บท
ตั้งค่า

8. วีรบุรุษของแคว้น

ซือซือเงยหน้ามองอีกฝ่ายซึ่งยังคงจ้องมองนางอยู่ คำตำหนิที่เขาเตือนมันก็ถูก ตนกลับมายังยุคโบราณ ที่นี่แบ่งชนชั้นอย่างชัดเจน ชาวบ้านสามัญต้องเคารพนบนอบผู้ที่มียศสูง โดยเฉพาะเหล่าขุนนางในราชสำนัก และที่นางสังเกตได้ก็คือคนตัวโตมีผู้ติดตามหลายคน รวมถึงผู้ที่หมายหัวเอาชีวิตเขา ฐานะคนผู้นี้คงไม่ธรรมดาแน่ๆ

“ขออภัย อย่างที่บอกข้ากำพร้าไม่มีผู้ใดอบรม อีกอย่างข้าก็อายุยี่สิบสามแล้ว คงอายุน้อยกว่าเจ้าไม่มากกระมัง” คำตอบของคนตัวเล็กทำเอาเฟิงซีถึงกับชะงัก ไม่คิดว่าสตรีตัวแค่นี้จะมีอายุเลยวัยออกเรือนมานานหลายปีแล้ว

“ถึงกระนั้นเจ้าก็ควรเรียกผู้อื่นด้วยความยำเกรงกว่านี้ ถึงจะมีอาวุธร้ายอยู่ในมือ ก็ใช่ว่าจะคุ้มภัยได้ตลอด อย่าได้สร้างศัตรูโดยไม่จำเป็นดีกว่า” สั่งสอนราวกับคนตรงหน้าเป็นทหารในค่ายของตน ซือซือจึงได้แต่ยิ้มแห้ง เพราะสิ่งที่คนตัวโตพูดมันก็จริง วันข้างหน้าหากตนใช้กระสุนจนหมด ก็ไม่รู้จะเอาสิ่งใดปกป้องตนเองแล้ว

“อืม รู้แล้ว” ตอบรับเสียงเบา ครานี้จึงถูกมือเรียวรั้งให้เดินตามขึ้นไปด้านบนโดยไม่ขัดขืนอีก

“ข้าจะอนุญาตให้เจ้าเดินทางไปด้วย คนเหล่านั้นเห็นแล้วว่าเจ้าอยู่กับข้า ต่อไปชีวิตเจ้าไม่มีทางอยู่เป็นสุขแน่ เพราะฉะนั้นต้องอยู่ให้ใกล้ข้าและคนของข้าเข้าไว้” บอกอย่างที่คิด พร้อมกับขู่สตรีตัวน้อยไปในตัว ซือซือขมวดคิ้วมองเสี้ยวหน้าเขา ในขณะที่เดินตามคนตัวโตขึ้นบันได

“คนเหล่านั้นจำหน้าข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ ข้าจะเป็นอันตรายได้อย่างไร” บอกตามจริง เพราะตอนปะทะกันนางก็หลบอยู่หลังโต๊ะ ช่วงที่ยิงใส่ก็แอบอยู่ข้างประตู

เฟิงซีหยุดชะงักหันกลับมาหาผู้ที่ตนจับต้นแขนอยู่ พร้อมกับออกแรงบีบมันจนคนตัวเล็กหน้าเสีย

“ข้าบอกสิ่งใดเจ้าก็ต้องทำตาม” เสียงกดต่ำดังมาให้ได้ยิน ก่อนจะดึงเอาแขนเล็กให้เดินตามมาจนถึงห้องพัก

“ดะ เดี๋ยวสิเจ้า…เอ่อ…ท่านจะให้ข้านอนในห้องของท่านงั้นเหรอ มะ ไม่ดีมั้ง” กล่าวอย่างที่คิด เมื่อทั้งคู่หยุดลงที่หน้าประตู มีอินสือเปิดออกให้

“หึ! ดูสารรูปของตนเองบ้างเถอะ” ถ้อยคำหยันเปล่งออกมา ก่อนจะมองคนตัวเล็กตั้งแต่หัวจรดเท้า เพราะดูเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาหลายวันแล้ว แต่งกายก็เหมือนบุรุษ มัดผมม้วนเป็นกระจุก ใบหน้ามอมแมม คราแรกที่เห็นแล้วชะงัก เพราะเขาคิดว่านางเป็นพวกขอทานนั่นแหละ

