14. ยิ่งกว่าหวง
หญิงวัยกลางคนออกไปแล้ว ซือซือจึงนั่งอยู่ในห้องเพียงลำพัง แม่ทัพหนุ่มคงคุยอยู่กับคนของเขา ตั้งแต่พบกับจินหาน เฟิงซีก็สั่งห้ามคนของตนเข้าห้องก่อนได้รับอนุญาต จะหารือก็ออกไปคุยข้างนอก
ซือซือก็พึ่งจะรู้ว่าเป็นเพราะเขาไม่ชอบใจที่คนสนิทเอาแต่จ้องมองนาง ไม่คิดว่าแม่ทัพผู้เลื่องชื่อจะกลายเป็นคนขี้หวงไปได้ ทั้งที่ตนและเขาพึ่งจะพบกัน ที่หนักไปกว่านั้นคือเขายังสารภาพความรู้สึกที่มีต่อนางด้วย
ประตูถูกเปิดออกตามมาด้วยเสียงพูดคุยดังมาให้ได้ยิน ก่อนที่ร่างสูงของแม่ทัพหนุ่มและคนสนิททั้งสี่จะเดินเข้ามา ร่างเล็กซึ่งนั่งอยู่ริมหน้าต่างจึงลุกขึ้นมองพวกเขา
“ให้คนของเราตามไปสืบข่าวที่แคว้นต้าเว่ย หากมีโอกาสก็ลงมือกับพวกมันเสีย จำไว้ อย่าทำการประมาทเด็ดขาด พวกมันมีอาวุธร้ายอย่าลืมเสียล่ะ” สั่งคนของตนในขณะที่เดินเข้ามา โดยไม่ทันสังเกตคนตัวเล็ก เพราะเขามัวแต่พูดคุยกับคนสนิท ทว่า! ฟูเล่อ อินสือ ลู่ถง จางเหวิ่นก็เอาแต่มองไปยังหน้าต่าง ซึ่งมีสตรีร่างเล็กยืนอยู่
แสงแดดยามค่ำสาดส่องเข้ามาสะท้อนใบหน้างาม นางกำลังเผยยิ้มใส่ทุกคนเช่นทุกวัน เพียงแต่คิ้วสวยได้ย่นเข้าหากันด้วยความฉงน เพราะสายตาแต่ละคนจับจ้องนางเหลือเกิน สุดท้ายก็เกิดอาการประหม่าจนได้
เฟิงซีมองตามสายตาของคนสนิท จึงได้เห็นว่าคนตัวเล็กยืนอยู่ริมหน้าต่าง เพียงเท่านั้นอาการหงุดหงิดก็แทรกเข้ามา ก่อนจะเดินไปหาร่างเล็กและใช้ตนเองยืนบัง องครักษ์ทั้งสี่ถึงกับหน้าเจื่อน เมื่อเห็นท่าทีของผู้เป็นนาย ซึ่งยามนี้ยิ่งกว่าจงอางหวงไข่เสียอีก
“ท่านแม่ทัพข้าหิวแล้ว” เสียงหวานเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นอาการของคนตัวโต พร้อมกับวางมือที่แผ่นหลังเขา ลูบขึ้นลงเบา ๆ และมันก็เป็นผลเมื่อคิ้วหนาที่ผูกกันอยู่คลายออก พร้อมกับหันมาหาคนตัวเล็กที่ยืนมองเขาตาปริบ ๆ
“หิวแล้วหรือ เช่นนั้นข้าจะให้คนยกขึ้นมา หรืออยากออกไปกินข้างนอก เมืองนี้มีเหลาที่เลื่องชื่อ อยากไปชิมหรือไม่” น้ำเสียงที่เขาใช้กับคนตัวเล็กอ่อนโยนยิ่งนัก ทำเอาคนสนิทถึงกับคว่ำปากใส่แผ่นหลังผู้เป็นนายทันที
“ข้าไม่คิดเลยว่าท่านแม่ทัพจะกลายเป็นคนเช่นนี้” อินสือป้องปากเอ่ยกับสหายเบา ๆ
“นั่นสิ พอได้รู้ว่าตนชอบพอนาง ดูเหมือนจะอาการหนักกว่าสองสามวันก่อนเสียอีก” ลู่ถงกระซิบกลับ ทว่าสหายอีกคนอย่างฟูเล่อกลับยืนเงียบ เพราะรู้สึกเศร้าใจอยู่ไม่น้อย ทว่าเขาก็ยินดีที่เห็นสตรีที่ตนพึงใจมีคนดีดูแล
