23. ยอมแตกหัก
หมิงซีประคองมารดากลับเข้าจวน โดยมีเฟิงซียืนมองจนพ้นประตู ก่อนจะกวาดตามองโดยรอบซึ่งยังมีชาวเมืองยืนมุงตามมุมต่าง ๆ ไม่ยอมไปไหน
“จะไม่เข้าไปดูฮูหยินใหญ่หน่อยหรือเจ้าคะ” เสียงหวานดึงสติแม่ทัพหนุ่มให้หันกลับมา
“เจ้าก็เห็นว่าท่านแม่ไม่ยอมรับเจ้า พี่จะจะพาไปอยู่ที่เรือนนอกเมือง ที่นั่นมีคนของพี่อยู่ จากนี้อาจใช้ชีวิตลำบากหน่อย รอให้ตามหาแม่เจ้าเจอแล้ว พี่จะสละตำแหน่ง เราจะเดินทางไปอยู่ต่างเมืองกัน”
เฟิงซียังคงคำพูดเดิม ทำเอาคนฟังถึงกับหลั่งน้ำตาเพราะตื้นตันใจ มือเรียวจึงยกขึ้นเกลี่ยออกให้เบา ๆ
“อย่าร้อง พี่บอกแล้วว่าจะไม่มีวันทิ้งเจ้าไปแน่ ขอเพียงเจ้าหนักแน่นไม่หนีพี่ไป เพียงเพราะพี่อาจจะถูกลงโทษในภายหน้า ถูกเฆี่ยนตีพี่ไม่ตายหรอก แต่จะตายแน่ถ้าไม่มีเจ้ารู้หรือไม่” บอกอย่างที่คิด ทำเอาคนน้องถึงกับยกมือตีเข้าที่อก เพราะคนพี่เอ่ยวาจาเลี่ยนเหลือเกิน
“เราเข้าไปดูฮูหยินกันเถอะเจ้าค่ะ”
“เรียกท่านแม่เถอะ ต่อให้นางไม่ยอมรับก็ช่าง” บอกสิ่งที่ควรทำ แม้มารดาเขาจะไม่ชอบใจก็เถอะ ยามนี้เขาเป็นลูกอกตัญญูจริงเช่นถูกกล่าวหา ทว่าจะให้เฟิงซีทิ้งสตรีอันเป็นที่รักก็คงทำไม่ได้ และจะไม่มีวันทำด้วย
“เกรงว่าเรียกแล้วจะอาการแย่กว่าเดิมน่ะสิเจ้าคะ” บอกอย่างที่คิด ก่อนที่มือเล็กจะรั้งเอาแขนคนตัวโตเดินเข้าจวน มีคนสนิทเดินตามไม่ห่าง
“แน่ใจหรือว่าจะเข้าไป” ถามก่อนจะถึงประตู
แม้จะเอ่ยถ้อยคำเย็นชาต่อหน้ามารดา ทว่าเฟิงซีก็ไม่ได้ใจแข็งอย่างที่เห็น เขาไม่อยากให้มารดาล้มป่วย จึงคิดว่าเอ่ยครั้งเดียวแล้วออกไปน่าจะง่ายกว่า
“การหนีปัญหาไม่ใช่ทางแก้ที่ดีนะเจ้าคะ เรายังไม่ทันได้เอ่ยบอกสิ่งใดกับท่านแม่เลย จะตัดช่องน้อยแต่พอตัวหนีไปเลยได้เช่นไร” บอกพร้อมกับยกมือลูบแขนเขา
“เช่นนั้นเราก็เข้าไปกันเถอะ หากท่านแม่ยังยืนกรานไม่ให้เจ้าอยู่ พี่จะพาเจ้าออกไปพักที่เรือนนอกเมือง ห้ามเจ้าขัดเด็ดขาด” บอกก่อนจะยื่นนิ้วมาบีบจมูกนางเบา ๆ
เฟิงซีพาคนน้องเดินเข้ามายังห้องโถง ซึ่งมีมารดาและน้องชายนั่งอยู่ เพียงแค่เห็นสตรีตัวน้อยเข้ามาด้วย คนที่พึ่งหายจากลมจับก็ดูเหมือนจะมีอาการอีกครั้ง
“พานางเข้ามาทำไม” เสียงกดต่ำเปล่งออกมา สายตาก็จับจ้องไปที่สตรีซึ่งทำให้บุตรของตนเปลี่ยนไป ยามนี้นางเดินมาหยุดตรงหน้าก่อนจะคุกเข่าลงคำนับอย่างนอบน้อม หากไม่ติดเรื่องชาติกำเนิดของอีกฝ่าย ตนก็คงยอมรับได้
“ท่านแม่ใจเย็นก่อนนะขอรับท่านควรฟังพวกเราก่อน ซือซือนางเป็นสตรีที่ดี สำคัญไปกว่านั้นหากไม่มีนาง ท่านแม่คงสูญเสียบุตรชายทั้งสองไปแล้ว นางคือผู้มีพระคุณของลูกและพี่ใหญ่นะขอรับ” หมิงซีรีบเอ่ยบอกเรื่องราวที่เคยพบพานมาเมื่อเดือนก่อน