ยิ่งไปกว่านั้นแม่ทัพหนุ่มเป็นผู้ที่มีมาตรฐานสูง มารดาของบุตรเขาในภายภาคหน้าจะต้องมาจากสตรีชนชั้นเดียวกัน ที่สำคัญคือกิริยามารยาทต้องดี พูดจาไพเราะไม่ใช่เอ่ยวาจาโผงผางเช่นสตรีตรงหน้า

ปากอิ่มคว่ำลงพร้อมกับมองเขาด้วยหางตา ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะใช้สายตาเช่นนี้กับตน

‘ชิ สวยเมื่อไหร่อย่ามาร้องขอให้รักแล้วกัน’ ตำหนิคนตัวโตในใจ

การที่เขาพูดและมองแบบนี้ก็ไม่ผิดนัก ถึงแม้หน้าตาซือซือจะมีเค้างามอยู่บ้าง ทว่านางก็มอมแมมนัก จะถูกผู้คนหยามหมิ่นก็ไม่แปลกเลย อีกอย่างนางเองก็ตั้งใจที่จะทำตัวสกปรกเช่นนี้แต่แรก การเดินทางจะได้ราบรื่นไม่เป็นที่สังเกตของผู้ที่พบเห็น

เฟิงซีรั้งเอาร่างเล็กเดินเข้าห้องก่อนจะดันให้นั่งลงเพื่อไต่ถามถึงเรื่องอาวุธที่อยู่ในย่าม คืนนี้หากไม่รู้ความเขาไม่มีทางยอมปล่อยนางให้ไปนอนเป็นแน่

“บอกมาว่าของในย่ามนี้เจ้าได้มาอย่างไร” เสียงกดต่ำดังขึ้นทันที เมื่อสตรีตัวน้อยนั่งลงแล้ว เสียงถอนหายใจดังขึ้น เพราะนางต้องเล่าเรื่องของตนอีกครั้ง ไม่รู้ว่าหากพบเจอผู้คนใหม่ๆ อีก จะต้องบอกกล่าวเรื่องเช่นนี้อีกหรือไม่ ต่อไปคงต้องระวังการใช้อาวุธให้มากแล้ว

“ถ้าข้าบอก ท่านจะเชื่อหรือ” หยั่งเชิงเป็นอันดับแรก เพราะสิ่งที่นางจะเอ่ยมันดูไม่น่าเชื่อเลยสักนิด

“บอกมาก่อน ข้าจะพิจารณาเอง” เสียงเรียบดังขึ้น พร้อมกับสายตากดต่ำที่มองจ้องมาจนซือซือต้องยิ้มแหย สุดท้ายนางก็ต้องเล่าทุกอย่างให้เขาฟัง ไม่ต่างจากคราก่อนที่บอกเล่ากับกลุ่มของหมิงซี เพียงแต่คนตรงหน้าดูจะเป็นคนเชื่ออะไรยากสักหน่อย

“เจ้าจะบอกว่าอาวุธนี้ติดตัวเจ้ามาจากอีกยุคที่รุ่งเรืองกว่าที่นี่กระนั้นหรือ จะมีเรื่องเช่นนี้ได้เยี่ยงไร” อินสือรีบถามเมื่อฟังสิ่งที่สตรีตัวน้อยเอ่ยจบแล้ว

“ใช่ ท่านก็เห็นแล้วว่ารูปแบบและสิ่งที่ใช้ประกอบขึ้นมาไม่มีในยุคนี้ รวมถึงยาที่ใช้รักษาเพื่อน…เอ่อ สหายของท่านด้วย รวมถึงคำพูดของข้าที่มันต่างออกไปจากผู้คนในยุคนี้ เรื่องนี้ข้าพยายามปรับอยู่” ประโยคสุดท้ายเอ่ยแล้วก็ยิ้มเขินเล็กน้อย เพราะตนยังหลุดถ้อยคำในยุคปัจจุบันในบางครา โดยเฉพาะเวลาที่รีบจนเกินไป

เฟิงซีไม่เอ่ยอันใด เพราะสิ่งที่นางกล่าวมาเขาเชื่อไปกว่าครึ่งแล้ว ทั้งที่ปกติเป็นคนเชื่อคำบอกเล่ายากมาก ทว่าทุกอย่างที่เขาเห็นในวันนี้มันก็สอดคล้องกับสิ่งที่นางเอ่ย

โดยเฉพาะเรื่องกลุ่มโจรที่ออกอาละวาดซึ่งพวกมันใช้อาวุธลักษณะเดียวกันกับที่นางมี เขาเองก็ออกตามล่าคนกลุ่มนี้เพราะเป็นภัยต่อบ้านเมือง จนบางคราปะทะกับฝ่ายตรงข้ามซึ่งเป็นศัตรูกับเขา รวมไปถึงคนต่างแคว้นที่ออกตามหากลุ่มคนร้าย หมายจะถามเอาความเรื่องอาวุธนี้เช่นกัน