“เจ้าก็ดูเอาเถอะ แม่นางซือซืองดงามและน่าทะนุถนอมเพียงนี้ เป็นข้าก็คงจะหวงไม่ต่างกันหรอก” จางเหวิ่นเอ่ยขึ้นบ้าง ก่อนจะรีบหุบปากยืนนิ่ง เพราะผู้เป็นนายหันกลับมาแล้ว พร้อมกับออกคำสั่งด้วย
“ไปเตรียมตัว เราจะออกไปหาอะไรกินข้างนอก ไปแค่พวกเจ้าก็พอ ที่เหลือให้อยู่เฝ้าที่นี่” สั่งแล้วก็ใช้สายตากดต่ำมองคนสนิททั้งสี่ แต่ละคนจึงได้แต่อมยิ้มก่อนจะเดินออกไป ไม่รู้ว่าตนต้องรออยู่ด้านล่างนานแค่ไหน ดูท่าผู้เป็นนายคงอยากใช้เวลาอยู่กับแม่นางน้อยมากกว่า
เสียงประตูปิดลง มือเรียวของแม่ทัพหนุ่มก็เริ่มเป็นปลาหมึก ยกขึ้นมาโอบเอวคอดไว้ อีกข้างก็วางอยู่ที่ไหล่นาง ลูบไปมาจนคนตัวเล็กถึงกับขนแขนตั้งชัน ดวงตาสวยได้แต่กะพริบถี่มองใบหน้าคมคายที่เอาแต่จ้องนาง
“เจ้างามมากเลยรู้หรือไม่ ข้าอยากขังเจ้าไว้ไม่ให้ใครเห็นเสียแล้วสิ” บอกสิ่งที่คิด ก่อนจะยิ้มกริ่มใส่นาง จนแก้มเนียนใสขึ้นสีเรื่อน่ามองยิ่งกว่าเดิม
“ฮึ่ม ซือซือเจ้าน่ารักยิ่ง” ไม่เอ่ยเปล่า ทว่ามือที่วางบนไหล่ยังเคลื่อนไปรั้งท้ายทอยคนตัวเล็กให้แหงนขึ้น ก่อนจะแนบริมฝีปากลงประกบบนความนุ่มหยุ่นของเรียวปากนาง
ดวงตากลมเบิกกว้างทันที ไม่คิดว่าแม่ทัพหนุ่มจะทำการอุกอาจกับตนถึงเพียงนี้ มือเล็กยกขึ้นทุบตีเขาเป็นพัลวัน ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่คิดจะปล่อย มิหนำซ้ำยังสอดแทรกลิ้นอุ่นเข้าไปด้านใน ควานหาความหวานละมุน จนคนต่อต้านเริ่มอ่อนละทวย
ยิ่งถูกปลายลิ้นสากตวัดไปมาจนประสานสัมผัสกัน ความวาบหวามก็ยิ่งเพิ่มพูน ชักพาให้คนตัวเล็กคล้อยตามโดยง่าย แม้จะไม่ประสานัก ทว่าสัมผัสดุดันและอ่อนโยนในบางครา มันก็ทำให้ซือซืออ่อนแรงยอมตามเขาไป จนแม่ทัพหนุ่มพอใจจึงได้ถอนริมฝีปากออกเสียเอง
“ปากเจ้าหวานยิ่งนักซือซือ” บอกโดยที่ใบหน้าก็ยังอยู่ใกล้กันแค่ปลายจมูก มือเขายกขึ้นมาประคองแก้มเนียน ซึ่งยามนี้แดงยิ่งกว่าลูกตำลึงไปแล้ว
“คนฉวยโอกาส เหตุใดถึงชอบรังแกข้านัก” ตำหนิเสียงเบา ก่อนจะพยายามเบี่ยงหน้าหนี
“คงเป็นเพราะข้าชอบเจ้ามากกระมัง จึงอดใจไม่ได้ยามที่เราอยู่ใกล้กัน” บอกตามจริง เขาไม่อยากปิดบังความรู้สึกอีกแล้ว “ข้ารู้ว่ามันเร็วไปที่จะเอ่ย ทว่าข้ารู้สึกเช่นนี้จริงๆ นะซือซือ” เฟิงซีเกรงว่านางจะกังวลเรื่องเวลา
“ข้าเป็นสตรีไม่มีหัวนอนปลายเท้า ท่านรับได้หรือ แล้วครอบครัวท่านล่ะ” ถามเขาเสียงเบา อยากเบี่ยงหน้าหนีแต่ก็ถูกมือเรียวตรึงไว้ จึงต้องเงยหน้าสบตาเขา
