22. ด่านใหญ่
เสียงบอกกล่าวของแม่ทัพหนุ่มทำเอามารดาและชาวเมืองต่างก็ชะงักงัน ไม่คิดว่าจวนสกุลกู้จะได้ต้อนรับสะใภ้ใหญ่ โดยที่ยังไม่ได้จัดพิธีสมรสตามประเพณี เสียงซุบซิบจึงเริ่มดังมาให้ได้ยิน
จากฝั่งที่ชื่นชมและฝั่งที่กำลังเอ่ยคำครหาถึงชาติกำเนิดของนาง ซึ่งชาวเมืองไม่ควรจะรู้เร็วเพียงนี้ด้วยซ้ำ ทว่าปากต่อปากมันกลับเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่ยังไม่ได้ยินถึงหูกู้ฮูหยินเท่านั้น
“ฮูหยินเจ้างั้นหรือ” คนแก่เอ่ยถามบุตรชายอีกครา นางมองสตรีตัวน้อยที่มีความสูงแค่ไหล่บุตรชาย ก็เผยยิ้มเอ็นดู ใบหน้าจิ้มลิ้มนี้ชวนมองยิ่งนัก
“คารวะกู้ฮูหยินเจ้าค่ะ” เสียงหวานเอ่ย ก่อนจะย่อตัวลงยกมือประสานกันอย่างนอบน้อม
“ทั้งน่ารักและงดงามยิ่ง เจ้านี่สายตาแหลมคมนักนะเฟิงซี เลือกจนได้ของดีเลยสินะ” มารดาเอ่ยเย้าบุตรชายตน นึกไม่ถึงว่าเขาจะตาแหลมเพียงนี้ ครองโสดอยู่มาตั้งนาน ทว่าพอมีภรรยากลับหาได้งามราวเทพธิดาเชียว
“เข้าจวนกันเถอะ แม่อยากรู้แล้วว่าสะใภ้ที่เจ้าพามาเป็นลูกเต้าเหล่าใคร จะได้ส่งแม่สื่อไปสู่ขอทำให้ถูกต้องตามขนบธรรมเนียมเสีย ผู้คนจะได้ไม่ครหาน้อง” เสียงอ่อนโยนเอ่ยบอก พร้อมกับยื่นมือมาหาซือซือ
ซึ่งยามนี้ยืนนิ่งไปแล้ว นางรู้สึกผิดกับกู้ฮูหยินอย่างไรไม่รู้ ดูท่าคนแก่คงอยากได้สะใภ้มาก ทว่าชาติกำเนิดตนกลับไม่มีอันใดคู่ควรกับบุตรชายนางเลยสักนิด
ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวขาเสียงซุบซิบซึ่งมีอยู่โดยรอบก็เริ่มดังมากขึ้น ทำเอากู้ฮูหยินชะงักเท้าของตนทันที เพราะแต่ละประโยคล้วนแต่เกี่ยวข้องกับสตรีตัวน้อยผู้นี้
“ข้าได้ยินว่านางมีแม่ทำงานอยู่ในหอนางโลมไม่ใช่หรือ นางไม่คู่ควรจะเป็นสะใภ้สกุลกู้เลยสักนิด”
“นั่นสิ ก่อนนั้นไม่แน่ว่าแม่ของนางอาจจะขายร่างกายเลี้ยงดูสตรีผู้นี้จนเติบใหญ่ก็ได้ ท่านแม่ทัพ ท่านคิดจะรับสตรีเช่นนี้เข้าจวนจริงหรือ” เสียงของชายฉกรรจ์ซึ่งยืนดูอยู่นานเอ่ยขึ้น มีชาวเมืองช่วยเป็นแรงสำทับด้วย
“ใช่ ๆ กู้ฮูหยิน สตรีผู้นี้ไม่คู่ควรกับท่านแม่ทัพเลยสักนิด ท่านอย่าปล่อยให้นางเข้าจวนเด็ดขาดนะ” หญิงชราอีกคนตะโกนเสริมบ้าง ก่อนจะมีอีกหลายคนที่คิดเห็นไม่ต่างกันเปล่งเสียงตะโกนตามมา จนยามนี้มีผู้คนมากมายต่างก็มุ่งหน้ามามุงดูเหตุการณ์
