18. แม่ทัพจอมหื่น
“อีตาบ้า! จะแหกปากครางทำไมกัน” ครานี้ร่างเล็กรีบดึงผ้าห่มมาคลุมจนถึงหัว ทำราวกับว่ามันจะช่วยให้เสียงนั้นหายไป ทว่าอีกฝ่ายกลับครางดังกว่าเดิม ซู้ดปากราวกับกินอาหารที่มีรสจัด ทำเอาคนที่ไม่ได้ตั้งใจฟังถึงกับยกมือขึ้นปิดหู เพราะเกิดกระดากอายขึ้นมา
“ฮึ่ม…เมียจ๋า…อ๊า…ซือซือ…พี่รักเจ้า…โอ๊ว…ซี๊ด” คนที่กำลังชักรูดแท่งหยกของตนครางกระเส่าเรียกชื่อคนน้องไม่หยุด ยามนี้เขานึกถึงแต่ใบหน้านาง รวมถึงความนุ่มหยุ่นที่ได้สัมผัสมาก่อนหน้านี้ ยิ่งคิดด้านล่างก็ยิ่งขยายพองโต เขาจึงเร่งมือรูดขึ้นลงจนไม่อาจทนต่อไปไหว
“อ๊า…มาแล้ว…ซือซือ….ฮึ่ม…เมียจ๋า” เสียงกระเส่าดังขึ้นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ ก่อนที่หน้าท้องแกร่งจะเกร็งกระตุก ปลดปล่อยน้ำรักขาวขุ่นออกมาจนเปียกชุ่มมือเรียว เสียงครางต่ำดังมาอีกครา ก่อนที่แม่ทัพหนุ่มจะพ่นลมหายใจออกมาแรง ๆ เมื่อความสุขได้ทะลักออกมาแล้ว
เขาเหยียดกายลุกยืนเต็มความสูง ก่อนจะชำระล้างคราบน้ำรักของตนจนสะอาดเอี่ยม แล้วเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่เพื่อกลับไปนอน เฟิงซีคิดว่าคนน้องต้องได้ยินเสียงเขาเป็นแน่ เพราะตนตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น
ด้านคนบนเตียงยังคงนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มไม่ยอมเปิดออก หากมีคนเห็นคงทักท้วงว่าใบหน้าเนียนสวยนั้นแดงก่ำเป็นอย่างมาก เพราะซือซือรู้สึกกระดากอายไม่น้อย จนกระทั่งรับรู้ถึงบางสิ่งที่เคลื่อนขึ้นมาบนเตียง
“เสร็จแล้วนะเมียจ๋า” เฟิงซีเอ่ยอยู่ข้างหูคนน้อง ซึ่งยามนี้นอนขดตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยับ เกรงเขาจะรู้ว่านางตื่นอยู่ หาได้หลับเช่นที่ทำให้เขาเห็นไม่
“อ้าว หลับแล้วหรือ ไม่คิดว่าจะหลับเร็วเพียงนี้ ไม่เช่นนั้นรอลักหลับเจ้าเอาดีกว่า ทว่าตอนนี้ก็ไม่สายนะ มังกรพี่ยังตื่นอยู่เลย เจ้าหลับอยู่คงไม่รู้ตัวหรอกว่าหรือไม่” คนตัวโตแกล้งเย้า เพราะรู้ว่าคนตัวเล็กไม่ได้หลับ
“หยุดเลยนะ คนหื่น” เปิดผ้าออกมาแหวใส่เขา พอเห็นนัยน์ตาคมจ้องมองก็รีบหันหลังให้ทันที
“ท่านี้เหมาะเลย” คนขี้แกล้งยังไม่วายหยอกเย้าต่อ
“กู้เฟิงซี! พอเลยนะ ตาแก่จอมหื่นนี่ ถ้าพูดไม่รู้ฟัง ข้าจะออกไปนอนที่อื่น” ลุกขึ้นนั่งพร้อมกับก่นด่าเขาไม่จริงจังนัก ก่อนจะทำหน้าบูดบึ้งเพราะง่วงเต็มที แต่คนตัวโตก็ยังแกล้งอยู่ได้ จนยามนี้นางแทบจะโกรธเขาจริง ๆ แล้ว
“โอ๋โอ๋ พี่ไม่แกล้งเจ้าแล้ว นอนนะเมียรัก” ลุกขึ้นมาประคองคนน้องให้เอนลง พร้อมกับรั้งให้นางขยับเข้ามาซุกอก ซือซือยกยิ้มกับคำแทนตนและคำเรียกของเขา มันช่างดูอ่อนโยนและอบอุ่นหัวใจยิ่งนัก
“ใครเป็นเมียท่านกัน” พึมพำอยู่กับอกเขา
“อีกหน่อยก็เป็น เจ้าไม่มีทางพ้นมือพี่หรอก นอนเถอะ ฝันดีฮูหยินพี่” บอกเสียงทุ้มอ่อนโยน ก่อนจะจุมพิตลงที่หน้าผาก เพียงเท่านั้นความอบอุ่นก็แผ่ซ่านกับใจดวงน้อย
“ฝันดีเจ้าค่ะ พี่เฟิงซี” สิ้นคำเปลือกตาสวยก็ปิดลง ทว่าคำเรียกนี้มันกับทำให้ใจแกร่งวูบไหว กระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น ไม่นานทั้งคู่ก็หลับไปในอ้อมกอดของกันและกัน
สามวันผ่านไป หรงจินก็ยังสืบหาข่าวของมารดาซือซือไม่ได้ ทว่าเขาก็เข้ามารายงานทุกวัน เฟิงซีก็ไม่ได้ตำหนิอันใด เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะตามหาคน ทว่า!
“ท่านพี่ ได้เรื่องแล้วขอรับ” หมิงซีเดินเข้ามาพร้อมกับหญิงแก่หนึ่งคน นางคำนับผู้ที่นั่งอยู่ด้านในอย่างนอบน้อม
“ท่านยายผู้นี้เป็นใครกัน คงไม่ใช่” เขาหยุดเสียงไว้ หันกลับไปหาคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างกัน
“ไม่ใช่ท่านแม่เจ้าค่ะ” แม้เวลาจะผ่านไปนานแล้ว ทว่าซือซือก็พอจำเค้าหน้าของมารดาได้ หญิงชราผู้นี้ไม่มีทางเป็นแม่ของตน เพราะมู่ซือเหนียงยามนั้นยังงดงามอยู่
“นางไม่ใช่มารดาของซือซือ แต่เป็นท่านยายที่รับดูแลมู่ซือเหนียงเมื่อห้าปีก่อนขอรับ นางบอกว่ารู้จักคนที่เราตามหา” หมิงซีรีบบอกพี่ชาย และว่าที่พี่สะใภ้ของตน ซึ่งยามนี้ลุกจากที่นั่งเดินตรงมาหาหญิงแก่ที่นั่งคุกเข่าอยู่
“ท่านยายลุกขึ้นก่อนเถอะเจ้าค่ะ” ซือซือรีบประคองนางไปนั่ง “ท่านยายเคยพบท่านแม่ข้าจริงหรือเจ้าคะ แล้วยามนี้นางอยู่ที่ใด” เสียงหวานเอ่ยถามคนแก่ที่หน้าตาดูใจดีมาก อีกฝ่ายยิ้มเอ็นดูก่อนจะบอกเล่าเรื่องราวให้ฟัง
“หกปีก่อน ข้าพบแม่นางซือเหนียงกำลังเดินทางเข้าเมือง นางดูน่าสงสารมาก ยามนั้นนางบอกว่าไม่มีที่อยู่ ข้าจึงรับนางมาอยู่ด้วย จนห้าปีก่อนซือเหนียงก็ออกเดินทางไปเมืองหลวงกับ เอ่อ” เสียงขาดหายไปเพราะไม่กล้าเอ่ย
“กับใครหรือท่านยาย” ซือซือเร่งเร้าอีกฝ่าย ทว่ายายแก่ก็ดูเหมือนจะไม่กล้าเอ่ยเท่าใดนัก
“ไป เอ่อ ไปกับคนของหอนางโลม เพราะก่อนนั้นนางก็ทำงานอยู่ในหอนางโลมในเมืองนี้แหละ”
ถ้อยคำของหญิงชราทำเอาซือซือถึงกับหน้าถอดสี ไม่คิดว่ามารดาตนจะตกอับจนกระทั่งขายร่างกายได้
“ไม่จริง ไม่จริง ท่านแม่ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นแน่” แม้ชีวิตจะยากลำบากเพียงใด ซือซือก็เชื่อว่ามารดาไม่มีทางยอมเสียศักดิ์ศรีขายเรือนร่างแลกเงิน
“ซือซือใจเย็นก่อนนะ อาจเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็ได้” เป็นเฟิงซีที่รีบลุกมาปลอบคนน้อง ซึ่งยามนี้ตัวสั่นเทา พร้อมกับหลั่งน้ำตาออกมาไม่ขาดสาย
“ท่านยายแล้วท่านได้ข่าวมู่ซือเหนียงอีกหรือไม่” ครานี้เป็นหมิงซีที่รีบเอ่ยถามถึงข่าวคราว
“ปีแรกที่นางไป ก็มีจดหมายมาบ้าง ทว่าสี่ปีแล้วที่นางไม่ได้ส่งสิ่งใดกลับมาเลย ข้าเองก็แก่แล้วฐานะก็ยากจน ไม่มีความสามารถจะติดตามข่าวนางได้ ยามนี้จึงไม่รู้ข่าวของซือเหนียงเลยเจ้าค่ะ” เอ่ยจบก็ยื่นจดหมายให้ ซือซือรีบรับมาเปิดออกดู ก่อนจะนิ่งไป เพราะเนื้อหาบอกเล่าถึงงานที่ทำว่าไปได้ดียิ่งนัก ทำเอาใจดวงน้อยแทบหยุดเต้น
‘เหตุใดท่านแม่จึงคิดสั้นทำงานเช่นนี้ ก่อนนั้นเลี้ยงดูเราอย่างยากลำบากเหตุใดนางทนได้ พอไม่มีเราไยนางต้องดิ้นรนถึงขั้นทำงานในหอนางโลม นางมีความรู้ติดตัวเย็บปักถักร้อยเป็น จะทำงานอย่างที่ท่านยายว่าได้อย่างไร' ครุ่นคิดอยู่เช่นนั้น จนแม่ทัพอดเป็นกังวลไม่ได้
“ซือซือ เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่านี่คือลายมือท่านแม่” เฟิงซีถามย้ำให้แน่ใจ หากใช่จะได้พานางเดินทางกลับเมืองหลวง ทุกคนจึงมองมาที่คนตัวเล็กเพื่อรอฟัง
“จะ จำไม่ได้เจ้าค่ะ แต่บนกระดาษนี้มีภาพวาด ท่านแม่ชอบวาดรูป นี่อาจจะเป็นลายมือของนางก็ได้” บอกเสียงเครือ นางจำลายมือมารดาไม่ได้จริง ๆ ยามนั้นซือซือก็เอาแต่เล่นเหมือนเด็กคนอื่น ๆ มีเรียนมารยาทบ้างบางครา แต่ก็น้อยนัก เพราะมารดาไม่ได้เคร่งครัด
“ใช่ๆ นางบอกว่าจะไปตามหาบุตรสาวที่พลัดพรากกัน แต่ข้าก็ไม่ได้ถามว่าอย่างไร” คนแก่ยังคงเอ่ยในสิ่งที่ตนรู้อีกอย่าง ทำให้ซือซือนิ่งไปอีกครา
“จริงหรือ? เช่นนั้นข้าจะไปตามหาท่านแม่ที่เมืองหลวง หากนางไปอยู่ที่หอนางโลมก็คงตามหาตัวได้ไม่ยากนัก ท่านแม่ทัพวันพรุ่งข้าขอเดินทางไปเลยได้หรือไม่” รีบเงยหน้าเอ่ยกับคนตัวโต
“ได้สิ พี่จะพาเจ้าเดินทางไปวันพรุ่ง” เฟิงซีเอ่ยกับคนตัวเล็กให้เบาใจ ก่อนจะโอบกอดนางไว้เพื่อปลอบประโลม ทว่าคนรอบข้างต่างก็กำลังหวั่นใจ หากมารดาของซือซือทำงานนี้จริง เรื่องที่ทั้งคู่จะแต่งงานกันคงเป็นไปได้ยากแล้ว ฮูหยินใหญ่และไทเฮาไม่มีทางยอมรับแน่
“หมิงซีตบรางวัลให้ท่านยายแล้วส่งนางกลับที” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยกับน้องชายตน ทว่าสายตาเขามันแฝงบางสิ่งเอาไว้ หมิงซีพยักหน้ารับก่อนจะพาหญิงชราออกจากจวน
“หากเรื่องเป็นเช่นนี้เราก็คงไม่ต้องสืบต่อแล้วกระมังท่านจะเดินทางกลับเมืองหลวงวันพรุ่งใช่หรือไม่ เช่นนั้นข้าน้อยขอฝากน้องสาวเดินทางไปด้วยนะขอรับ ให้ขบวนนางรั้งท้ายก็ได้ หากท่านแม่ทัพไม่อยากเห็นหน้านาง”
หรงจินเอ่ยอย่างถ่อมตน เกรงท่านแม่ทัพจะตำหนิที่เขาร้องขอเช่นนี้ ทว่าเขาก็ไม่วางใจที่จะให้น้องสาวเดินทางกับสำนักคุ้มภัยตามลำพัง กว่าจะถึงเมืองหลวงต้องใช้เวลาตั้งเกือบสี่วัน เขาจึงอดเป็นห่วงไม่ได้
“เหตุใดไม่ให้นางรอกลับไปพร้อมกับเจ้า อีกไม่นานก็ต้องย้ายกลับไปรับตำแหน่งใหม่ที่เมืองหลวงแล้วไม่ใช่หรือ แต่เอาเถอะหากนางตื่นทันขบวนข้าก็ถือว่าโชคดี ส่วนเรื่องเดินทางหากเกิดเรื่องอันใดขึ้นข้าไม่รับผิดชอบ” ตอบเพียงเท่านั้นก่อนจะช้อนอุ้มเอาร่างเล็กขึ้นแนบอก
“ขอบคุณท่านแม่ทัพขอรับ” คำนับอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม ก่อนจะมองตามแม่ทัพที่เดินออกไปจนลับตา