“เจ้าคือสตรีที่ข้าชอบ ต่อให้เป็นเพียงขอทานเช่นที่ข้ามองเจ้าในคราแรก ข้าก็ยังชอบเจ้าอยู่ดี ไม่เช่นนั้นจะเอาสตรีตัวเหม็นสาบไปนอนกอดทุกคืนหรือ” ประโยคสุดท้ายเอ่ยเย้านางก่อนจะยิ้มกริ่ม คนตัวเล็กจึงค้อนขวับเข้าให้
“ข้าไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด รู้เพียงว่ามีเจ้าอยู่ข้าอุ่นใจยิ่งนัก เหมือนได้บางสิ่งที่ขาดหายกลับคืนมา” บอกในสิ่งที่คิด และคนตัวเล็กก็รู้สึกไม่ต่างกันนัก
นางเองก็แปลกใจไม่น้อย เหตุใดตนถึงยอมเขาง่ายนัก ทั้งที่สามารถหนีก็ได้ หรือต่อว่าเขาไม่ก็ขัดขืนให้เต็มที่กว่านี้ ทว่าซือซือไม่เคยทำมันได้เลย พอถูกอีกฝ่ายเข้าหาใจดวงน้อยก็อ่อนยวบลงยอมให้เขาทำตามใจตลอด
“หาแม่ของเจ้าพบ ข้าจะขอเจ้ากับนาง เราจะแต่งงานกันนะ เจ้าจะต้องเป็นฮูหยินของข้า” บอกเสียงหนักแน่นกับคนตัวเล็ก ดวงตาสวยโตขึ้นทันที ไม่คิดว่าแม่ทัพหนุ่มจะเอ่ยวาจาจริงจังเพียงนี้
“ท่านแน่ใจหรือ” ถามเขาเบา ๆ
“แน่สิ ข้าแม่ทัพกู้เฟิงซีนะ” บอกอย่างภูมิใจในฐานะตำแหน่งของตน ทุกคนต่างก็รู้ว่าเขายึดถือคำพูดเพียงใด
“น่าเสียดายที่ในบันทึกไม่เคยเอ่ยถึงนิสัยและเรื่องครอบครัวของท่าน ไม่เช่นนั้นข้าคงรู้ว่าท่านเป็นคนเช่นไร จะได้หาทางเลี่ยงทัน” กล่าวกับเขาก่อนจะมองค้อนไปหนึ่งที เพราะอดหมั่นไส้กับท่าทีมั่นหน้าของคนตัวโต ที่เริ่มจะเผยออกมาให้เห็นมากขึ้นทุกวัน
“ข้าก็เป็นเช่นนี้กับเจ้าผู้เดียว เกิดมายังไม่เคยเข้าหาสตรีเลยสักครั้ง เลยไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไร เมื่อเช้าที่เจ้าตำหนิ ข้าก็กลัวเจ้าจะรังเกียจและโกรธ จึงได้หารือกับสามคนนั้น ถึงได้รู้ว่าตนเองชอบเจ้ามากจึงได้มีท่าทีเช่นนี้ เรื่องรักใคร่ ข้ามันไม่ประสาจริง ๆ คิดสิ่งใดก็ทำออกมาเลย ขอโทษนะ” ร่ายยาวบอกสิ่งที่ตนเป็น
ซือซือมองเขาอย่างไม่เชื่อ นี่เป็นรอบที่สองแล้วที่เขาสารภาพกับนางถึงการกระทำที่ผ่านมา ยิ่งไปกว่านั้นคำพูดเขามันก็น่าเอ็นดูยิ่งนัก เขาก็ดูไม่ประสาจริง ๆ นั่นแหละ
“รู้แล้วเจ้าค่ะ” ตอบเขาเพียงเท่านั้น เพราะยามนี้นางอายจนไม่รู้จะทำเช่นไรแล้ว มีบุรุษรูปงามสารภาพรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใครมันจะทำหน้านิ่งได้ลง
“ออกไปหาอะไรกินกันเถอะ จะได้กลับมาพักผ่อน วันพรุ่งจะได้เดินทางแต่เช้า ข้าอยากเจอท่านแม่ยายไวไว จะได้ขอลูกสาวนางมาเป็นภรรยาเสียที ถึงยามนั้นข้าจะไม่ทำแค่จูบเจ้าแน่” บอกพร้อมกับส่งสายตากรุ่มกริ่มให้นาง