20. กลัว
เช้าวันใหม่ รถม้าคันใหญ่หยุดรอที่หน้าจวนรับรอง เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อม ก็ออกเดินทางทันที
“หิวหรือเปล่า” เสียงทุ้มอ่อนโยนเอ่ยถามคนน้อง ซึ่งนางกำลังนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ใบหน้าหวานหันกลับมาหาคนตัวโตก่อนจะยิ้มบางส่งให้เขา
“ยังเช้าอยู่เจ้าค่ะ กินสิ่งใดไม่ลง” บอกเสียงเบา ต่างไปจากทุกที ได้ยินเช่นนั้นเฟิงซีก็เกิดใจหาย เขาจึงโอบเอวนางรั้งมานั่งบนตัก ทำเอาคนตัวเล็กตาโตเท่าไข่ห่าน
“จะทำอันใดเจ้าคะ” ถามเขาเสียงตื่น
“หึหึ ไม่ได้ทำอันใด พี่แค่อยากคุยกับเจ้า”
“นั่งข้างล่างก็คุยได้นะเจ้าคะ เผื่อท่านแม่ทัพไม่รู้” เย้าเขาราวกับไม่มีเรื่องในใจให้ครุ่นคิด
“ซือซือ พี่รู้ว่าเจ้ากังวลเรื่องท่านแม่ และกังวลเรื่องของเรา แม้เจ้าจะไม่เคยบอกว่ารู้สึกเช่นใดกับพี่ ทว่าการกระทำของเจ้ามันก็บอกหมดแล้ว” เขาหยุดคำพูดไว้ จากนั้นก็ยกมือประคองแก้มเนียนให้หันมาเพื่อสบตากัน
“พี่รักเจ้า รักมากจนขาดไม่ได้ ชีวิตนี้จะมีเจ้าเป็นภรรยาเพียงผู้เดียว อย่ากังวลไม่ว่าเจ้าจะอยู่ในฐานะใด ขอแค่ให้เจ้าเชื่อใจพี่เป็นพอ กู้เฟิงซีผู้นี้จะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า ต่อให้มีราชโองการลงมาบั่นคอพี่ พี่ก็ยินดีที่จะรับมัน ขอบเพียงได้ครองคู่กับเจ้า” ทุกถ้อยคำแม่ทัพหนุ่มเน้นย้ำอย่างหนักแน่น จนคนตัวเล็กถึงกับน้ำตาซึม ถึงกระนั้นนางก็ยังไม่วายที่จะเอ่ยเย้าเขากลับไป
“ถูกบั่นคอแล้วจะครองคู่กันอย่างไรเจ้าคะ อยู่กับคนไม่มีหัวคงน่ากลัวแย่” สิ้นคำนางก็หัวเราะทั้งน้ำตา
“หึหึ เจ้านี่นะ จะกลัวพี่ไปไย อย่างไรเสียเราทั้งคู่คงต้องใช้ชีวิตไม่มีหัวเหมือนกัน หากเป็นเช่นนั้นจะได้เห็นใบหน้างามนี้หรือเปล่านะ ต้องรีบเชยชมไว้ให้มากเสียแล้ว” กล่าวจบเฟิงซีก็บรรจงแนบริมฝีปากลง
ซือซือเองก็ตอบรับเขา แม้น้ำตาจะล่วงหล่นลงมา ยามนี้ใจดวงน้อยอบอุ่นยิ่งนัก นางเชื่อแล้วว่าแม่ทัพหนุ่มรักตนมาก เวลาสั้น ๆ ไม่ได้เกี่ยวกับความรักที่ก่อตัวขึ้นของทั้งคู่เลย สิ่งที่เฟิงซีทำให้มันเกินความจำเป็นของคนที่อยากได้ร่างกายนี้แล้ว ทุกสิ่งอย่างแม่ทัพหนุ่มทำให้เห็นจนกระจ่างทั้งหมดไม่มีปิดบังซ่อนเร้น
ทั้งสองนัวเนียกันอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งเฟิงซีผละออกจากริมฝีปากอิ่มเสียเอง เพราะด้านล่างมันเริ่มตื่นตัว เขาไม่อยากทำเช่นคืนนั้นบนรถม้า ถึงจะส่งเสียงดังในครานั้นโดยไม่รู้จักอาย แต่ก็ใช่ว่าเขาจะหน้ามึนจนทำต่อหน้าคนน้องได้ จึงจำต้องถอนจูบออกอย่างเสียดาย ซือซือจึงรีบมุดเข้าอกแกร่งเพราะกระดากอายที่ตนเบียดกายเข้าหาเขา
“หากพบท่านแม่แล้วเราแต่งงานกันนะ พี่อยากเข้าหอกับเจ้าเต็มทีแล้ว” เสียงกระเส่าเปล่งออกมา คนน้องจึงเงยหน้ามองเขาเล็กน้อย
“อย่ากังวล ต่อให้ใครไม่ยอมรับ พี่ก็จะไม่มีวันปล่อยมือเจ้า แผ่นดินนี้สามารถมีแม่ทัพได้อีกเป็นร้อย ทว่าเจ้านั้นมีเพียงผู้เดียว และคนที่ต้องนอนเคียงข้างพี่ก็คือเจ้า คนที่ต้องคอยเผชิญทุกข์สุขในวันหน้าก็คือเจ้า หาใช่ผู้อื่นไม่ พี่อยากให้เจ้านึกถึงข้อนี้ให้มาก พี่อยากอยู่กับเจ้ามีลูกมีบ้าน ภายหน้าหากไม่มียศฐาเจ้าจะอยู่กับพี่หรือไม่” เฟิงซียังคงกล่าวประโยคให้คนน้องมั่นใจ เขาไม่อยากให้นางคิดมากและกังวล
“แต่พี่เฟิงซีก็มีท่านแม่เพียงคนเดียวเช่นกันนะเจ้าคะ” เตือนสติเขาว่าอย่าลืมมารดาในเรือน นางไม่อยากเป็นคนที่ทำให้แม่ลูกผิดใจกัน มารดาของแม่ทัพหนุ่มคงจะเกลียดนางเพิ่มขึ้นมากกว่าเก่าเป็นแน่
“เรื่องนั้นเจ้าอย่าได้กังวลเลยนะ ท่านแม่ยังมีหมิงซีเป็นลูกอีกคน หากน้องชายพี่มีหลานให้ ขี้คร้านจะลืมเรา”
บอกสิ่งที่ตนหารือไว้กับน้องชาย หากทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่หวัง เฟิงซีตั้งใจสละตำแหน่งเพื่อไปใช้ชีวิตกับซือซือที่ต่างเมืองไม่สนยศฐาบรรดาศักดิ์ใด ๆ ทั้งสิ้น
“เหตุใดพี่ถึงดีกับข้านัก” ถามเขาถึงสิ่งที่สงสัย
“พี่เองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงรักเจ้ามากเพียงนี้ ตั้งแต่คืนแรกที่ได้กอดเจ้าไว้ ใจพี่ก็อบอุ่นเหลือคณานับ ไม่อาจปล่อยเจ้าไปได้อีก” บอกตามที่เขารู้สึกจริง ๆ
ทว่ามันยังมีอีกอย่างที่เขาไม่เคยบอกกับคนน้องเลย เพราะไม่แน่ใจว่ามันจะใช่หรือไม่ เขาจึงกลัวว่าคนตัวเล็กจะคิดว่าตนเห็นนางเป็นเพียงแค่ตัวแทนของใครบางคน ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่เขาอายุเพียงสิบสองปี
ยามนั้นเฟิงซีออกไปล่าสัตว์กับบิดาที่ต่างเมือง ทว่าเขากลับหลงทางในช่วงที่ทุกคนกำลังวิ่งไล่ล่ากวางน้อย ต้องเดินเตร่อยู่ในป่านนานนับชั่วยาม ก่อนจะพบเข้ากับกระท่อมหลังหนึ่งริมแม่น้ำ จึงเดินไปขอความช่วยเหลือ เขาได้พบกับเด็กน้อยที่กำลังหยอกล้อกับสุนัข
เสียงเห่าของสุนัขทำให้นางรีบหันมาหาเขา เด็กน้อยไม่มีท่าทีตื่นกลัวเขาเลย มิหนำซ้ำยังวิ่งเข้ามาหา จากนั้นนางก็นำอาหารมาให้ ต่อมาเขาถึงรู้ว่านางอยู่ที่เรือนลำพัง เด็กน้อยบอกว่ามารดาเอาของป่าไปขายในเมือง นางจึงต้องอยู่ที่เรือนคนเดียว มีท่านป้าที่อยู่เรือนถัดไปเอาอาหารมาส่งให้ กลางคืนก็มานอนเป็นเพื่อน เขาจึงไม่แปลกใจที่นางวิ่งเข้าหา คงเพราะเหงาไม่มีเพื่อนเล่นกระมัง
เขาอาศัยอยู่ที่นี่กับนางสามวัน และมักจะนอนกอดกันจนหลับไปทุกคืน โดยมีท่านป้าเรือนใกล้เคียงมาอยู่เป็นเพื่อนทำอาหารให้กิน จนกระทั่งบิดาเขาตามมาพบตัว จึงพากลับบ้าน เด็กน้อยร้องไห้งอแงกอดเขาไว้ไม่ยอมปล่อย
คราแรกบิดาเขาหมายจะพานางไปด้วย ประเดี๋ยวค่อยให้มารดานางไปรับกลับ ท่านจะได้ตบรางวัลเป็นการตอบแทนสำหรับที่พักพิง ทว่าท่านป้าที่มานอนเป็นเพื่อนทุกคืนกลับบอกว่าแม่เด็กไม่ต้องการ และบอกให้พวกเขารีบออกไปจากบ้านเสีย นางไม่ชอบขุนนาง
สิบวันให้หลังเขาซื้อข้าวของมากมายเพื่อนำไปให้เด็กน้อย ทว่าท่านป้ากลับบอกว่าสองแม่ลูกย้ายออกไปตั้งแต่ค่ำวันนั้นแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดกันแน่ จนถึงเดี๋ยวนี้เขาก็ยังไม่ได้ข่าวคราวของนางเลย
“ขอบคุณนะเจ้าคะ” บอกเขาเสียงอู้อี้อยู่ในอก
“ขอเพียงเจ้าอย่าปล่อยมือ ไม่ต้องกังวลว่าจะทำให้พี่กับท่านแม่ผิดใจกัน อย่าหนีพี่ไปเพราะเรื่องนี้เข้าใจหรือไม่” รีบบอกในสิ่งที่เป็นกังวล เขาไม่อยากให้นางเห็นแก่ครอบครัวหรือตัวเขา จนแอบหนีไปไม่ลา
“ใครจะทำเช่นนั้นกันเจ้าคะ มีแต่จะเกาะแน่นยิ่งกว่าปลิงอีกน่ะสิ” เงยหน้าเอ่ยเย้าเขา ก่อนจะยื่นริมฝีปากขึ้นมาขบกัดปลายคางเขาเพราะหมั่นเขี้ยว
“ทำร้ายพี่รู้หรือไม่จะถูกทำโทษ”
“ก็อยากอยู่นะเจ้าคะ อยากรู้จังว่าจะโดนทำโทษแบบไหน” ยังไม่วายย้อนคำเขา พร้อมกับทำหน้าทะเล้นใส่ คนตัวโตมีหรือจะอดใจไหว เขาตรึงท้ายทอยนางไว้ทันที
พร้อมกับประกบริมฝีปากลง สอดลิ้นสากเข้าไปควานหาความหวานละมุนที่โหยหา คนน้องก็ตอบรับและเบียดกายเข้าหา ก่อนจะเหยียดตัวเปลี่ยนท่ามานั่งคร่อม
เฟิงซีรีบดันไหล่มนออก เกรงว่าตนจะห้ามใจไว้ไม่ไหว เพราะยามนี้มังกรเขามันตื่นขึ้นอีกแล้ว มีหวังได้ทำเรื่องขายหน้าให้คนน้องเห็นเป็นแน่
“ซือซืออย่าดื้อนะ พอแล้ว ประเดี๋ยวพี่จะทนไม่ไหว” เอ่ยบอกเสียงพร่าเมื่อผละริมฝีปากออกแล้ว คนน้องจึงเอียงหัวซบลงยังบ่าแกร่ง ภายในใจพองโตยิ่งนัก