บทที่ 7 ความในใจ
หลังจากที่ซูจินเยว่แช่กายลงในน้ำอุ่นร้อน นางก็รีบแต่งตัวและสอดกายเข้าในผ้าห่มผืนหนาในทันที ค่ำคืนนี้อากาศช่างหนาวเย็นเสียยิ่งนักจนสัมผัสรู้ได้ถึงความเย็นที่แผ่เข้ามาด้านในผ้าห่ม ร่างบางขดตัวแน่นเพื่อคลายความหนาว แต่ทว่าความเย็นกลับทำให้นางนอนไม่หลับอีกทั้งภายในใจยังคงพะวงอยู่กับซูเว่ยหงไม่น้อย
“ท่านพี่คงโกรธข้ามากเป็นแน่”
ซูจินเยว่พึมพำ และพยายามที่จะข่มตานอนอีกครั้งจนกระทั่งได้ยินเสียงบานหน้าต่างที่ถูกใครบางคนเปิดออกดังเช่นทุกที นางจึงแกล้งหลับด้วยเพราะไม่รู้ว่าจะทำตัวเช่นไรดีและนางก็ไม่อยากเอ่ยปากไล่เขาอีกต่อไป
หมับ
ท่อนแขนแกร่งสอดเข้ารอบเอวคอดกิ่วของนางเช่นเคยความอบอุ่นแผ่ซ่านออกมาจากเรือนกายกำยำ จนนางต้องยอมรับว่ารู้สึกอุ่นขึ้นไม่น้อย ซูจินเยว่เคลิบเคลิ้มไปกับไออุ่นที่ทำให้นางรู้สึกสบายตัวขึ้นเป็นอย่างมาก แต่ทว่าสิ่งที่นางรับปากผู้เป็นมารดากลับตามมาหลอกหลอนจนไม่อาจนอนนิ่งให้เขาโอบกอดได้อีกต่อไป
“ท่านพี่ปล่อยข้าเถิด”
ฝ่ามือเล็กแกะฝ่ามือของเขาออก ก่อนที่นางจะหยัดกายลุกขึ้นประชันหน้ากับเขา ประโยคที่นางเอ่ยบอกทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดจนแทบคลั่งและไม่อาจเก็บสีหน้าให้เป็นปกติได้อีกต่อไป เดิมทีเขาต้องการเข้ามาพูดจากับนางดี ๆ แต่ท่าทางของนางในยามนี้กลับทำให้เขาเลือดขึ้นหน้า
“เจ้ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่!”
ใบหน้าที่ขึงขังของซูเว่ยหงทำให้ซูจินเยว่รู้สึกไม่ชินเท่าใดนัก แม้ในยามปกติจะนิ่งขรึมแต่ก็ไม่ได้น่ากลัวเท่าในยามนี้ น้อยครั้งนักที่นางจะได้เห็นสีหน้าแบบนี้ของเขา
“ข้า…ข้าไม่ได้ทำอะไร”
ซูจินเยว่ได้แต่หลบสายตา จนร่างสูงขยับเข้ามาประชิดกายฝ่ามือแกร่งของเขากดลงบนต้นแขนอย่างแรงจนนางต้องเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวด แต่จะให้นางบอกออกไปได้เช่นไรว่านี่เป็นสิ่งที่มารดาร้องขอให้นางทำ ซูจินเยว่จึงกัดฟันกล้ำกลืนความเจ็บปวดเอาไว้
“เจ้าจะบอกข้าว่า เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นเรื่องบังเอิญสินะ เรื่องวันนั้นก็ด้วยหรือ” ซูเว่ยหงกดแรงลงไปหนักขึ้นมากกว่าเดิม ใบหน้าคมคายโน้มเข้าไปจ้องมองสบตากับซูจินเยว่ที่หลุบตาลงต่ำ จนเขาต้องเชยปลายคางและกดแรงลงไปเบา ๆ ราวกับต้องการเร่งรัดเอาคำตอบ
“เจ้าค่ะ” นางตอบออกไป แต่ทว่าฝ่ามือหนายังไม่คลายแรงบีบออกแต่อย่างใด
"สนุกมากหรือไม่ ที่พยายามผลักไสข้าให้คนอื่น!"
