15. คาดหวัง
ซือซือได้แต่นิ่งงันกับคำพูดของแม่ทัพหนุ่มที่เอ่ยออกมา ดูจากแววตาที่สื่อความรู้สึกนางก็ยิ่งหน้าแดง ใครจะคิดว่าบุรุษปากร้ายเช่นเขา พอคลั่งรักจะกลับตาลปัตรได้ถึงเพียงนี้ น้ำเสียงก็อ่อนโยน ทำเอาคนไม่เคยมีความรักเหมือนกันถึงกับทำตัวไม่ถูก
จากวันนั้นแม่ทัพกูู้ก็ต่างออกไปจากเคย เขามักจะเผยยิ้มออกมาให้เห็นยามที่อยู่กับคนตัวเล็ก จนคนสนิทต่างก็พากันชินชา จนกระทั่งเดินทางมาถึงเมืองตู ทว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปมาก คงเพราะตกเป็นเมืองขึ้นของต่างแคว้น
“เจ้าพอจะจำได้หรือไม่ว่าเรือนของเจ้าอยู่ที่ใด” เสียงทุ้มเอ่ยถามคนตัวเล็กซึ่งยามนี้พวกเขายืนอยู่ที่หน้าประตูเมือง เพื่อไถ่ถามสตรีที่มาตามหามารดดา จะได้รู้ว่าต้องไปทิศทางไหนต่อหลังจากนี้
ใบหน้างามเงยขึ้นมองอีกฝ่าย ก่อนจะยิ้มแหยส่งให้ ตอนนั้นซือซือยังเด็กนัก และย้ายมาอยู่ที่นี่ยังไม่ถึงปีด้วยซ้ำ นางไม่เคยได้ออกไปไหนเลยเพราะมารดาไม่อนุญาต บางครั้งยังคิดว่าท่านแม่ของตนต้องทำเรื่องผิดอันใดมาตามประสาเด็ก เพราะผู้เป็นแม่ชอบปิดบังอำพรางตน
“จำไม่ได้เจ้าค่ะ” ตอบเสียงเบา ก่อนจะมองไปยังประตูเมืองซึ่งอยู่ในความทรงจำส่วนหนึ่ง เพราะนี่คือภาพสุดท้ายที่จำได้ก่อนสงครามจะปะทุขึ้น
“ไม่เป็นไร เจ้าแค่บอกแซ่สกุลเจ้ามาก็เท่านั้น เดี๋ยวข้าจะให้ท่านเจ้าเมืองจัดการเอง” เฟิงซียังคงเปล่งเสียงทุ้มอ่อนโยนกับคนตัวเล็ก ทว่านางยังไม่ตอบอันใดเลยสักนิด เสียงเรียกของใครบางคนก็ดังมาจากด้านหลังเสียก่อน
“ท่านแม่ทัพ นั่นท่านจริง ๆ หรือเจ้าคะ” เสียงหวานร้องเรียก แม้จะเห็นเพียงแผ่นหลังของเขานางก็จำได้ดี
ทุกคนหันไปตามเสียงเรียก พร้อมกับชะงักงันเมื่อรู้ว่าเป็นผู้ใดที่เรียกขานผู้เป็นนาย สายตาว่างเปล่าถูกส่งไปยังสตรีตัวน้อยที่กำลังตรงเข้ามา ถึงกระนั้นนางก็ยังไม่ใส่ใจ
“ดีใจเหลือเกินที่พบท่านแม่ทัพที่นี่ ชินหลิงคิดว่าจะไม่ได้พบท่านอีกแล้ว” บอกเสียงตื่นเต้น
“ข้าก็ไม่คิดว่าจะพบกับเจ้าอีก” บอกเสียงเย็นชา ก่อนจะเอื้อมมือมากุมมือเล็กของผู้ที่ยืนอยู่ข้างกาย ทำเอาผู้มาใหม่ถึงกับกำมือแน่นเมื่อเห็นท่าทีเอาใจใส่ของแม่ทัพหนุ่ม ที่มีต่อสตรีใบหน้างดงามนางนี้
“คาราวะท่านแม่ทัพ ขออภัยที่น้องสาวข้าน้อยเสียมารยาทขอรับ” บุรุษผู้นี้คือเกาจินหรง เจ้าเมืองคนใหม่ที่ประจำการได้ไม่นาน ทว่าสายตาเขาก็อดไม่ได้ที่จะเบี่ยงมองมายังร่างเล็กที่ยืนอยู่ข้างกายท่านแม่ทัพ เพราะใบหน้าหวานนี้ดึงดูดได้ดียิ่ง
“นี่ภรรยาข้า อย่าได้เสียมารยาท” เสียงเย็นเปล่งออกมา พร้อมกับสายตาคมดุจ้องมองเจ้าเมืองหนุ่มโดยไม่ปิดบัง ทำเอาเหล่าคนสนิทรวมถึงซือซือต่างก็เป็นงง ใครจะคิดว่าเขาจะแนะนำฐานะนางกับคนอื่นเช่นนี้ ช่างเป็นคนฉวยโอกาสที่ชอบมัดมือชกเหลือเกิน
“พะ ภรรยา นี่ท่านแม่ทัพแต่งงานตั้งแต่เมื่อใดกัน เราพึ่งแยกจากกันเมื่อสองเดือนก่อนเองนะ ท่านบอกว่าจะไปตรวจตราค่ายที่ชายแดนตะวันตกไม่ใช่หรือ แล้วจะแต่งงานได้เยี่ยงไร ข้าเองก็มาจากเมืองหลวง ยังแวะไปคารวะฮูหยินใหญ่อยู่เลย เหตุใดข้าจึงไม่รู้ข่าวล่ะเจ้าคะ”
ชินหลิงแผดเสียงถามโดยไม่คำนึงเลยสักนิดว่ายามนี้ยืนอยู่ที่หน้าประตูเมือง ซึ่งมีผู้คนเดินไปมามากมาย
“ชินหลิงอย่าเสียมารยาท” หรงจินรีบห้ามน้องสาวทันที เพราะฐานของสกุลตนไม่อาจเทียบกับแม่ทัพหนุ่มได้ เพราะเขาเป็นถึงพระปิตุลาของฮ่องเต้ ซึ่งเป็นน้องชายของไทเฮาด้วย คนตรงหน้ามีอำนาจยิ่งใหญ่กว่าพวกตนมาก
“ขออภัยขอรับท่านแม่ทัพ” หรงจินเอ่ยบอกอย่างนอบน้อม เขาไม่อยากมีปัญหากับอีกฝ่าย
“อบรมนางให้ดี ที่สำคัญไม่ต้องเอาหน้ามาให้ข้าเห็นได้ยิ่งดี อย่าหาว่าข้าไม่เตือน” เสียงกดต่ำดังมาจนน่าขนลุก และอับอายไปพร้อมกัน
“นั่นสตรีนะ ไยท่านต้องพูดจาแรงเพียงนี้ด้วย” ซือซือตำหนิเขาเบา ๆ พร้อมกับบิดนิ้วที่ยังกุมมือตน
“เจ็บนะเมียจ๋า” ส่งเสียงออดอ้อนใส่คนตัวเล็กทันที ทำเอาซือซือถึงกับทำหน้าไม่ถูก ต้องรีบแหวใส่แก้เขิน
“ใครเป็นเมียท่าน พูดเองเออเองทั้งนั้น” พูดจบก็เดินหนีไปที่ประตูเมือง โดยมีแม่ทัพหนุ่มก้าวตามไปติด ๆ
“อีกไม่นานก็ได้เป็นแล้ว” โน้มหน้าลงมากระซิบเอ่ยข้างหูสตรีอันเป็นที่รัก ใบหูของซือซือแดงเรื่อขึ้นทันที
“อินสือ ช่วงค่ำนัดแนะกับหรงจินให้มาพบข้าที่เรือนด้วย ข้าจะมอบหมายงานให้เขาทำ” เฟิงซีหันมาสั่งคนของตน โดยที่มือเขาได้ยื่นไปรั้งแขนคนตัวเล็กไว้
เกรงนางจะเดินไปทั่วจนเกิดพลัดหลงกัน เพราะวันนี้ดูเหมือนในเมืองจะมีงาน ผู้คนถึงได้คึกคักตั้งแต่หัววัน
“ช้าหน่อย ประเดี๋ยวก็หลงทาง ข้าไม่อยากปิดเมืองตามหาเจ้านะ” บอกสิ่งที่เขาจะทำแน่ หากคนตัวเล็กหายไป ใบหน้าหวานหันขวับกลับมาทันที
“คนบ้าอำนาจ” ต่อว่าเขาเช่นที่เคยทำทุกครา และแม่ทัพหนุ่มก็ยอมให้ทุกครั้ง พร้อมกับยิ้มใส่จนน่าหมั่นไส้
