19. ไม่อยากเชื่อ
เฟิงซีพาคนตัวเล็กกลับมายังห้องพัก ตามด้วยคนสนิททั้งสี่ เพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องที่พึ่งสืบรู้ หนึ่งในนี้เป็นหนุ่มเจ้าสำราญ เคยเที่ยวหอนางโลมในเมืองหลวงอยู่บ่อยครั้ง นั่นคือจางเหวิ่น หมอหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ด
“ห้าปีก่อนหอนางโลมในเมืองหลวงรับสตรีจากเมืองตูจริงขอรับ ทว่าส่วนมากล้วนแต่เป็นสตรีวัยแรกรุ่นทั้งนั้น เป็นไปไม่ได้ที่มารดาของซือซือซึ่งอายุเลยสามสิบแล้วจะทำงานเช่นนี้ได้ เป็นแม่ครัวหรือบ่าวรับใช้ก็ว่าไปอย่าง”
จางเหวิ่นรายงานผู้เป็นนายโดยที่เฟิงซีไม่ต้องถามเลยด้วยซ้ำ คนสนิทแต่ละคนแค่มองตาก็รู้ความต้องการของผู้เป็นนาย โดยที่แม่ทัพหนุ่มไม่ต้องเอ่ยสิ่งใด
“มะ หมายความว่าสิ่งที่ท่านยายเอ่ยนั้น ไม่จริงหรือเจ้าคะ” เสียงสั่นเครือจากความเสียใจเปล่งถามทันที
“พี่ถึงบอกให้เจ้าใจเย็นอย่างไรล่ะ ความร้อนรนของเจ้าอาจทำให้พลาดบางสิ่งไปรู้หรือไม่” แม่ทัพเอ่ยบอกเหตุผลให้คนน้องฟัง มือเขาก็ยกขึ้นลูบหัวนางเบา ๆ
“นั่นสินะ ข้าดีใจที่รู้ข่าวท่านแม่ จนลืมนึกไปว่านางมีนิสัยอย่างไร ในความทรงจำข้า ท่านแม่อ่อนโยน เป็นสตรีที่พูดจาดี ข้ายังคิดว่านางต้องเป็นลูกคุณหนูของจวนไหนสักแห่ง แต่ถูกขับไล่ออกมา จึงได้ตกระกำลำบากเลี้ยงบุตรลำพัง ย้ายที่อยู่บ่อยครั้งจนข้าเองก็สับสน จำได้เพียงแค่ชื่อของเมืองนี้เท่านั้น ที่อื่นข้าจำได้เพียงแค่ภาพเลือนลาง ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน” บอกสิ่งที่ตนพอจดจำได้ ทว่ามันก็เหมือนภาพเบลอเท่านั้น มีเหตุการณ์ที่จำได้ไม่กี่อย่าง
“แม่ของเจ้าอาจจะเดินทางไปกับคนของหอนางโลมจริง ทว่านางคงไม่ได้ทำงานเช่นนั้นเป็นแน่ สตรีสูงวัยผู้คนไม่นิยมซื้อขายหรอก เรื่องนี้เจ้าน่าจะเคยเล่าเรียนมาบ้างนะ” เสียงทุ้มของแม่ทัพเอ่ยกับสตรีอันเป็นที่รัก
ยิ้มอ่อนโยนถูกส่งมาให้นาง
ซือซืออดไม่ได้จึงโผเข้ากอดเขาโดยไม่อายสายตาของเหล่าคนสนิทคนตัวโตเลย ทว่าทุกคนกลับยิ้มเอ็นดูนาง พร้อมกับสงสารไปด้วย ไม่คิดว่าข่าวของมารดานางจะเป็นไปในทิศทางนี้
“ขอบคุณนะเจ้าคะท่านแม่ทัพ ท่านดีกับข้ายิ่งนัก” บอกเสียงอู้อี้อยู่ในอกเขา ทว่าเฟิงซีก็ยังพอเข้าใจ เขาจึงโน้มใบหน้าลงมากระซิบที่ข้างหูนาง
“หากเจ้าซึ้งใจเพียงนี้ ก็พลีกายตอบแทนบุญคุณพี่เสียสิ พี่ไม่ถือหรอกนะ เต็มใจรับมาก ๆ เลย” สิ้นคำของแม่ทัพหนุ่มที่เอ่ยกับคนน้อง เขาก็ร้องเสียงหลงทันที
“โอ๊ย!” นิ้วเล็กหยิกเข้าที่เอวเขาทันที ก่อนที่นางจะเหยียดตัวลุกนั่งตัวตรง พร้อมกับยู่ปากใส่
“ใจร้าย” คนตัวโตยังไม่วายตัดพ้อ ซือซือจึงได้แต่ยิ้มหน้าเป็นใส่เขา หากเป็นแต่ก่อนไม่ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางอาจยอมทำตามที่เขาขอ
ทว่า หากนางเป็นบุตรสาวของสตรีที่อยู่ในหอนางโลม ไม่ว่าจะขายหรือไม่ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี เพราะคนยุคนี้แบ่งชนชั้นชัดเจน กู้เฟิงซีเป็นวีรบุรุษของบ้านเมืองเป็นที่ยกย่องของทุกคน มียศฐาบรรดาศักดิ์สูงส่ง หากเขารับตำแหน่งอ๋อง ก็คงได้ใช้ชีวิตสุขสบายในเมืองหลวงไปแล้ว
การรับฮูหยินแน่นอนว่าต้องคู่ควรเหมือนที่เขาเคยตั้งมาตรฐานเอาไว้ ทว่ายามนี้ซือซือก้าวขาไปเป็นบุตรสาวของสตรีในสำนักการสังคีบไปครึ่งหนึ่งแล้ว ต่อให้มารดาขายหรือไม่นางก็ไม่อาจรอดพ้นคำครหาได้
ไหนจะครอบครัวของแม่ทัพหนุ่มอีก คงไม่มีทางยอมให้นางคบหากับเขาเป็นแน่ ต่อให้แต่งเป็นเพียงอนุ หรือเป็นสตรีอุ่นเตียงก็อาจจะเป็นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นึกมาถึงตรงนี้ใจดวงน้อยก็ห่อเหี่ยว ทว่านางก็ยังคงฝืนยิ้มเกรงคนตัวโตจะกังวล
“ที่นี่มีสิ่งใดต้องจัดการอีกหรือไม่ วันพรุ่งเราต้องเดินทางกันแล้ว อย่าให้มีเรื่องติดขัดก่อนไปล่ะ” หันมาเอ่ยกับคนของตน สี่สหายมองหน้ากันเล็กน้อย
“ไม่มีขอรับ ทางค่ายมีแม่ทัพฟู่ดูแลอยู่ ยามนี้ชายแดนปกติดี ไม่มีทีท่าว่าฝ่ายนั้นจะระดมพล” ลู่ถงรายงาน
“เช่นนั้นพวกเจ้าก็ไปพักเถอะ รอหมิงซีกลับมาข้าจะออกไปหารือด้วย” สั่งจบก็หันมาหาคนตัวเล็ก ซึ่งนั่งเหม่อไปแล้ว ยามนี้เองที่เขาได้เห็นสีหน้าเศร้าหม่นของนาง
สี่สหายคำนับผู้เป็นนายแล้วก็พากันออกไป ภายในใจพวกเขาต่างก็กังวลกับท่าทางของซือซือ นางไม่เคยเงียบยามที่พวกเขาหารือ รอยยิ้มก็ต่างออกไปจากเดิม
“หากมารดาของซือซืออยู่ในหอนางโลมจริง เจ้าคิดว่าฮูหยินใหญ่และไทเฮาจะยอมหรือไม่” อินสือเอ่ยกับสหาย หลังจากออกมาจากห้องของผู้เป็นนายแล้ว ทั้งสี่นั่งหารือกันที่ศาลาในสวน สีหน้าแต่ละคนต่างก็เคร่งเครียดพอกัน เพราะรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ที่จะแก้ได้ง่าย ๆ
“นั่นสิ ฮูหยินใหญ่ยังไม่เท่าไหร่ ทว่าไทเฮานี่สิ หากทรงรู้ว่าท่านแม่ทัพพึงใจบุตรสาวของสตรีที่อยู่ในหอนางโลม ไหนเลยจะยอมรับเข้าวงค์ตระกูลได้” ฟูเล่อเอ่ยขึ้นบ้าง นึกสงสารซือซือที่ต้องเผชิญชะตากรรมเช่นนี้
“อย่าว่าแต่ยอมรับเลย ชีวิตของสองแม่ลูกจะรอดต่อไปได้หรือไม่ หากไทเฮาทรงรู้เรื่องนี้ ข้าเป็นห่วงท่านแม่ทัพและซือซือยิ่งนัก” ลู่ถงเอ่ยเสียงเศร้า ทั้งสามเงียบไปเมื่อนึกตามคำของสหาย เพราะมันจริงเช่นที่ลู่ถงเอ่ย หากไทเฮารู้สองแม่ลูกคงตกอยู่ในอันตรายอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม่ทัพกู้ไม่อาจปกป้องนางได้ตลอดไปแน่
“พวกเจ้าทำอันใดอยู่หรือ ท่านแม่ทัพล่ะ” จินหานเอ่ยถามแทนผู้เป็นนาย ก่อนที่ทั้งสี่จะร่วมหารือกับคนของแม่ทัพเรื่องของซือซือ หลังจากหมิงซีพาคนของตนตามไปส่งหญิงชราจนถึงเรือน และยังไต่ถามถึงเรื่องราวที่นางเล่าจนละเอียด ส่วนอินสือเข้าไปรายงานกับผู้เป็นนาย ไม่นานเฟิงซีก็ออกมา ทว่าคนตัวเล็กนั้นหลับไปแล้ว