ซูเว่ยหง ผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชายต่างสายโลหิตเอ่ยขึ้นด้วยความกราดเกรี้ยว ลมหายใจของเขามีกลิ่นสุราเจือจางนิด ๆ
นัยน์ตาคมคายประดุจเหยี่ยวสั่นไหวระริกด้วยความเจ็บปวดนางเองก็เจ็บปวดเช่นเดียวกัน เมื่อหัวใจดวงน้อยของตนนั้นมีเขาอยู่เต็มหัวใจ แต่จะให้นางทำเช่นไรเล่า ในเมื่อผู้เป็นมารดาที่เลี้ยงดูนางมาตั้งแต่แบเบาะ ร้องขอให้นางเป็นแม่สื่อจับคู่ให้เขาและคุณหนูจางผู้เป็นสหายรัก เพื่อตอบแทนบุญคุณ นางจึงต้องยอมเป็นแม่สื่อด้วยความจำนน
“ข้าไม่ได้ผลักไสท่าน แต่อีกไม่นานท่านก็จะต้องแต่งงาน”
นี่เป็นครั้งแรกที่ซูจินเยว่กล้าสบตากับเขา นางอดกลั้นต่อไปไม่ไหวเช่นเดียวกัน นางไม่มีทางเลือกให้เดินเลยแม้แต่น้อย แล้วจะให้นางทำเช่นไร ไม่ว่าจะทางไหนนางก็ต้องเจ็บปวดอยู่ดี
“เจ้าอยากให้ข้าแต่งงานจริงหรือ”
อั่ก
ซูเว่ยหงดันร่างบางให้ประชิดกับกำแพง ก่อนที่เขาจะรวบข้อมือเล็กขึ้นเหนือศีรษะด้วยฝ่ามือเดียว ใบหน้าหล่อเหลายื่นเข้าไปใกล้
ซูจินเยว่อีกครั้ง และเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่คาดคั้น
“ไม่ว่าอย่างไรท่านแม่ก็จะต้องให้ท่านแต่งงานอยู่ดี”
ซูจินเยว่ยังคงสบตากับนัยน์ตาที่ทอประกายอย่างทรงเสน่ห์ด้วยความจับจ้อง นางก็อยากจะตอบความจริงออกไปเช่นเดียวกัน
“เจ้าคิดว่าที่ข้าไม่ยอมแต่งงาน เพราะเหตุผลใดกันเล่า”
ซูเว่ยหงไม่กักเก็บความรู้สึกอีกต่อไป เขาไม่เคยมองซูจินเยว่เป็นน้องสาวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร คำพูดของเขาในวัยเพียงเจ็ดหนาวที่ได้พบเจอนางตั้งแต่แบเบาะเขาจดจำได้เป็นอย่างดี
“ข้าไม่รู้” ซูจินเยว่ได้แต่ส่ายหน้าไปมา
“นั่นเป็นเพราะข้ารักเจ้า…แต่เจ้ากลับผลักไสข้า”
เสียงทุ้มของเขาสั่นเครือเล็กน้อย แต่ทว่านัยน์ตาคู่สวยกลับฉายแววไปด้วยความเจ็บปวด คำพูดของเขาทำให้หัวใจของซูจินเยว่ชาไปทั้งดวง หากนางไม่ติดอยู่ในสถานะพี่น้องกับเขา นางคงจะดีใจไม่น้อย
“แต่จางหลิงลี่เหมาะสมกับท่าน”
ซูเว่ยหงกลั้นใจที่จะเอ่ยบอกความในใจออกไปให้ซูจินเยว่ได้รับรู้ ว่าความรักที่เขาแสดงออกกับนางมานานหลายปีหาใช่ความรักที่พี่ชายมีให้กับน้องสาว แต่ทว่ากลับเป็นความรักที่บุรุษผู้หนึ่งพึงใจมอบให้กับสตรีที่หมายปอง แต่นางกลับยังคงผลักไสเขาออกไปไม่เลิกรา
“แต่ข้ารักเจ้า ข้าไม่ได้รักจางหลิงลี่!”
อื้อ
ซูเว่ยหงที่ยังมีฤทธิ์สุราร้อนแรงไหลวนอยู่ภายในกายโน้มใบหน้าลงเพื่อประกบริมฝีปากเข้าไปบดขยี้กลีบปากอิ่มด้วยโทสะที่ไม่อาจอดกลั้น
ถ้อยคำของมารดาทำให้ซูจินเยว่ได้สติ แม้ร่างกายของนางจะโอนอ่อนไปกับรสจูบที่เขามอบให้นางอย่างลึกซึ้งก็ตามที หากนางบอกความในใจออกไปเห็นทีคงจะสร้างความผิดหวังให้กับมารดาไม่น้อย
เพียะ
ฝ่ามือเล็กตวัดลงบนใบหน้าคร้ามเข้มที่ขาวสว่างประดุจหิมะจนเกิดรอยแดงเป็นริ้วฝ่ามือ
“แต่ข้าไม่ได้รักท่าน!” ร่างบางผละออก ก่อนจะเอ่ยปฏิเสธออกไปทั้งที่ภายในใจนั้นรวดร้าวเหลือคณา
“หรือที่เจ้าเหินห่างกับข้า เพราะเจ้ามีบุรุษอื่นเช่นนั้นหรือ”
อื้อ
ซูเว่ยหงไม่รอให้นางได้เอ่ยปากตอบ เขากดริมฝีปากลงมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับหนักหน่วงและร้อนแรงจนซูจินเยว่รู้สึกแสบร้อนบริเวณกลีบปากไม่น้อย เห็นทีว่ายามนี้เขาคงบ้าคลั่งเกินกว่าที่นางจะสามารถพูดจาดี ๆ ได้อีกต่อไป
เพียะ
“ท่านพี่ ท่านได้สติเสียทีเถอะเจ้าค่ะ ข้าเห็นท่านเป็นเพียงพี่ชายของข้าเท่านั้น ท่านอย่าทำเช่นนี้อีกต่อไปเลย”
ซูจินเยว่กดใบหน้าลงบนฝ่ามือของตัวเอง วันนี้นางรู้สึกเจ็บปวดจนเกินกว่าจะรับไหว
ซูเว่ยหงมองร่างเล็กที่สั่นเทิ้มอย่างไม่เชื่อสายตา และไม่คิดว่าตัวเองจะมองผิดพลาดไป ทั้งที่เขามองออกว่าซูจินเยว่นั้นมีใจให้กับเขาเช่นเดียวกัน หรือนี่จะเป็นเพราะมารดาของเขาบังคับให้นางทำตัวเป็นแม่สื่อระหว่างเขาและคุณหนูจาง นี่คือเรื่องหนึ่งที่เขาต้องสืบให้รู้ความ
“ซูจินเยว่ เจ้าอยากให้ข้าลงเอยกับจางหลิงลี่มากเลยใช่หรือไม่ ได้! ต่อไปนี้เจ้าจะไม่ต้องเปลืองแรงอีก”
นางเงยใบหน้าขึ้นจากฝ่ามือ สีหน้าของซูเว่ยหงนั้นเต็มไปด้วยความผิดหวังและความเจ็บปวด ก่อนที่ร่างสูงจะกระโดดออกไปจากหน้าต่าง ทิ้งนางเอาไว้ให้อยู่กับความเสียใจและความรู้สึกผิดเพียงลำพัง
ซูจินเยว่นอนคิดทบทวนเรื่องราวตลอดทั้งคืน ความรู้สึกของนางเต็มไปด้วยความสับสนและวกวนจนหาทางออกให้กับตัวเองไม่ได้ สิ่งที่นางรับรู้ได้ก็คืออยากจะขอโทษเขาที่เผลอไผลตบหน้าของเขาไปถึงสองคราเพียงเท่านั้น
ในเมื่อนอนไม่หลับนางจึงลุกขึ้นไปยังเรือนครัว เพื่อปรุงน้ำแกงสาลี่และขนมกุ้ยฮวาที่ซูเว่ยหงชอบกิน กว่าจะทำทุกอย่างเรียบร้อยดีท้องนภาก็เริ่มเปลี่ยนสี ทอประกายแสงที่เจิดจ้าเสียแล้ว
นางจึงไม่รอช้ามุ่งหน้าไปยังเรือนของเขาพร้อมกับปิ่นโตเถาใหญ่ด้วยรอยยิ้มที่เจือจาง ระหว่างทางนางคิดถ้อยคำมากมายเพื่อเอ่ยคำขอโทษซูเว่ยหง แต่ทว่ากลับต้องหยุดคิดเมื่อเรือนของขานั้นว่างเปล่า ไร้ร่างของเจ้าของเรือน
ซูจินเยว่จึงเดินตามหาซูเว่ยหงในสถานที่ต่าง ๆ ภายในเรือนที่เขานั้นชอบไป แต่ทว่ากลับไม่พบเจอเลยสักนิด นางแปลกใจไม่น้อยที่เขาไม่อยู่ภายในเรือนในยามเช้าตรู่เช่นนี้
ร่างบางยังคงเดินตามหาซูเว่ยหงไปเรื่อย ๆ จนสองเท้าต้องหยุดชะงักกับถ้อยคำสนทนาที่บรรดาบ่าวในเรือนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
“จวนของพวกเราใกล้จะมีฮูหยินน้อยเต็มทีแล้ว”
“ข้าอยากรู้นักว่าคุณหนูจางทำเช่นไรถึงเปลี่ยนใจคุณชายของเราให้อยากแต่งงานได้ถึงเพียงนี้”
“นั่นสิ ได้ข่าวว่าคุณชายตื่นขึ้นมาเลือกเครื่องประดับให้คุณหนูจางด้วยตัวเองเลยเชียวนะ เห็นว่าคุณชายจะนำไปมอบให้เองกับมือเสียด้วยสิ อบอุ่นยิ่งนัก”
“ทั้งคู่เหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก”
ถ้อยคำเหล่านั้นตรึงร่างบางให้ชะงักอยู่กับที่ ใบหน้าอ่อนหวานที่เรียบเฉย ค่อย ๆ ผุดรอยยิ้มขึ้นมาอย่างอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความยินดี เห็นทีนางคงจะต้องรายงานให้มารดารับรู้ ‘จินเยว่นะจินเยว่เจ้าบอบช้ำถึงเพียงนี้ยังจะปั้นหน้ายิ้มต่อไปได้อีก’