“นะ นี่มันอะไรกันเฟิงซี สตรีนางนี้เป็นเช่นที่ชาวเมืองเอ่ยหรือ” เสียงสั่นเครือถามบุตรชาย พร้อมกับสายตาผิดหวังที่มองมายังแม่ทัพหนุ่ม เลยผ่านมายังสตรีตัวน้อยซึ่งคราแรกนางยังชื่นชมเรื่องกิริยามารยาท รวมถึงใบหน้าอันงดงามที่เห็นแล้วก็อดเอ็นดูไม่ได้
ทว่า ยามนี้สายตานางต่างออกไปจากเดิม ยิ่งได้ยินคำของชาวเมือง และท่าทีที่ไม่ตอบโต้ของซือซือก็ยิ่งมั่นใจว่ามันต้องจริงเช่นที่ทุกคนเอ่ยมาเป็นแน่
เฟิงซีมองไปหาคนสนิทของตน เพียงเท่านั้นองครักษ์ทั้งสี่รวมถึงคนสนิทของหมิงซีก็กวาดต้อนชาวเมืองออกไปจนหมด เขาจึงหันมาหามารดาแล้วเอ่ยกับนาง
“เรื่องนี้ยังต้องสืบที่มาอย่างละเอียด ท่านแม่อย่าพึ่งร้อนใจเลยนะขอรับ หากไม่สบายใจลูกจะพาซือซือไปพักที่เรือนนอกเมือง ท่านแม่จะได้ไม่ต้องคิดมาก” บอกสิ่งที่เขาตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกหากเกิดปัญหา
“หมายความว่าสิ่งที่ผู้คนเอ่ยมีมูลความจริงกระนั้นหรือ นี่นางเป็นบุตรสาวของคนในหอนางโลมหรือ ไยเจ้าถึงได้สิ้นคิดเพียงนี้เฟิงซี” นิ้วเหี่ยวย่นตามวัยยกขึ้นชี้หน้าบุตรชาย พร้อมกับต่อว่าเขาไปด้วย
“ท่านแม่ เรื่องอาจไม่เป็นเช่นที่ผู้คนเอ่ยนะขอรับ เราเข้าไปคุยกันข้างในเถอะ” หมิงซีรีบท้วงมารดา
“หยุดนะ ห้ามพานางเข้าจวนสกุลกู้เด็ดขาด” กู้ฮูหยินแผดเสียงใส่บุตรทั้งสอง จนบ่าวไพร่หรือแม้แต่คนสนิทของสองพี่น้องต้องรีบก้มหน้าเพราะไม่เคยเห็นนายหญิงของจวนมีอารมณ์เดือดดาลเพียงนี้มาก่อนเลย
แหละนี่ก็คือสิ่งที่ซือซือกลัว แม่ลูกผิดใจกันก็เพราะตน ช่างเป็นภาพที่ทำให้ลำบากใจยิ่งนัก ทว่า! มันคงมีไว้สำหรับนางเอกในซีรี่ย์หรือละครเท่านั้น นี่คือมู่ซือซือ ไหนเลยจะยอมแพ้ให้กับโชคชะตาและแม่ผัว เว้นแต่แม่ทัพหนุ่มจะยอมปล่อยมือเท่านั้น นางจึงจะถอย
“กู้ฮูหยิน หากท่านไม่ยอมให้ข้าน้อยเข้าจวนเพื่ออธิบายเรื่องราวต่าง ๆ เช่นนั้นข้าน้อยก็เคารพการตัดสินใจของท่านเจ้าค่ะ เพียงแต่การฟังความข้างเดียวมันไม่ยุติธรรมกับคนที่ถูกกล่าวหาเลยนะเจ้าคะ” เอ่ยอย่างนอบน้อม ก่อนจะเผยยิ้มบางเล็กน้อย
“หากท่านแม่ไม่ยอมรับฟัง เช่นนั้นลูกจะพาซือซือไปอยู่ที่เรือนนอกเมืองขอรับ ไปกันเถอะ”
เฟิงซีเอื้อมมากุมเอามือเล็กหมายจะพาเดินไปขึ้นรถม้า ทว่ามารดาก็ส่งเสียงตำหนิเขาอีกรอบ
“จะมากไปแล้วนะแม่ทัพกู้ เพื่อสตรีนางเดียวเจ้ากล้าต่อต้านมารดากระนั้นหรือ” กู้ฮูหยินยังคงแผดเสียงใส่บุตรชาย จนเกิดอาการเจ็บคอนำพาให้เปล่งเสียงไอ
‘เห้อ…มาแล้วบทลงโทษของลูกที่กระด้างกระเดื่องต่อบุพการี แบบนี้แล้วท่านแม่ทัพยังจะอยู่ข้างเราไหมนะ’ นึกในใจ พร้อมกับทำหน้าสลด ทว่าในใจกลับรอลุ้น
“ท่านแม่โทษต่อต้านพ่อแม่ร้ายแรงนะขอรับ ไยท่านจึงเอ่ยเช่นนี้ พี่ใหญ่มีใจรักมั่นต่อพี่สะใภ้ เหตุใดท่านแม่ต้องขัดขวาง” หมิงซีรีบเตือนสติมารดา
ทว่าคนแก่ที่เอาแต่ความคิดตนเป็นใหญ่ ไหนเลยจะยอมลงให้ นางเองก็อยากรู้ว่าบุตรชายจะเลือกฝ่ายไหน จึงยืนกรานไม่ยอมท่าเดียว
“หากเจ้ายังคิดจะตามนางไป ก็อย่าหวังว่าจะได้เรียกข้าว่าแม่อีก” ยื่นคำขาดจนบ่าวไพร่ต่างก็พากันหน้าตื่น
รวมถึงคนสนิทของสองพี่น้องและบุตรชายทั้งสอง ซึ่งยืนชะงักงันมองมารดาที่จ้องแม่ทัพหนุ่มเขม็ง ดูท่านางคงไม่ยอมลงให้กับเรื่องนี้เป็นแน่ เฟิงซีหันกลับมาหาคนตัวเล็ก สีหน้าเขาดูเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย
“หากพี่เป็นบุรุษที่อกตัญญูต่อพ่อแม่ เจ้ายังจะรักพี่หรือไม่ พี่คงไม่มียศฐาในภายหน้า บ้านที่อยู่ก็คงเป็นกระท่อมที่ไหนสักแห่ง เจ้ายังยินดีหรือเปล่า” เอ่ยถามคนน้องเสียงอ่อนโยน พร้อมกับยกมือขึ้นลูบหัวนาง
“พี่เฟิงซี” เสียงเรียกชื่อดังเพียงเท่านั้น เพราะซือซือซึ้งใจกับคำพูดของคนตัวโต จนไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำใด เขาดีกับนางมากเหลือเกิน ยอมเป็นลูกที่อกตัญญูเพื่อนาง
ประโยคและการกระทำของแม่ทัพกู้ทุกคนล้วนแต่ตะลึงงัน โดยเฉพาะมารดา ไม่คิดว่าบุตรชายจะกล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ได้ ก่อนหน้านั้นแม้เขาจะเป็นคนเย็นชาเคร่งขรึม ทว่าเฟิงซีก็ยังเชื่อฟังตน แต่พอได้พบกับสตรีผู้นี้กลับเปลี่ยนไปหน้ามือเป็นหลังมือ ซ้ำยังต่อต้านนางอีก
“เฟิงซี! นี่เจ้า” ชี้นิ้วใส่บุตรของตน แข้งขายามนี้อ่อนแรงจนไม่อาจยืนอยู่ได้ ดีที่หมิงซีอยู่ใกล้ จึงประคองกันคนละข้างกับแม่นมกุ้ย บ่าวไพร่ต่างก็เป็นกังวลไม่น้อย
‘อืม หมดแรงไปแล้ว เอาไงดีล่ะคราวนี้ แข็งข้อหรืออ่อนน้อมดี เห้อ…ไม่คิดเลยว่าจะเจองานยากขนาดนี้’ นึกในใจมองแม่ว่าที่สามีเอาแต่ชี้นิ้วใส่บุตรชาย ซือซือก็เข้าใจแหละว่าหัวอกคนเป็นแม่คิดเช่นไร หากตนมีลูกชายในยุคสมัยนี้ ก็คงห่วงมากไม่ต่างจากกู้ฮูหยิน