าเป็นสตรี รักษาคนเป็นกระนั้นหรือ” เฟิงซียังไม่วายจับผิดคนตัวเล็ก เพราะไม่มีสตรีใดทำเรื่องเช่นนี้

“ก็แค่ทำแผล มันจะยากอะไรนักหนา ฉันเป็นหมอนะ ก็ต้องรักษาเป็นอยู่แล้วสิ” บอกก่อนจะล้วงเอาอุปกรณ์ออกมาเตรียม ซึ่งมันหน้าตาประหลาดนัก เมื่อไม่มีทางเลือก เฟิงซีจึงจำต้องให้สตรีตัวน้อยรักษาคนสนิท

ซือซือใช้สำลีชุปยาฆ่าเชื้อเช็ดบริเวณขอบแผล ก่อนจะใช้ผ้าก็อตซับจนแห้ง ตามด้วยแอลกอฮอล์เช็ดรอบๆ บาดแผล แล้วใส่ยาฆ่าเชื้อกันไว้ จากนั้นนางก็ร้อยเข็มเพื่อเย็บปิดปากแผล แม้ยังคงมีเลือดไหลออกมา

ทว่ามันก็ไม่มากเหมือนตอนแผลเปิด คนเจ็บได้แต่นั่งกัดฟันเพราะรู้สึกปวดไม่น้อย ยังดีที่มีใบหน้างามให้มองใกล้ๆ จึงทำให้เขาผ่อนคลายลงมาก แม้จะถูกเข็มทิ่มก็ยังนิ่งได้อีก

“เสร็จแล้ว จากนี้ทายาทุกวันไม่นานก็หาย” บอกก่อนจะใช้สำลีซับเลือดที่ไหลซึมออกมา เมื่อมันแห้งสนิทก็ปิดปากแผลด้วยผ้าก็อต ซึ่งอุปกรณ์แต่ละอย่างล้วนแต่ชวนให้ทุกคนสงสัย เพราะมันไม่มีในยุคนี้

“นี่ยาแก้ปวด ส่วนนี่ยาแก้อักเสบ กินซะ” เปิดกระปุก พร้อมกับยื่นเม็ดยาส่งให้คนเจ็บ

“มันกินได้หรือ” ฟูเล่อเอ่ยถาม เขามองสิ่งที่สตรีตัวน้อยส่งให้ หยิบมันขึ้นมาพลิกดู ไม่ต่างจากคนของหมิงซีเมื่อสี่วันก่อนเลย ใบหน้างามจึงได้แต่ส่ายไปมา

เพราะนางคงหนีไม่พ้นต้องอธิบายเรื่องของตนอีกเป็นแน่ ดูจากสายตาของแต่ละคนแล้วคงอยากรู้มาก

“กินเข้าไปเถอะ นางช่วยเราถึงเพียงนี้ คงไม่วางยาเจ้าอีกหรอก” เสียงทุ้มของผู้เป็นนายดังขึ้น ก่อนจะหันมารั้งแขนเล็กให้ลุกตามมา นางจึงส่งสายตาดุใส่เขาทันที

“เก็บของอยู่ไม่เห็นหรือ” ตำหนิอีกฝ่ายโดยไม่กลัว ทำเอาบุรุษทั้งสามต่างก็พากันหน้าเจื่อน

เพราะไม่เคยมีใครใช้เสียงเช่นนี้กับท่านแม่ทัพเลย สตรีตัวน้อยคงหาเรื่องใส่ตัวแล้ว

“ข้าให้เจ้าทำสิ่งใดก็ต้องทำ” เสียงกดต่ำดังขึ้น ก่อนจะรั้งเอาร่างเล็กให้ลุกตามแรงดึงจนเซถลา

“โอ๊ย! เจ็บนะ ก็บอกว่าเก็บของอยู่ จะอะไรนักหนา รู้แบบนี้ไม่ช่วยเสียก็ดี” แหวใส่เขาทันที พร้อมกับจ้องอีกฝ่ายเขม็ง นางไม่ได้ทำสิ่งใดผิดไยต้องกลัวเขา

“นี่แม่นาง ต่อให้เจ้าช่วยพวกเราไว้ ก็ใช่ว่าจะมีสิทธิ์พูดจาไร้มารยาทกับนายท่านนะ” เสียงแข็งของลู่ถงดังขึ้น เขาคือคนสนิทที่อยู่ข้างกายเฟิงซีมาตั้งแต่เด็ก

“แล้วอย่างไร ข้าไม่ใช่คนของนายเจ้า นายเจ้าก็ไม่ใช่นายข้า มีสิทธิ์อันใดบังคับให้เชื่อฟัง” แหวตอบคนที่ตำหนิตน ทว่าสายตากลับจ้องคนตัวโต ซึ่งนางต้องแหงนหน้าขึ้น เฟิงซีมองสตรีตัวน้อยนิ่ง หากไม่ใช่เพราะนางพึ่งช่วยพวกเขาไว้ มีหรือจะปล่อยให้ยืนโต้เถียงอยู่เช่นนี้ แก้มสากขึ้นเป็นสันนูนเพราะไม่อาจทำสิ่งใดได้

“พาฟูเล่อไปพัก จัดเวรยามเฝ้าที่นี่ด้วย ไม่แน่พวกมันอาจจะย้อนกลับมาอีก” สั่งคนของตนเสร็จ มือเรียวก็หันไปคว้าเอาถุงย่ามใบใหญ่ของนางมาถือไว้เอง มืออีกข้างก็คว้าแขนเล็กให้เดินตาม ซึ่งนางก็ขืนตัวไว้