“เจ้าสามารถทำอาวุธนี้ได้หรือไม่” ถามเสียงอ่อนลง มือเขาก็หมายจะจับปืนในกระเป๋าออกมาดู

“อย่านะ! อย่าแตะถ้าท่านไม่รู้วิธีใช้ มันอันตราย” รีบบอกเขาพร้อมกับคว้ามืออีกฝ่ายไว้ ทำเอาแม่ทัพหนุ่มถึงกับชะงัก ก่อนจะหันมาสบสายตากัน

ลำคอระหงขยับเป็นละลอกคลื่นเพราะอยู่ใกล้คนตัวโตมาก ใบหน้าอยู่ห่างกันเพียงคืบ ก่อนจะรีบถอยหนีพร้อมกับคว้ากระเป๋าติดมือมาด้วย เฟิงซีก็ยอมปล่อยแต่โดยดี

เพราะมันก็จริงเช่นที่นางเอ่ย จากที่เห็นนางใช้สังหารคน ดูเหมือนจะมีกลไกบางอย่างที่ปล่อยอาวุธออกไป เขาเองก็ไม่ได้ดูศพของคนร้ายอย่างละเอียด มองเห็นเพียงแค่วงกลมขนาดเล็กบนหน้าผากเท่านั้น ทว่ามันกลับทำให้คนตายได้ในทันทีโดยไม่ทันตั้งตัวด้วยซ้ำ

“ตกลงเจ้าสร้างมันขึ้นมาได้หรือไม่” ถามย้ำประโยคเดิม เพราะอยากได้มาใช้ในกองทัพ หรือไม่ก็หน่วยงานของทางการ โดยเฉพาะหน่วยของน้องชายเขา

“ทำไม่เป็น อาวุธนี้จะมีฝ่ายที่ประดิษฐ์ขึ้น น้อยคนที่จะมีใช้นอกจากพวกที่มีอิทธิพล เอ่อ ข้าหมายถึงผู้มีอำนาจน่ะ และคนของทางการ ข้ารู้แค่วิธีใช้ไม่รู้วิธีทำ” บอกไปตามจริงแต่ก็ไม่ทั้งหมด เพราะซือซือประดิษฐ์ปืนไม่เป็นก็จริง แต่นางทำระเบิดไดนาไมต์ได้ ขอแค่มีอุปกรณ์เป็นพอ

“น่าเสียดายนะขอรับท่านแม่ทัพ” อินสือเอ่ย พร้อมกับเรียกขานฐานะของผู้เป็นนายด้วย ดวงตาสวยโตขึ้นทันที ก่อนจะจ้องมองบุรุษที่นั่งอยู่ตรงหน้า

“นะ นี่ท่านคือ แม่ทัพกู้เฟิงซีเหรอ” ถามพร้อมกับยกนิ้วชี้หน้าอีกฝ่ายด้วย ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันเพราะรู้สึกตื่นเต้นมาก ใจดวงน้อยเต้นรัวรอฟังคำตอบ

ซือซือเคยอ่านประวัติเขาที่มีติดหน้าประวัติศาสตร์อยู่น้อยนิด บอกกล่าวว่าแม่ทัพกู้เฟิงซีคือวีรบุรุษที่กอบกู้แคว้นอันจนได้รับอิสรภาพ หลังตกเป็นเมืองขึ้นของแคว้นเหลียง เมื่อครั้งที่นางพลัดหลงไปอยู่ในยุคปัจจุบัน

“ไหนเจ้าบอกว่าไม่ใช่คนในยุคนี้ เหตุใดถึงได้รู้ชื่อแซ่ข้า” เฟิงซีกดเสียงต่ำถามอีกฝ่าย

“เรื่องราวสำคัญในแคว้นอัน ล้วนแต่ถูกบันทึกไว้เหมือนแว่นแคว้นอื่น ข้าเองก็เป็นคนรัชมัยนี้ ศึกษาไว้มันก็ไม่เสียหายไม่ใช่หรือ เพียงแต่บางสิ่งมันไม่ละเอียดก็เท่านั้น ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จด้วย เพราะมันผ่านมาตั้งพันสองร้อยปี แต่อย่างน้อยแม่ทัพกู้เฟิงซีก็มีจริงแหละเนาะ” เอ่ยจบก็เผยยิ้มใส่คนตัวโตทั้งสองสลับกันไปมา 

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel