16. เก็บอาการ
ยามโหย่ว [17:00-18:58] หรงจินมาพบท่านแม่ทัพตามที่ถูกนัดหมาย ซึ่งเฟิงซีก็นั่งอยู่ในห้องโถงกับคนของเขา รวมถึงภรรยาที่แนะนำเมื่อช่วงบ่าย
“นี่คือนามของคนที่ข้าอยากให้ตามหา” เฟิงซียื่นกระดาษซึ่งมีรายชื่อของสตรีนางหนึ่ง ‘นามว่ามู่ซือเหนียง’
หรงจินอ่านดูพร้อมกับพินิจพิจารณา พยายามนึกว่าเคยได้ยินแซ่นี้จากที่ไหนหรือไม่ ทว่าจนแล้วจนรอดก็นึกไม่ออก ในเมืองหลวงก็ไม่เคยได้ยิน ในเมืองตูก็เช่นกัน
“คนผู้นี้เป็นใครหรือขอรับ คงไม่ใช่คนร้ายกระมัง”
ถามในสิ่งที่ตนสงสัย ก่อนจะมองดูกระดาษในมืออีกรอบ รายละเอียดอย่างอื่นก็ไม่มีเลย รู้เพียงว่านางเคยอาศัยอยู่ที่นี่ แต่อพยพออกจากเมืองตอนที่เกิดสงคราม
“มีเท่านี้แหละขอรับท่านเจ้าเมือง ซือซือจากที่นี่ไปตั้งแต่ยังเด็ก นางจำรายละเอียดไม่ได้ มีแค่ชื่อเมืองกับนามของมารดานางเท่านั้น” ลู่ถงเอ่ยกับท่านเจ้าเมือง
“นี่คือชื่อของมารดาฮูหยินท่านแม่ทัพหรือขอรับ เช่นนั้นข้าน้อยจะรีบจัดการให้โดยเร็วที่สุด” หรงจินรีบรับคำ ก่อนจะมองเลยไปยังสตรีตัวน้อยที่นั่งอยู่ข้างเฟิงซี นางงามจนเขาอดที่จะเหลือบมองไม่ได้จริง ๆ แม้จะเกรงบารมีของแม่ทัพกู้อยู่ก็เถอะ
“หมดธุระแล้วก็กลับไปเสีย รีบจัดการให้แล้วเสร็จ ข้ามีเวลาให้เจ้าเพียงสิบวันเท่านั้น” เปล่งเสียงเย็นออกมา พร้อมกับสายตาดุที่แม่ทัพหนุ่มมักใช้เป็นประจำยามเห็นว่ามีผู้แอบมองคนตัวเล็กของเขา เจ้าเมืองหนุ่มจึงรีบลุกขึ้นคำนับอย่างนอบน้อม ก่อนจะขอตัวกลับ
“เป็นเสือหรือเจ้าคะ ไยถึงชอบแยกเขี้ยวนัก” ผู้ที่นั่งดูเหตุการณ์เย้าในทันทีที่หรงจินเดินออกไปพ้นห้องโถง
“ก็พี่ไม่ชอบให้ใครมองเจ้านี่หน่า” บอกเสียงอ่อย สีหน้าท่าทางก็ราวกับเด็กที่กลัวถูกดุ ซือซือได้แต่ยิ้มเอ็นดูคนตัวโต หวังว่าเขาจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป
“ท่านแม่ทัพ คุณชายสามมาขอรับ” อินสือเดินเข้ามารายงาน ทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างก็พากันแปลกใจ ไม่คิดว่าหมิงซีจะมาที่นี่ได้ ทั้งที่เขาควรจะเดินทางกลับเมืองหลวงมากกว่า เพราะเฟิงซีสั่งให้จินหานแยกเดินทางกลับไปรายงานน้องชายของตนแล้ว
“เหตุใดคุณชายสามจึงมาที่นี่ได้ล่ะ” ลู่ถงเอ่ยกับฟูเล่อ
“นั่นสิ” อีกคนก็ตอบสั้น ๆ ก่อนจะหันไปที่หน้าประตู ร่างสูงสง่าขององครักษ์เกราะดำแห่งหน่วยมังกรทอง กำลังเดินเข้ามาพร้อมกับคนของเขาที่มีนับสิบ
“คารวะพี่ใหญ่” หมิงซีเอ่ยพร้อมกับคำนับพี่ชาย รวมถึงคนที่ติดตามเขามาก็ทำไม่ต่างกัน
“ตามสบายเถอะ เหตุใดเจ้าถึงได้มาที่นี่” เอ่ยถามเสียงเรียบตามปกติ พร้อมกับอาการหงุดหงิดที่เกิดขึ้นมาอีกรอบ เมื่อเห็นน้องชายเอาแต่จ้องคนตัวเล็ก แต่ไม่ตอบคำถามของเขาแม้แต่น้อย จนต้องถามย้ำ
“หมิงซี ข้าถามว่าเจ้ามาที่นี่ด้วยเหตุใด” น้ำเสียงกดต่ำอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาคนสนิทที่ยืนในห้องเริ่มอยู่ไม่สุข
“เอ่อ ขออภัยท่านพี่ ข้ามัวแต่มองซือซือ ไม่คิดว่านางจะงามขึ้นมากถึงเพียงนี้” คำตอบที่ได้มาไม่ได้ตรงกับคำถามเลยสักนิด ทำเอาแม่ทัพหนุ่มหงุดหงิดมากกว่าเดิม
“หากเจ้ายังไม่ตอบคำถามข้า ก็กลับเมืองหลวงไปเสีย” ครานี้ถ้อยคำของแม่ทัพดูดุดันยิ่งนัก
“เอ่อ บอกแล้ว บอกแล้วขอรับ ข้าจะมาช่วยซือซือตามหาแม่ของนาง” บอกสิ่งที่ตนตั้งใจ เพราะการตามล่ากลุ่มโจรเขาไม่สามารถทำได้แล้ว เพราะคนเหล่านั้นหนีออกไปนอกแคว้นแล้ว เป็นเรื่องยากที่จะตามไปจับ ยามนี้เขาจึงมีช่วงเวลาพัก จึงอยากมาช่วยสตรีผู้มีพระคุณ
“ขอบคุณใต้เท้านะเจ้าคะ ดีใจที่ได้พบกันอีกครา” เสียงหวานเอ่ยบอก ก่อนจะเผยยิ้มให้ตามปกติที่เคยทำ ทว่าคนข้างกายกลับทำหน้าบึ้งใส่
“ข้าก็ดีใจที่ได้พบเจ้าอีก สบายดีใช่หรือไม่ คำพูดคำจาของเจ้าดูเหมือนคนในยุคนี้แล้ว ดีจริง” หมิงซีเดินมานั่งใกล้กับคนตัวเล็ก ดีใจที่นางยังจดจำเขาได้
ทั้งสองพูดคุยถามไถ่จนลืมดูสีหน้าของแม่ทัพหนุ่ม ซึ่งยามนี้นั่งหน้าบึ้งตึงมองน้องชายและคนตัวเล็กสลับกันไปมา หากเป็นคนอื่นเขาคงจะไล่ตะเพิดไปแล้ว ทว่าหมิงซีเป็นน้องชายเพียงคนเดียวของตน อีกอย่างสองคนนี้ก็เคยมีบุญคุณต่อกันมาก่อนจะพบเจอเขา
ไม่รู้ว่ามีความสนิทสนมกันมากเพียงใด จึงเป็นเรื่องยากที่จะห้ามทั้งคู่ สำคัญไปกว่านั้น ซือซือไม่เคยแสดงท่าทีอันใดกับเขา ที่นางยอมก็คงเพราะขัดไม่ได้ เพราะเฟิงซีเอาแต่บังคับ และเป็นฝ่ายเข้าหาเอง โดยไม่ใส่ใจสักนิดว่าคนตัวเล็กจะรู้สึกเช่นใด นึกมาถึงตรงนี้เขาก็มีสีหน้าหม่นลง
“ว่าแต่สืบเรื่องของแม่เจ้าไปถึงไหนแล้ว” หมิงซีรีบถาม ซึ่งคนสนิทเขาก็มายืนรายล้อมอยู่เช่นกัน เพราะต่างก็อยากรู้ความเป็นไปของนางคนที่เคยช่วยพวกเขาไว้
“เราพึ่งมาถึงเมื่อบ่ายนี้เองเจ้าค่ะ ยังไม่ได้ออกตามหาหรือสืบข่าวอันใดเลย อีกอย่าง ที่นี่เปลี่ยนไปมาก ข้าจำสิ่งใดไม่ได้เลย” บอกตามตรง ก่อนจะยิ้มแห้ง
“แย่จริง ไม่เป็นไร วันพรุ่งข้าจะช่วยสืบข่าวอีกแรง ที่นี่ไม่ใช่เมืองใหญ่อันใดนัก ไล่ถามไปทุกหลังคาเรือน คาดว่าภายในห้าวันต้องได้เรื่อง” บอกอย่างที่คิด ก่อนจะยิ้มอบอุ่นส่งให้สตรีตัวน้อย นางเองก็ทำไม่ต่างกัน
“ดูหน้าท่านแม่ทัพสิ” อินสือหันมากระซิบกับสหาย
“นี่ถ้าเป็นคนอื่นยามนี้คงได้ตะเบงเสียงไล่ตะเพิดไปแล้วกระมัง” ลู่ถงเอ่ยขึ้นเบา ๆ
“แต่ข้าว่าตอนนี้คงเป็นเจ้าสองคน” ฟูเล่อเอ่ยจบก็ถอยห่างออกจากสหายทั้งสอง พร้อมกับนึกขันทั้งคู่
“เจ้าสองคนออกไปสืบข่าวสักชั่วยามแล้วค่อยกลับมา” เสียงเย็นดังขึ้น ทำเอาผู้ที่กำลังพูดคุยกับสตรีตัวน้อยถึงนิ่งงัน
โดยเฉพาะคนสนิทของหมิงซี ที่รู้กิตติศัพท์ของคุณชายใหญ่ดีพอ ๆ กับเหล่าสหายที่เดินคอตกออกจากห้องโถง ทำให้จางเจาและเจิ้งเทาขอตัวออกไปช่วยเสียเลย หากอยู่ต่อไม่แน่อาจจะได้รับคำสั่งไปเลี้ยงม้าแทน
“ไม่หิวหรือ ไหนบอกอยากออกไปเดินเล่นในตลาด หรือคุยจนอิ่มแล้ว” ถ้อยคำประชดประชันเปล่งออกมาจากผู้ที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด ทำเอาคนที่ยังอยู่ถึงกับเกรงตาม คงมีแค่สตรีตัวน้อยกระมังที่เผยยิ้ม
“หิวแล้วเจ้าค่ะ” ตอบคำถามเขาก่อนจะยิ้มบางส่งให้ ทำเอาคนที่หน้าบึ้งอยู่ถึงกับคลายปมคิ้วในทันที
“เช่นนั้นเราไปกินที่หอชิงหมิ่งกันเถอะ ได้ยินว่าที่นั่นมีอาหารเลื่องชื่อมากมาย ไปเถอะซือซือ” ว่าพร้อมกับเอื้อมมือจะจับแขนเล็กให้ลุกขึ้น ทำเอาผู้พี่ถึงกับชะงัก สีหน้าเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงอีกรอบ
“ข้าเดินเองได้เจ้าค่ะ” ซือซือรีบตัดปัญหา
นางไม่รู้ว่าหมิงซีคิดอันใด ทว่าสิ่งหนึ่งที่รู้คือแม่ทัพกู้สารภาพความรู้สึกกับนางแล้ว เพราะฉะนั้นตนจะไม่สร้างเรื่องผูกปมให้พี่น้องแคลงใจกันเด็ดขาด แม้ตนจะยังไม่แน่ใจในความรู้สึกที่มีต่อท่านแม่ทัพ ทว่าสิ่งที่เชื่อได้คือนางไม่ได้คิดอันใดกับหมิงซี เห็นเขาเป็นเพียงเพื่อนเท่านั้น
“ไม่ไปหรือเจ้าคะ” หันมาถามคนตัวโตที่นั่งเงียบไม่ยอมลุก และยังส่งสายตาตัดพ้อมาให้นางอีก มือเล็กจึงยื่นออกมากุมมือเขารั้งให้ยืนขึ้น เพียงเท่านั้นแม่ทัพหนุ่มก็เผยยิ้มจนน่าหมั่นไส้ ทำเอาหมิงซีชะงักไปครู่หนึ่ง
“รีบเถอะท่านพี่ ข้าเดินทางมายังไม่ได้กินสิ่งใดเลย” เอ่ยกับพี่ชายก่อนจะหันหลังให้แล้วเดินนำไปก่อน ทว่าสีหน้าเปื้อนยิ้มเมื่อครู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นหม่นลง
“ข้าน้อยบอกแล้วว่านางพิเศษต่อท่านแม่ทัพ” จินหานเอ่ยกับผู้เป็นนาย ในขณะที่ยืนรอที่หน้าจวน