13. ใกล้เกินไป ก็หวั่นไหว
ผ่านไปหนึ่งเค่อ ซือซือก็ออกจากถังน้ำลงมาเช็ดตัวจนแห้ง มีผ้าผืนบางห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ เพราะมัวแต่พินิจพิจารณาอาภรณ์ที่คนสนิทแม่ทัพซื้อมาให้ จึงทำให้ล่าช้า
“สีสวยดีแฮะ เนื้อผ้าก็นุ่มเชียว”
“มัวแต่ชื่นชมอยู่นั่นแหละ รีบใส่ไวไว ข้าจะได้อาบน้ำบ้าง” เสียงเรียบเปล่งมาจากร่างสูงที่ยืนพิงผนัง สายตาเขากรุ่มกริ่มยิ่งนัก ใบหน้าหวานเห่อร้อนขึ้นมาทันที เมื่ออีกฝ่ายมองตนอย่างเปิดเผย ปกติเขาไม่ได้ทำกิริยาเช่นนี้เลย
“ออกไปนะ ไม่เห็นหรือว่าข้าแต่งกายไม่เรียบร้อย”
“เห็นนานแล้ว” คนตัวโตตอบหน้าตาย พร้อมกับเดินเข้ามาหาด้วย ทำเอาผู้ที่ยังมีเพียงผ้าห่อหุ้มตัวรีบหันหลังให้ทันที เพราะอายที่อีกฝ่ายมองด้วยสายตาโลมเลีย
“ออกไปนะท่านแม่ทัพ ท่านจะรังแกข้าไปถึงไหน เห็นว่าข้าไม่มีพ่อแม่ อยากทำสิ่งใดก็ได้กระนั้นหรือ ข้าอาภัพเพียงนี้ ท่านเป็นแม่ทัพผู้สูงส่ง เหตุใดจึงไม่มีใจสงสารสตรีที่พลัดหลงไปต่างบ้านต่างยุคบ้าง ได้กลับมาอีกครั้งก็เจอแต่เรื่องอันตราย อยู่กับท่าน ท่านก็เอาแต่รังแกกัน…ฮึก”
ไหล่ขาวเนียนสั่นไหวเพราะแรงสะอื้นไห้ น้ำเสียงที่ต่อว่าเขาก็สั่นเครือไม่ต่างกัน มันจริงเช่นที่นางเอ่ย ตั้งแต่กลับมายังยุคโบราณอีกครา ซือซือเจอแต่ความยากลำบาก หลงอยู่ในป่าเกือบห้าวัน หากไม่ได้ยินเสียงปืนที่ต่อสู้อยู่ไกล ๆ ไม่รู้นางจะหาทางออกเจอหรือไม่
ต่อมาก็ออกเดินทางตามหามารดา แม้จะพบเจอผู้คนอยู่บ้าง ทว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพูดคุยกัน เพราะส่วนมากก็มีแต่บุรุษกลัดมันเท่านั้นที่พบเห็น
เมื่อมาเจอกลุ่มของแม่ทัพกู้ เขาก็เอาแต่กักขังหน่วงเหนี่ยวนางไว้ให้อยู่ข้างกายเช่นนี้ และตอดเล็กตอดน้อยอยู่เป็นประจำ ทั้งที่ปากก็มักจะพูดราวกับรังเกียจตนนักหนา แต่เหตุใดแต่ละวันถึงเอาตัวเข้าใกล้นางตลอด
“ขะ ข้าขอโทษ แค่จะเข้ามาช่วยเจ้าแต่งตัว แล้วข้าก็พึ่งมา ไม่ได้มาแอบดูอย่างที่เจ้าคิด” น้ำเสียงเขาอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด และเป็นคราแรกที่กู้เฟิงซีเอ่ยขอโทษ ก่อนมือเรียวจะวางลงบนไหล่รั้งนางให้หันกลับมา
ทว่าแม่ทัพหนุ่มหลับตาไว้ คนตัวเล็กได้แต่ยกมือขึ้นมากุมผ้าที่ห่อตนเอง แต่พอเงยหน้าขึ้นคิ้วสวยก็ผูกกันเป็นปม ไม่เข้าใจการกระทำของเขาเลย
“ท่านทำบ้าอันใดอีก ไยไม่ออกไป” ยังไม่วายตำหนิเขา ซือซือไม่เข้าใจจริง ๆ เหตุใดแม่ทัพผู้นี้ถึงได้เอาแต่ใจนัก ถูกต่อว่าก็ยังไม่สลดและออกห่างตน ที่สำคัญเข้าใกล้นางมากขึ้นทุกวัน จนใจดวงน้อยอดหวั่นไหวไม่ได้ เขารูปงามและรูปร่างดี มองทีไรใจก็สั่นทุกครา
“อย่าดื้อ” คนวางอำนาจจนเคยชินออกคำสั่ง ครานี้เขาเปิดเปลือกตาขึ้นด้วย และมองลงมายังใบหน้างาม ไต่ลงมาที่เนินเขาขาวที่ล้นผ้าออกมา
“ท่านแม่ทัพ ออกไปนะ” ไล่เขาพร้อมกับยกมือปิดตาอีกฝ่ายไว้ เฟิงซีเผยยิ้มจนเห็นฟันเป็นคราแรก ก่อนจะรวบเอามือเล็กตรึงไว้จนนางไม่อาจต่อต้าน
“ข้าเคยบอกแล้วใช่หรือไม่ว่าอย่าดื้อ ดื้อแล้วจะโดนอะไร” ขู่จนนางตัวสั่นเพราะตื่นกลัว เพียงเท่านั้นใจแกร่งก็วูบไหว ปล่อยมือนางแล้วรั้งเข้ามากอดไว้แนบอก
“ขอโทษ อย่ากลัวข้าเลยนะ” เสียงทุ้มอ่อนเปล่งออกมา พร้อมกับลูบหลังนางเบา ๆ เฟิงซีไม่เข้าใจตนเองนัก ตั้งแต่คืนแรกที่ได้นอนกอดนาง ความรู้สึกเขาก็เปลี่ยนไป ไม่ใช่เพราะภาพโป๊เปลือยที่เห็นในคืนนั้น ทว่าเป็นความอบอุ่นยามที่นางซุกอยู่ในอกเขาต่างหาก ใครจะคิดว่าความสงสารที่เขามียามที่เห็นนางนอนหนาวขดตัวอยู่บนตั่ง มันจะทำให้เขาติดใจจนไม่ยอมปล่อยเช่นนี้
จะว่าเขาเห็นแก่ตัวก็คงใช่ เพราะตั้งแต่เขาเกิดมาสิ่งที่อยากได้ล้วนต้องได้ เพียงแต่มันไม่ใช่คนเช่นตอนนี้ แม่ทัพหนุ่มเลยทำตัวไม่ถูก คิดสิ่งใดเขาก็ทำเลย ไม่ใส่ใจว่าสตรีตัวน้อยจะชอบหรือไม่ ทว่ายามนี้นางกำลังกลัวเขา
ซือซือยกมือขึ้นดันอกแกร่งให้ออกห่างเล็กน้อย เพราะแม่ทัพกู้ไม่ยอมปล่อยมือจากตัวนางเลย นางจ้องเข้าไปในดวงตาคมดุของเขา ก่อนจะเอ่ยเสียงสั่นปนสะอื้น
“ท่านต้องการอันใดกันแน่ ตัวข้างั้นหรือ หากได้แล้วท่านจะปล่อยข้าไปใช่หรือไม่” กล่าวจบหยดน้ำตาก็ล่วงแหมะลงที่แขนของตน ใจแกร่งอ่อนยวบเมื่อเห็นเช่นนี้
“ซือซือ อย่าร้องนะคนดี” ว่าพร้อมกับยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาออกให้อย่างเบามือ “ขอโทษที่ทำให้เจ้ามองข้าเช่นนี้ ข้าก็ไม่รู้ว่าตนเป็นอันใด ตั้งแต่เจอเจ้าข้าก็ไม่อาจออกห่างได้ สตรีที่ข้าอยากได้เป็นภรรยา ข้าวาดหวังไว้สูงนัก ทว่าพอมาเจอเจ้าความคิดก็เปลี่ยนไป ข้าอบอุ่นหัวใจยามที่มีเจ้าอยู่ด้วย ชอบที่ตื่นเช้ามาก็เห็นหน้าเจ้าเป็นคนแรก”
แม่ทัพกู้ร่ายยาวในสิ่งที่ตนคิด เป็นคราแรกเลยกระมังที่เขาบอกความรู้สึกกับสตรี ซึ่งไม่รู้ว่าคนตัวเล็กที่มองหน้าเขาอยู่จะเข้าใจมันหรือไม่ เพราะนางทำหน้ามึนงงมาก