“ได้ความว่าอย่างไร” เมื่อนั่งลงเขาก็ถามน้องชายทันที
“นางยืนยันว่ามู่ซือเหนียงอยู่ในหอนางโลมจริงขอรับ ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ ก็ไม่ต่างจากที่นางบอกเล่าในห้องโถง ถึงเมืองหลวงแล้ว เราคงต้องดูอีกทีว่าใช่นางหรือไม่” หมิงซีเอ่ยกับพี่ชาย สีหน้าของเฟิงซียังคงความกังวลอยู่จนเห็นได้ชัด จนทุกคนต่างก็เศร้าไปด้วย
“ท่านแม่ทัพอย่าคิดมากเลยนะขอรับ” ลู่ถงเอ่ย
“นั่นสิ เรื่องอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้นะขอรับ” จางเหวิ่นเอ่ยขึ้นบ้าง แต่ละคนต่างก็เป็นห่วงแม่ทัพหนุ่ม มีรักกับเขาทั้งที สตรีที่หมายหมั้นจะให้เป็นฮูหยิน กลับมีชาติกำเนิดต่ำต้อยและมีมารดาอยู่ในหอนางโลมอีก
“หึ! คิดหรือว่าข้าจะกังวลเรื่องฐานะหรือชาติกำเนิดของซือซือ ข้าแค่ห่วงความรู้สึกนางเท่านั้น ต่อให้นางเป็นบุตรสาวของหญิงคณิกาจริง ข้าก็ไม่มีทางปล่อยนางไปแน่ ต่อให้ไทเฮาทรงคัดค้าน หรือฝ่าบาททรงมีรับสั่งประหาร ข้าก็ไม่กลัว ซือซือจะต้องเป็นภรรยาเพียงคนเดียวของข้า”
เสียงหนักแน่นของแม่ทัพหนุ่มดังขึ้นจนน้องชายและคนสนิทต่างก็เผยยิ้ม หากเขาเอ่ยเช่นนี้ก็เชื่อได้ว่าเฟิงซีไม่มีทางปล่อยมือจากสตรีที่อยู่ในห้องเป็นแน่ เพียงเท่านี้พวกเขาก็เบาใจ และพร้อมจะต่อสู้เคียงข้างกันจนถึงที่สุด เพื่อให้ความรักของแม่ทัพกู้ได้สมหวังดั่งใจ
“ไปพักเถอะ ถึงเวลาอาหารให้คนยกเข้าไปในห้องก็แล้วกัน ซือซือคงไม่อยากพบใครและพูดอันใดในยามนี้ ขอบใจพวกเจ้าทุกคนที่เหนื่อยมาตั้งหลายวัน” เฟิงซีกล่าวกับทุกคน ก่อนจะยกมือขึ้นตบไหล่น้องชาย
“ท่านพี่อย่าคิดมาก บอกซือซือด้วยว่าเราอยู่ข้างนาง ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นก็ตาม ส่วนเรื่องข่าวที่สืบมาได้ ข้าสั่งให้ทุกคนปิดปากเงียบแล้ว คงเหลือแค่ทางท่านเจ้าเมือง หวังว่าเขาจะไม่เอาไปพูดต่อ” หมิงซีเอ่ยกับพี่ชาย
“เรื่องนี้ข้าน้อยกำชับกับท่านเจ้าเมืองแล้วขอรับ เขารับปากว่าจะไม่เอ่ยกับผู้ใด” อินสือรายงาน เขาตามไปกำชับหรงจินก่อนออกจากจวนแล้ว
“อืม ต่อให้มีคนรู้ข้าก็ไม่ใส่ใจ เพราะอย่างไรเสีย สตรีที่จะเป็นแม่ของลูกข้าก็ต้องเป็นซือซือเท่านั้น” น้ำเสียงเขายังหนักแน่นเช่นเดิม ก่อนจะเดินเลี่ยงกลับไปยังเรือนพัก มีสายตาของทุกคนมองตาม
“ข้าไม่คิดเลยว่าช่วงเวลาสั้น ๆ ท่านแม่ทัพจะมีรักมั่นเพียงนี้” ฟูเล่อเอ่ย ก่อนนั้นเขาคิดว่าผู้เป็นนายหลงในความงามของซือซือเหมือนเขา ทว่าเห็นเช่นนี้แล้วถึงได้เข้าใจว่า ท่านแม่ทัพมีใจรักซือซืออย่างสุดซึ้ง
“นั่นสิ” ประโยคสั้น ๆ จากปากหมิงซี ก่อนจะยิ้มบางออกมา แล้วสั่งแยกย้ายอีกรอบ