“มันเป็นใคร พี่ต้องจัดการให้ข้านะ ข้าเกลียดมัน” ชินหลิงเอ่ยกับพี่ชายที่ยามนี้นั่งอยู่บนรถม้าด้วยกัน นางกำลังเปิดผ้าม่านออกมาดูแม่ทัพหนุ่มที่ตนมีใจให้มาตั้งแต่ยังไม่ทันปักปิ่น ทว่ายามนี้เขากลับบอกว่ามีภรรยาแล้ว
“พี่ก็อยู่กับเจ้า จะรู้ได้เยี่ยงไรว่าสตรีงามผู้นั้นเป็นใคร หากท่านแม่ทัพบอกว่านางคือภรรยา ก็คงไม่ผิดไปจากที่เอ่ยหรอก” ตอบเสียงเรียบ เขาเองก็นึกเสียดาย เพราะนางหน้าตางามยิ่งนัก เมืองติดชายแดนเช่นนี้ จะหาสาวงามถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก
“ท่านพี่ไยท่านต้องชื่นชมนางด้วย” ตำหนิพี่ชายด้วยเสียงขุ่น พร้อมกับท่าทีไม่กระฟัดกระเฟียด ทว่ายังไม่ทันที่เจ้าเมืองหนุ่มจะเอ่ยปลอบอันใดน้องสาว รถม้าก็หยุดลงเสียก่อน พร้อมกับรายงานจากคนของเขา
“นายท่านคนของท่านแม่ทัพมาขอพบขอรับ”
หรงจินลงมาหาผู้ที่ยืนรออยู่ด้านล่าง เขาพูดคุยกับอินสืออยู่พักหนึ่ง ไม่นานก็กลับขึ้นรถม้า
“คนของท่านแม่ทัพว่าอย่างไรหรือท่านพี่” ชินหลิงรีบถามทันทีที่พี่ชายนั่งลง อยากรู้ว่าเกี่ยวกับตนหรือไม่ ไม่แน่ว่าแม่ทัพอาจจะเปลี่ยนใจ ไม่สั่งห้ามนางไปหาเขาแล้ว
“สั่งให้พี่ไปพบค่ำนี้ เห็นว่ามีเรื่องให้ทำ” บอกเพียงเท่านั้น คนที่รอฟังข่าวดีถึงกับหน้าหงอย เพราะสิ่งที่หวังไม่เป็นเช่นที่คิด จึงได้แต่นั่งหน้าเศร้าจนกระทั่งถึงจวน
ด้านกลุ่มของแม่ทัพกู้ ยามนี้เดินทางมาถึงเรือนพักทางทิศเหนือของเมืองแล้ว ที่นี่อยู่บนเชิงเขา สามารถมองเห็นบ้านเรือนด้านล่างได้ชัดเจน
ซือซือยืนอยู่บนระเบียงชั้นสอง มองทอดยาวไปตามมุมต่าง ๆ หวังว่าจะเห็นสถานที่สักแห่งที่คุ้นตา ทว่านางก็จากไปนานเหลือเกิน ไหนจะตกเป็นเมืองขึ้นของต่างแคว้นอีก จึงทำให้บ้านเรือนถูกสร้างใหม่เกือบทั้งหมด เพราะยามนั้นที่นี่ถูกเผาจนบ้านเรือนเสียหาย
“ไม่คุ้นตาเลยสินะ” เสียงทุ้มเอ่ยจากด้านหลัง พร้อมกับกอดรัดเอาไว้ด้วย แต่ครานี้คนตัวเล็กไม่ได้มีท่าทีขัดขืน
“ตอนเด็กข้าไม่เคยได้ออกไปไหนเลย พอได้ออกไปก็เป็นวันที่เราต้องอพยพหนีสงคราม ก่อนขึ้นเรือก็เสียท่านพ่อและพี่ชายไปแล้ว มีเพียงท่านแม่และบ่าวอีกห้าคนที่ติดตามไป ใครจะคิดว่าเหตุการณ์ประหลาดนั้นจะเกิดขึ้น จนทำให้ข้าพลัดพรากจากท่านแม่ไปไกลแสนไกล ยามนี้ก็ไม่รู้นางเป็นหรือตายกันแน่” เอ่ยในสิ่งที่พอจะจำได้
“ไม่ต้องห่วง มีข้าอยู่ เจ้าจะต้องได้เจอท่านแม่ยายแน่” เฟิงซียังไม่วายกล่าวชี้ทางให้ตนเอง ซือซือจึงได้แต่ขำกับคำพูดของเขา ที่มักจะชงช่องทางให้ตนเองเสมอ