‘เดี๋ยวนะ ทำไมอีตาแม่ทัพนี่พูดเหมือนสารภาพรักกับเราเลยล่ะ ทั้งที่พึ่งเจอกันแค่สี่วันเนี่ยะนะ’ คนในอ้อมกอดคิดในใจ กะพริบตาถี่มองเขาเพราะไม่เชื่อหูตนเอง แต่จะว่าไปเรื่องแบบนี้มันก็เกิดขึ้นได้ ไม่ใช่เรื่องประหลาดอันใดเลย ยุคนี้สามีภรรยาที่แต่งงานกันแทบจะไม่เคยพบหน้าด้วยซ้ำ เมื่อแต่งแล้วก็ยังครองคู่กันจนตายจาก
“แต่งตัวดีกว่านะ ไม่หิวหรือ” เสียงทุ้มเปล่งออกมาถาม เมื่อเห็นคนตัวเล็กเอาแต่มองเขา
“ก็ออกไปสิ จะมายืนอยู่ทำไม” แหวใส่อีกรอบ
“แล้วเจ้าใส่ชุดนี้เป็น?” ยิ้มหยันจนน่าหมั่นไส้
“มันจะไปยากอะไร ก็แค่สวม ๆ เข้าไป” บอกก่อนจะทำหน้าเจื่อน เพราะนางก็ไม่รู้ต้องใส่ชิ้นไหนก่อน เคยเห็นนักแสดงใส่ในซีรี่ย์คิดว่าจะเป็นชุดที่สวมเลยเสียอีก
“ข้าจะให้สตรีแถวนี้มาช่วยแต่งให้แล้วกัน” บอกก่อนจะคลายมือออกจากเอวคอด แล้วยกขึ้นมายีหัวนางจนยุ่ง
การกระทำของเขาใจดวงน้อยเต้นรัวยิ่งกว่าตอนถูกอีกฝ่ายกอดรัดเอาไว้เสียอีก เพราะมันรู้สึกอบอุ่นเป็นที่สุด เหมือนเคยได้รับมันเมื่อครั้งยังเด็ก
ซือซือมองตามร่างสูงจนพ้นฉากกั้น ไม่นานก็มีเสียงประตูเปิดปิด นางจึงหันมาลองใส่ชุดที่วางอยู่ ใส่ผิดใส่ถูกอยู่พักหนึ่งเสียงประตูก็ดังขึ้นมาอีก นางจึงหันไปยังฉากกั้น
“ข้าน้อยมาช่วยแต่งตัวเจ้าค่ะ” หญิงวัยกลางคนเอ่ย นางเดินเข้ามาพร้อมกับส่งยิ้มให้ เพียงแค่เห็นใบหน้าของสตรีตัวน้อยก็นึกเอ็นดูเสียแล้ว
“ขอบคุณท่านป้านะเจ้าคะ ปกติข้าใส่แต่ชุดชาวบ้านธรรมดา ชุดดีดีเช่นนี้ไม่รู้ต้องใส่เช่นไร” แก้ตัวให้ตนเอง
“ได้เจ้าค่ะ” คนแก่กว่าหลายปีเอ่ย ก่อนจะช่วยจัดการแต่งตัวให้สตรีตัวน้อยส่วนสูงพอ ๆ กับตน ผ่านไปไม่นานนักทุกอย่างก็เรียบร้อย ก่อนจะหันมาจัดแต่งทรงผมให้
“ปักปิ่นด้วยนะเจ้าคะ” เมื่อม้วนผมเป็นช่อครึ่งหัว ปิ่นหยกสีเขียวมรกตก็ถูกเสียบลง อีกด้านเป็นเครื่องประดับทับทิมสีแดงรูปดอกไม้ เพิ่มความงามให้กับใบหน้านี้ยิ่งนัก
“งามเหลือเกิน ชุดสีครามนี้ขับผิวขาวของแม่นางได้ดียิ่ง ท่านคงเป็นบุตรสาวของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ใช่หรือไม่เจ้าคะ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีผิวพรรณดีเยี่ยงนี้” คนแก่เอ่ยกับสตรีตรงหน้า และชมนางไม่ขาดปากเลยทีเดียว
“ขอบคุณนะเจ้าคะ” ตอบกลับเพียงเท่านั้น ก่อนจะมองตนเองในกระจกทองเหลือง แม้มันจะบานเล็กก็เถอะ แต่พอได้เห็นตนเองในกระจกก็ถึงกับนิ่งงัน
‘นี่เราสวยขนาดนี้เชียว’ ชมตนเองในใจ