“เดี๋ยวก่อนได้ไหม หิวข้าว” บอกเสียงอ่อนลงจากเมื่อครู่ เพราะดูท่าคนตัวโตคงไม่ยอมปล่อยตนไปง่าย ๆ เป็นแน่ อาหารก็วางอยู่บนโต๊ะแล้วขอกินก่อนเถอะ

“เรื่องมาก” แม้จะบ่นให้คนตัวเล็ก ทว่าเฟิงซีก็ยังพานางมานั่งทานอาหาร เพราะเขาเองก็ยังไม่ทันได้กิน

“นี่นายท่านไม่ลงโทษนางจริงหรือ” ลู่ถงกระซิบถามสหาย คนเจ็บจึงได้แต่ส่ายหัว เพราะไม่รู้ผู้เป็นนายคิดเช่นไร เหตุใดจึงยอมโอนอ่อนตามใจนาง

“นายท่านต้องมีแผนบางอย่างเป็นแน่ เจ้าไม่เห็นหรือว่าสตรีผู้นี้มีอาวุธร้าย และการรักษาของนางก็ดีเยี่ยม นายท่านคงอยากสืบดูว่านางได้ของเหล่านี้มาจากที่ใดมากกว่า ไม่เช่นนั้นคงไม่ทำดีด้วยเช่นนี้หรอก” อินสือเอ่ย

เขาอยู่กับท่านแม่ทัพมานานเช่นกัน รู้ดีว่าเมื่อใดที่ผู้เป็นนายอ่อนข้อ แสดงว่ากำลังต้องการบางสิ่งอยู่

“จริงด้วย อาวุธที่นางใช้หากเราได้มา การทำศึกคงง่ายขึ้นเป็นแน่” ลู่ถงเอ่ยก่อนจะเผยยิ้ม จากนั้นก็พาสหายขึ้นไปพักด้านบน ให้อินสือคอยอยู่ดูแลผู้เป็นนาย

เฟิงซีนั่งทานอาหารไปก็มองสตรีตัวน้อยไป เพราะนางเล่นกินไม่สนใจสิ่งใดเลย ราวกับคนอดอยากปากแห้งมานาน ซึ่งอันที่จริงก็เป็นเช่นนั้น เพราะซือซือกินแต่แป้งปิ้งตั้งแต่แยกทางกับหมิงซี

“เจ้าเป็นสตรีจริงหรือ ไยถึงได้กินมูมมามเช่นนี้ ไม่มีใครสอนมารยาทเลยหรืออย่างไร” ตำหนิอีกครั้ง เพราะคนตรงหน้ากินไม่รอกันเลยสักนิด

ทว่าอันที่จริงซือซือแค่แกล้งเขาก็เท่านั้น เพราะอีกฝ่ายดูเป็นคนมีกฎเกณฑ์เยอะ หากเป็นเวลาปกติ เขาคงไม่อดทนเพียงนี้ เมื่อครู่ที่จะลากนางไปด้วย คงเพราะอยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับอาวุธและการรักษานั่นแหละ

“ข้ากำพร้า ไม่มีใครอบรมสั่งสอนจริงๆ และกำลังเดินทางไปตามหาญาติที่เหลืออยู่” บอกไปตามตรง เรื่องนี้นางไม่ได้โกหก เพราะตอนนี้ก็เหมือนตัวคนเดียวอยู่แล้ว เมื่อได้ยินเฟิงซีก็ถึงกับนิ่งไปครู่หนึ่ง

“ไปตามหาที่ใดกัน” ครานี้เสียงอ่อนลง ซือซือเงยหน้ามองเขาเล็กน้อย ก่อนจะเสหลบไปทางอื่น เพราะสายตาคมของอีกฝ่ายเอาแต่จ้องนางเขม็ง จนใจดวงน้อยเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ เกิดมายังไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อนเลย

“เมืองตู” ตอบสั้นๆ โดยไม่มองหน้าแม้แต่น้อย

“ก็ดี เช่นนั้นก็รอไปพร้อมกับข้าก็แล้วกัน เอาล่ะ บอกเรื่องอาวุธและวิธีรักษาอันประหลาดของเจ้ามา ข้าอยากรู้ว่าเจ้าไปเรียนมาจากที่ใด” ครานี้น้ำเสียงเขากดต่ำราวกับขมขู่ เพราะหมายจะบังคับให้นางเอ่ยความจริงนั่นเอง

'ชิ อยากรู้แต่พูดดีดีไม่ได้หรือไง ผู้ชายยุคนี้ชอบวางอำนาจกันจริงๆ' บ่นให้อีกฝ่ายในใจ ทว่ามันเผยออกมาทางสายตา จนแม่ทัพหนุ่มเริ่มหงุดหงิดขึ้นมา

“หากเจ้าไม่ตอบ ย่ามนี้ข้าจะไม่คืนให้” บอกพร้อมกับยกกระเป๋าขึ้น ซือซือจึงได้แต่ยู่ปากใส่ เพราะให้แย่งมานางคงสู้แรงเขาไม่ได้แน่ อีกฝ่ายนั้นตัวโตกว่ามาก

“เจ้าจะไปเมืองตูงั้นหรือ” ไม่ได้ตอบสิ่งที่เขาอยากรู้ ทว่าซือซือถามในสิ่งที่ตนอยากรู้แทน เฟิงซีใช้สายตากดต่ำมองนางทันที หากไม่ใช่เพราะอยากรู้ที่มาของอาวุธ เขาจะไม่ทนให้นางทำกิริยาเช่นนี้ใส่เด็ดขาด

“ดูจากหน้าตาของเจ้า น่าจะอายุน้อยกว่าข้ามากนะ ไยถึงพูดจาไม่รู้จักเด็กจักผู้ใหญ่เช่นนี้” ตำหนิคนตัวเล็ก เมื่อเห็นนางใช้คำพูดที่ต่างจากสตรีทั่วไป 

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel