21. เมืองหลวง
การเดินทางเป็นไปอย่างเร่งรีบ มีขบวนของชินหลิงตบท้ายพร้อมกับคนจากสำนักคุ้มภัย ยามหยุดพักระหว่างทาง นางก็ได้แต่ชะโงกหน้ามองบุรุษที่ตนหมายปอง
“คุณหนูท่านแม่ทัพดูใส่ใจสตรีนางนั้นมากเลยนะเจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยกับผู้เป็นนาย ยามนี้ชินหลิงก็กำลังมองไปยังรถม้าของแม่ทัพกู้ มองดูเขารับเอาสตรีที่เอ่ยว่าเป็นภรรยาลงมาจากรถม้า เดินไปยังลำธารที่อยู่ข้างทาง มือเล็กกำแน่นเข้าหากัน รู้สึกคับแค้นใจยิ่งนัก
“หึ! มีความสุขกันไปเถอะ ถึงเมืองหลวงเมื่อใดรอยยิ้มของเจ้ามันก็จะมลายหายไปสิ้น” เสียงรอดไรฟันเปล่งออกมา นัยน์ตาสวยแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด
ด้านเฟิงซี ยามนี้เขาเบาใจมากขึ้น ดูเหมือนคนน้องจะไม่คิดมากเช่นเดิมแล้ว ใบหน้าที่เคยเศร้าหม่นเผยรอยยิ้มสดใสเช่นเดิม แม้แต่น้องชายเขาก็ยังแปลกใจ จนต้องเดินเข้ามาถามไถ่พี่ชายซึ่งนั่งมองซือซือเดินเล่นในลำธาร
“ได้เห็นรอยยิ้มนางเช่นนี้ข้าก็เบาใจยิ่งนัก ท่านพี่ทำเช่นไรหรือ” เอ่ยถามโดยที่สายตาเขาก็จับจ้องผู้ที่พูดถึง
“แค่ทำให้นางมั่นใจไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ข้าก็จะไม่ทิ้งนาง ต่อให้ต้องถูกบั่นคอข้อหาต่อต้านบุพการีก็เถอะ” บอกเสียงหนักแน่น สายตาเขาก็จับจ้องไปยังคนตัวเล็กไม่ต่างจากน้องชาย หมิงซีเผยยิ้มบางทว่ามันก็มาจากความยินดี
“ท่านพี่ไม่ต้องห่วง ข้าอยู่ข้างท่านและซือซือ” เอ่ยจบเขาก็ยื่นมือวางลงบนบ่าพี่ชาย ตบมันเบา ๆ ก่อนจะลุกเดินออกไป เพราะซือซือกำลังเดินมา
“ไม่หิวหรือ เห็นน้ำแล้วไม่สนอันใดเลยนะ” เสียงทุ้มเอ่ย ก่อนจะยื่นมือไปหาคนน้องที่เดินมานั่งลงข้างเขา
“ที่นี่สวยเจ้าค่ะ น้ำใสมาก” บอกก่อนจะยิ้มร่า
“พี่ดีใจที่เจ้าชอบ เอาไว้ให้เราหาแม่เจ้าพบและแต่งงานกันแล้ว พี่จะพาเจ้าท่องไปให้ทั่วแคว้นเลย” บอกเสียงอ่อนโยน มือเขาก็ยกขึ้นลูบหัวนางอย่างเอ็นดู
“ในยุคปัจจุบันข้าอาศัยอยู่ที่เมืองฉาง พี่พาข้าไปที่นั่นได้หรือไม่ ข้าอยากรู้ว่ามันต่างกันมากแค่ไหน”
“เมืองนี้ยังใช้ชื่อนี้ในยุคเจ้ากระนั้นหรือ” ถามกลับทันที เพราะคนน้องบอกว่าระยะเวลาห่างกันถึงพันปีกว่า เหตุไฉนไม่มีการเปลี่ยนแปลง
“เปลี่ยนชื่อเจ้าค่ะ ทว่ายามที่ข้าเรียนได้ศึกษาการเปลี่ยนแปลงของแต่ละเมืองในแคว้นอันไว้ เมืองฉางในยามนี้ภายหน้าเปลี่ยนเป็นมณฑลหรูหนาน เอาไว้คราวหน้าน้องจะอธิบายให้ฟังนะเจ้าคะ” ตัดบทเมื่อเห็นอินสือและฟูเล่อยกอาหารมาให้
“เช่นนั้นก็กินเถอะ จะได้ออกเดินทางอีกครา ประเดี๋ยวจะถึงเมืองเฉียวค่ำมืด” บอกก่อนจะคีบอาหารให้คนน้อง ยามนี้มีหมิงซีมาร่วมวงทานอาหารด้วย กลุ่มคนสนิทก็อยู่ไม่ไกล เสียงพูดคุยหัวเราะจึงตามมา ส่วนมากคนสนิทของสองพี่น้องจ้องแต่จะถามถึงเรื่องต่างยุค
ทว่าเฟิงซีก็ดุด้วยสายตา เพราะไม่อยากให้มีคนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ คนตัวเล็กอาจจะเป็นอันตรายได้ โดยเฉพาะการเดินทางครานี้ไม่ได้มีแค่กลุ่มเขา ยังมีบุตรสาวของใต้เท้าเกา เจ้ากรมพิธีการติดตามมาด้วย จึงเป็นเรื่องไม่ควรอย่างมากที่จะเอ่ยถึง
ทานเสร็จขบวนของแม่ทัพหนุ่มก็ออกเดินทางอีกครา กว่าจะถึงเมืองเฉียวก็พลบค่ำพอดี จึงไม่ได้พูดคุยอันใดกันมาก เฟิงซีจึงสั่งแยกย้ายให้ทุกคนไปพัก เป็นเช่นนี้ตลอดการเดินทางสามวันครึ่ง กระทั่งถึงเมืองหลวง
“ตื่นเต้นหรือ มือเย็นเชียว” เอ่ยถามทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงมือที่เย็นเฉียบของคนน้อง
“เจ้าค่ะ น้องขอไปตามหาท่านแม่เลยได้หรือไม่” เอ่ยถามเขาเสียงเบา เกรงคนตัวโตจะไม่อนุญาต ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ทว่าเขาก็มีเหตุผล
“ไม่ได้! เจ้าต้องรออยู่ที่จวน หอนางโลม ส่วนมากสตรีจะไม่เข้าไปหากไม่ได้ทำงานในนั้น รอให้ทุกคนได้พักเสียหน่อย ค่ำนี้พี่จะให้พวกเขาออกตวรจสอบ เจ้าอย่ากังวลไปเลยนะ” บอกตามจริง ก่อนที่ด้านนอกจะมีรายงาน
“ท่านแม่ทัพ คนของคุณหนูชินหลิงมาขอบคุณที่ให้เดินทางมาด้วยขอรับ ยามนี้รถม้าของนางแยกตัวกลับจวนไปแล้วขอรับ” อินสือรายงานอยู่ด้านล่าง
“อืม กลับจวนได้เลย” ออกคำสั่งก่อนจะหันมาหาคนน้อง ยามนี้หน้าซีดอย่างเห็นได้ชัด เพราะรู้สึกกลัวที่จะต้องเจอกับว่าที่แม่สามี ใคร ๆ ก็รู้ว่ายุคโบราณเคร่งครัดเรื่องรับสะใภ้แค่ไหน คนไม่มีหัวนอนปลายเท้าเช่นตนสกุลไหนก็ไม่อยากรับ ยิ่งไปกว่านั้นนางอาจเป็นบุตรสาวของสตรีในหอนางโลมอีก นึกมาถึงตรงนี้ใจดวงน้อยก็ยิ่งเต้นรัว
“อย่ากลัวเลยนะ” เสียงทุ้มเอ่ยปลอบ พร้อมกับยิ้มบางส่งให้ ซือซือเงยหน้าสบตาเขา ก่อนจะซบลงที่ไหล่
“เกรงจะถูกไล่ออกจากจวนเจ้าค่ะ” บอกอย่างที่คิด
“หากท่านแม่ไม่ให้เจ้าอยู่ พี่จะพาเจ้าไปพักที่เรือนนอกเมือง อย่าได้กังวลไปเลยนะ พี่ไม่มีทางทิ้งเจ้าแน่” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยเสียงหนักแน่น พร้อมกับลูบไหล่นางเบา ๆ
ผ่านไปหนึ่งเค่อ [15นาที] ที่รถม้าแล่นเข้าเมืองหลวงมา มันก็หยุดลงที่หน้าเรือนใหญ่ของสกุลกู้ ซึ่งมีฮูหยินใหญ่ยืนรอต้อนรับพร้อมสาวใช้นับสิบ
หลังจากจางเจาตรงกลับมารายงานล่วงหน้า ทุกคนจึงเตรียมพร้อมรับขวัญบุตรชายทั้งสอง โดยเฉพาะเฟิงซีซึ่งจากจวนไปถึงสองปี คนเป็นแม่ยืนมองรถม้าสลับกับบุตรชายคนเล็กที่กระโดดลงจากม้าตรงมาหาตน
“ท่านแม่ ลูกกลับมาแล้วขอรับ” หมิงซีเอ่ยกับมารดา พร้อมกับกอดเอวนางไว้ เช่นที่เขาเคยทำอยู่เป็นประจำ กู้ฮูหยินเองก็โอบกอดบุตรชายไว้แนบอกเช่นกัน