“ฮูหยินใหญ่ฟังคุณชายทั้งสองก่อนนะขอรับ แม่นาง ซือซือเป็นสตรีที่ดีจริง ๆ” เป็นเสียงของจินหานที่เอ่ยบอก
“ใช่ขอรับ พวกข้าน้อยเกือบตายในครานั้นเพราะคนร้ายมีอาวุธประหลาด ดีที่แม่นางซือซือเองก็…อื้อ” จางเจาหมายจะเอ่ยถึงอาวุธที่ซือซือมีไว้ในครอบครอง ทว่าสหายกลับยื่นมือมาปิดปากเขาเอาไว้เสียก่อน
“เรื่องนี้อย่าได้เอ่ยถึง” อินสือรีบปิดปากจางเจาทันที เพราะยามนี้ในห้องโถงมีบ่าวไพร่หลายคน เกรงว่าเรื่องของซือซือจะเล็ดลอดออกไปจนกลายเป็นเรื่องยุ่งยากอีก มันยิ่งสร้างความประหลาดใจให้กับกู้ฮูหยินมากกว่าเดิม สตรีผู้นี้มีสิ่งใดปิดบังเอาไว้อีกกันแน่
“หากท่านแม่ยอมเปิดใจสักนิด ลูกจะเล่าทุกอย่างให้ฟังอย่างละเอียดขอรับ” เฟิงซีเอ่ยกับมารดาในขณะที่ยืนอยู่ข้างกายคนน้องซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่
“เช่นนั้นก็เล่ามา ข้าเองก็อยากรู้ว่านางมีบุญอันใดนักหนา ทำให้เจ้าสองพี่น้องต่อต้านแม่เพียงนี้” เอ่ยโดยไม่มองหน้าผู้ที่นั่งคุกเข่าเลยสักนิด
“พวกเจ้าออกไปให้หมด” เฟิงซีออกคำสั่งกับคนในห้องโถง เหลืออยู่แค่คนสนิทของตนและน้องชาย รวมถึงแม่นมกุ้ยคนเก่าแก่ที่อยู่ในจวนมานานนับสี่สิบปี ทว่าพ่อบ้านเฉิงแม่ทัพหนุ่มกลับไม่อนุญาตให้อยู่
“ทำเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต ก็แค่ที่มาของสตรีนางเดียว หรือว่านางจะเป็นบุตรสาวของสตรีในหอนางโลมจริง ๆ” กู้ฮูหยินยังไม่วายหยันสตรีตัวน้อย ซึ่งยามนี้เผยยิ้มบางออกมา นึกขันกับท่าทางของแม่ว่าที่สามี ไม่ต่างจากแม่ย่าในซีรี่ย์ที่เคยดูมาเลยสักนิด จิกกัดทุกครั้งที่มีโอกาส ซ้ำยังมองนางด้วยหางตาจนน่าหมั่นไส้อีก
เฟิงซีเดินมานั่งข้างมารดา โดยปล่อยให้คนน้องนั่งคุกเข่าอยู่กลางห้องโถง ตามคำขอของนางก่อนเข้ามา
“ซือซือพลัดพรากจากมารดาตั้งแต่หกขวบ ยามนั้นเมืองตูเกิดสงคราม ท่านแม่คงจำได้” เว้นวรรคเพื่อดูปฎิกริยาผู้เป็นแม่ เมื่อเห็นนางยังฟังอยู่เขาก็เอ่ยต่อ
“ทว่าซือซือไม่ได้พลัดหลงอยู่ในยุคของเรา นางหลุดเข้าไปอยู่ในยุคที่มีความเจริญรุ่งโรจน์มากกว่าที่นี่นัก ไม่ต้องใช้รถม้าเดินทาง ข่าวสารไม่ต้องใช้ม้าเร็ว สามารถนั่งนกเหล็กบินผ่านข้ามแคว้นต่าง ๆ ไปได้โดยใช้เวลาไม่กี่ชั่วยาม มีอาวุธร้ายที่เกือบจะเอาชีวิตหมิงซีเพียงแค่ยิงออกมาครั้งเดียว ดีที่ซือซือมีวิชาแพทย์อันเลิศล้ำ น้องชายจึงมีชีวิตรอดกลับมาหาท่านได้” เขากล่าวมาถึงตรงนี้ก็เงียบไปอีก เพราะสีหน้ามารดาดูตื่นตระหนกมาก
“จะ เจ้าพูดจริงหรือ มันจะมีเรื่องเช่นนั้นได้เยี่ยงไร” ถามบุตรชายเสียงสั่น ไม่อาจเชื่อว่าจะมีคนหลุดไปอยู่ในยุคอื่นได้ ที่สำคัญมันมีจริงกระนั้นหรือ