“กลับมาแล้ว แม่ดีใจนัก พี่เจ้าล่ะ เหตุใดครานี้จึงมีรถม้ามาด้วย หรือว่าเขาบาดเจ็บจนควบม้ามาเองไม่ไหว” คนเป็นแม่อดเป็นห่วงบุตรชายคนรองไม่ได้ ปกติเฟิงซีจะขี่ม้ากลับมาด้วยท่วงท่าสง่างาม ทว่ายามนี้กลับอยู่บนรถม้า
“ท่านพี่สบายดีขอรับ มีความสุขดีจนไม่อยากลงจากรถม้าเสียด้วย” หมิงซีเย้าพี่ชายให้มารดาฟัง ไม่ถึงอึดใจร่างสูงของแม่ทัพกู้ก็เปิดม่านออกมา เขาส่งยิ้มให้มารดาแล้วเดินลงมาด้านล่าง ตรงเข้ามากอดมารดาเช่นที่เคยทำ
“โตจนป่านนี้แล้ว ยังจะมาทำตัวขี้อ้อนอีก แม่ก็นึกว่าเจ้าบาดเจ็บจนบังคับม้ามาไม่ได้เสียอีก สบายดีใช่หรือไม่” กู้ฮูหยินเอ่ยถาม พร้อมกับยกมือลูบใบหน้าบุตรชาย
“ลูกสบายดีขอรับ มากด้วย” ตอบเสียงทุ้มใส จนมารดาอดแปลกใจไม่ได้ ผูกคิ้วเข้าหากันทันที
“หึ! ดูเจ้าเถอะ แม่ไม่เคยเห็นเจ้าหน้าระรื่นเพียงนี้มาก่อนเลยนะ เกิดอันใดขึ้นเจ้าถึงกลายเป็นคนยิ้มง่ายเพียงนี้ แต่ก่อนเอาแต่ทำหน้าเคร่งขรึมจนบ่าวไพร่ตื่นกลัว”
คนเป็นแม่ยังมิวายสงสัย เพราะบุตรชายเปลี่ยนไปมาก ใบหน้าเขาเปื้อนยิ้มตลอดเวลาไม่เคยเป็นเช่นนี้เลย นับตั้งแต่สิบแปดปีก่อนที่เฟิงซีหลงทาง พอกลับไปหาเด็กน้อยอีกครั้งบุตรชายก็เงียบขรึมขึ้นทุกวัน จนแทบไม่เคยเห็นเขายิ้มอีกเลยจนกระทั่งวันนี้ที่หน้าระรื่นมาก
“มีคนทำให้พี่ใหญ่ยิ้มขอรับ พาลงมาสิท่านพี่” หมิงซีเป็นผู้เอ่ยเปิดทางให้พี่ชาย เฟิงซีพยักหน้า ก่อนจะขอตัวถอยกลับไปยืนที่บันไดทางลง
“ซือซือ ลงมาเถอะ” เสียงเรียกจากคนตัวโต ทำเอาผู้ที่นั่งอยู่ถึงกับสะดุ้ง เพราะมัวแต่คิดเรื่องแม่ผัวกับลูกสะใภ้ เกรงว่าจะเป็นเหมือนซีรี่ย์หรือชีวิตจริงของใครหลาย ๆ คน
“เอาวะ! ถ้าเขาไม่ต้อนรับเราก็แค่ออกไปหาที่อยู่ใหม่ ถึงเราจะเกิดในยุคนี้ แต่ก็โตในยุคที่ไม่มีการกดขี่ เจอเรื่องมาตั้งมากมายขนาดนี้ จะกลัวทำไมแค่แม่ผัว สู้ ๆ มู่ซือซือ เจ้ามันสะใภ้ยุคสองพันยี่สิบสี่ จะไม่ยอมก้มหัวให้กับคนที่คิดรังแกเราเด็ดขาด ดีมาดีตอบ ร้ายมาก็ร้ายกลับแหละ”
สิ้นคำที่ให้กำลังใจตนเอง เสียงพ่นลมหายใจแรงก็ดังขึ้น
ก่อนจะจัดแจงอาภรณ์ให้เรียบร้อย แล้วเปิดผ้าม่านมุดออกมายืนอวดโฉมให้ชาวเมืองที่ยืนมุงดูอยู่ได้เห็น
สตรีตัวน้อยผมดำยาวสลวยยืนนิ่งมองผู้คนที่ยกมนิ้วชี้มายังนาง ก่อนจะหันมาทางประตูจวนซึ่งทุกคนก็ทำไม่ต่างกัน ก็ผิวขาวราวไข่มุกนี้ กำลังเปล่งประกายเมื่อต้องแสงตะวันยามบ่ายคล้อย
นางอยู่ในอาภรณ์สีชมพูออกส้มมันยิ่งขับกับผิวกายให้ชวนมอง ดวงตากลมโตไม่ต่างจากกวางน้อย ขนตายาวเป็นแพงอนรับกัน จมูกเรียวโด่งเข้ากับโครงหน้ารูปไข่ ริมฝีปากอิ่มสีแดงเรื่อ มองไปส่วนไหนก็หาที่ติไม่ได้ ช่างเป็นสตรีที่งามหยดย้อยยิ่งนัก
“นะ นี่ใคร” กู้ฮูหยินเอ่ยถามเสียงติดขัด
“ฮูหยินลูกเองท่านแม่” เฟิงซีตอบทันที