ทว่าคนที่เอ่ยเรื่องนี้คือบุตรของนาง นิสัยของเฟิงซีเป็นเช่นไรมีหรือตนจะไม่รู้ เขาไม่เคยเอ่ยวาจาโป้ปดซื่อตรงต่อคำพูดเสมอ ไม่ต่างจากบิดาผู้ล่วงลับ
“จริงขอรับ ซือซือเอาสิ่งของในย่ามให้ท่านแม่ดูที” เฟิงซีหันไปหาคนน้องที่นั่งคุกเข่า กระเป๋าสีขี้ม้าก็วางอยู่ข้างกาย นางจึงถือเอากระเป๋าลุกขึ้นมาหากู้ฮูหยิน ซึ่งมีโต๊ะสำหรับวางสิ่งของและถาดชาอยู่
ลู่ถงจึงเดินเข้ามาจัดการข้าวของที่วางเกะกะออก เพื่อให้สตรีตัวน้อยได้หยิบเอาข้าวของในย่ามออกมาวาง สิ่งแรกคือกล่องเครื่องมือทางการแพทย์ เช่นมีดผ่าตัด เหล็กคีบ และห่อผ้าก็อต รวมถึงกระปุกยาที่มีมากถึงสิบ และเสื้อแจ็คเก็ตลายทหาร ซึ่งแน่นนอนว่าในยุคนี้ไม่มีใครตัดเย็บอาภรณ์เช่นนี้สวมใส่เป็นแน่
และสิ่งสุดท้ายที่นางล้วงออกมาจากชุดที่สวมใส่ ซึ่งคราแรกกู้ฮูหยินคิดว่านางจะทำเรื่องอุจาดตา ทว่าสิ่งที่นางหยิบออกมาคือ ‘ปืน’ อาวุธรูปร่างประหลาดที่น่าสนใจยิ่ง
“นี่มันอะไรกัน” ไม่ว่าเปล่าแต่มือเหี่ยวย่นยื่นออกมาหมายจะจับด้วย ทว่าซือซือชักกลับไม่ยอมให้อีกฝ่ายแตะ
“ท่านแม่สิ่งนี้แตะไม่ได้เจ้าค่ะ อันตรายยิ่งนักหากใช้ไม่เป็น ร้ายกาจกว่าคมดาบหลายพันเท่า” บอกตามจริง จนมือของกู้ฮูหยินต้องชักกลับ
“ใครเป็นแม่เจ้า” คนแก่ผู้มีทิฐิมากยังไม่ยอมรับสตรีแปลกหน้า ตราบใดที่ไม่รู้ที่มาของนาง
“ท่านแม่ เป็นมารดาของสามีข้า หากไม่เรียกท่านแม่จะให้เรียกเช่นไรเจ้าคะ ต่อให้ท่านคัดค้านแค่ไหน พี่เฟิงซีก็ไม่ทิ้งข้ายามนี้เป็นแน่ ให้เราสืบที่มาของชาติกำเนิดจนรู้แจ้ง ถึงยามนั้นหากท่านแม่ทัพยังคงยืนกรานจะอยู่กับข้า หรือเปลี่ยนใจจากข้า มู่ซือซือผู้นี้ก็ยินดีน้อมรับเจ้าค่ะ ท่านแม่เราสู้เดินกันคนละครึ่งทางดีหรือไม่ อย่างน้อยบุรุษอันเป็นที่รักของเรา ก็ไม่ต้องทุกข์ใจกับการเลือกข้างระหว่างมารดาและภรรยานะเจ้าคะ” ร่ายยาวถึงเหตุผล ซึ่งมันจริงเช่นที่นางเอ่ย ยังดีที่กู้ฮูหยินไม่ใช่คนคิดฉาบฉวย
พอมองออกว่าคำพูดของสตรีตรงหน้าเอ่ยมามันไม่ผิดนัก ยามนี้นางจึงนิ่งไป นั่งมองสตรีตัวน้อยที่ช่างกล้าสั่งสอนตนทางอ้อม พร้อมกับจ้องมองข้าวของแต่ละชิ้นที่วางอยู่บนโต๊ะ ซึ่งมันไม่เคยมีให้เห็นบนแผ่นดินนี้
“เจ้าจะบอกว่า นางหลงเข้าไปในยุคที่เจริญรุ่งเรือง ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นหลายปี แล้วก็กลับเข้ามาอีกกระนั้นหรือ คนเราจะเดินทางข้ามไปมาได้ง่ายเพียงนั้นเชียว” กู้ฮูหยินยังคงถามในสิ่งที่ตนสงสัย เพราะเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเลย