บทย่อ
"สนุกมากหรือไม่ ที่พยายามผลักไสข้าให้คนอื่น!"
บทนำ จับจอง
16 ปี ก่อน
จวนตระกูลซู แคว้นหานเป่ย...
ท่ามกลางความเงียบสงบในยามวิกาล ส่งให้บรรยากาศภายในเรือนนั้นเงียบเชียบไร้เสียงใดรบกวน บ่าวรับใช้ในเรือนล้วนแล้วแต่หลับใหลเข้าสู่ห้วงนิทราด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากภาระงานที่ล้นมือไม่เว้นแม้แต่ผู้เป็นเจ้าของเรือน แต่ทว่าซูฮูหยินกลับรู้สึกกระสับกระส่ายจนไม่อาจข่มตาหลับได้อีกต่อไป ท้ายที่สุดนางก็ต้องหยัดกายลุกขึ้นนั่งด้วยภายในใจนั้นรู้สึกวาบหวิว และร้อนรุ่มจนหยาดเหงื่อผุดพรายเต็มกรอบหน้านวล หากจะว่าฝันร้ายก็คงมิใช่เพราะนางไม่ได้สัมผัสรู้ถึงเรื่องราวใดเลยแม้แต่น้อย
“นอนไม่หลับหรือ ฮูหยิน”
ซูเหวิน ผู้เป็นสามีได้ยินเสียงลมหายใจที่หนักหน่วง เขาจึงลุกขึ้นมานั่งเคียงข้างฮูหยินรัก ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความห่วงใย ท่อนแขนแข็งแกร่งโอบรั้งร่างเล็กที่เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อเอาไว้แน่น เพื่อปลอบโยนสตรีข้างกาย
“เจ้าค่ะ ท่านพี่”
ซูฮูหยินเอนศีรษะพิงไปกับแผงอกกว้าง จู่ ๆ นางก็รู้สึกหมดเรี่ยวแรงขึ้นมาเสียอย่างนั้น
อุแว้ อุแว้...
แต่ทว่าท่ามกลางความเงียบสงัดกลับมีเสียงร้องไห้กระจองอแงของเด็กทารกดังขึ้นอยู่ด้านหน้าของเรือน ส่งให้สองสามีภรรยาได้แต่มองหน้ากันด้วยความฉงนสงสัยและแปลกใจขึ้นมาไม่น้อย ดึกดื่นเช่นนี้จะมีทารกมาอยู่หน้าเรือนได้อย่างไรกัน หากจะคิดว่าเป็นเสียงของบุตรชายนั้นก็คงจะไม่ใช่เพราะทายาทตระกูลซูของพวกเขานั้นอายุเจ็ดหนาวเข้าไปแล้ว
“ท่านพี่ เสียงเด็กทารกที่ใดกัน” ซูฮูหยินแหงนใบหน้ามองผู้เป็นสามีด้วยความพิศวง
“นั่นสิ ดึกดื่นเช่นนี้” ใบหน้าของซูเหวินนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความฉงนไม่แพ้ฮูหยินภรรยาของเขา
ซูฮูหยินจึงกลั้นใจพาร่างที่อ่อนแรงลุกขึ้นจากเตียงกว้างโดยมีผู้เป็นสามีพยุงร่างเอาไว้ ก่อนที่พวกเขาจะพากันเปิดประตูออกไปยังหน้าเรือนของตนด้วยความเคลือบแคลง
“นายท่าน ฮูหยิน มีทารกที่ไหนก็ไม่รู้ถูกนำมาวางไว้หน้าเรือนเจ้าค่ะ” จิงเมี่ยวบ่าวรับใช้คนสนิทรุดเข้ามาหาทันทีที่ได้ยินเสียงเปิดประตู
“ไหน อุ้มมาให้ข้าดูหน่อยสิ”
ฉับพลันร่างกายที่อ่อนแอของซูฮูหยินก็กลับมามีเรี่ยวแรง นางปล่อยฝ่ามือของผู้เป็นสามีแล้วรีบเดินปรี่เข้าไปหาจิงเมี่ยวที่โอบอุ้มร่างของเด็กทารกเอาไว้ตามคำสั่งของนางในทันทีที่เอื้อนเอ่ย
ห่อผ้าไหมชั้นดีราคาแพง ปักด้วยเส้นไหมสีทองถูกยื่นให้กับนาง ซูฮูหยินทอดสายตามองทารกน้อยในห่อผ้าด้วยความเอ็นดู ดวงตากลมโตแป๋วแหว๋วมองนางกลับ ก่อนจะส่งรอยยิ้มไร้เดียงสาจนมองเห็นเหงือกสีชมพู และหยุดร้องไห้ในทันที
“เป็นทารกเพศหญิงเจ้าค่ะ” จิงเมี่ยวรีบบอกซูฮูหยินในทันทีที่เห็นรอยยิ้มของผู้เป็นนาย
“ท่านพี่ ดูเด็กน้อยนี่สิเจ้าคะ น่ารักน่าเอ็นดูเสียจริง”
ซูเหวินเดินเข้าไปใกล้ภรรยารัก เมื่อนางเอ่ยปากชักชวนให้เขาเข้าไปใกล้เพื่อดูโฉมหน้าทารกน้อยที่ทำให้ฮูหยินของเขากลับมามีเรี่ยวมีแรงเพียงชั่วพริบตา แต่ทว่า
ผ้าไหมที่ห่อหุ้มร่างกายอวบอ้วนของทารกน้อยผู้นี้หาใช่ผ้าธรรมดาทั่วไป แต่เป็นผ้าชั้นดีสำหรับใช้กับราชวงศ์เพียงเท่านั้น อีกทั้งยังถูกนำมาวางถึงหน้าเรือนนอนของพวกเขา ช่างประจวบเหมาะยิ่งนัก
“ฮูหยิน ทารกน้อยผู้นี้หาใช่บุตรีของตาสีตาสาเป็นแน่”
ซูเหวินได้แต่บอกให้ภรรยาของเขาได้รับรู้ ก่อนที่ดวงตาคู่สวยจะแหงนมองสบตาเขาด้วยสายตาที่ทอประกาย
“ท่านพี่ ให้ข้ารับนางเอาไว้เป็นบุตรีเถอะนะเจ้าคะ ข้าสงสารนางเหลือเกิน ไม่ว่านางจะเกิดจากมาชนชั้นใด แต่ยามนี้นางอยู่ภายในจวนตระกูลซู นางก็ย่อมเป็นคุณหนูตระกูลซูเช่นเดียวกัน”
ซูฮูหยินรับรู้อยู่เต็มอกว่าทารกน้อยในอ้อมกอดไม่ได้เกิดมาจากตระกูลธรรมดาอย่างแน่แท้ เพียงแค่ปรายตามองปราดเดียวนางก็รับรู้ได้แล้วว่าผ้าไหมชั้นดีที่ห่อหุ้มร่างกายเด็กน้อยผู้นี้ไม่ใช่สิ่งที่หาได้ทั่วไปในท้องตลาด
แต่ไม่ว่าคนผู้นั้นจะนำทารกน้อยมาวางไว้ในจวนตระกูลซูด้วยความประสงค์ใด นางจะถือเสียว่าสวรรค์ได้ประทานบุตรีมาให้กับนางที่ร่างกายอ่อนแอจนไม่สามารถมีบุตรคนที่สองให้กับผู้เป็นสามีได้นี่ย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก
“ข้าตามใจเจ้า นางจะเป็นคุณหนูซูของพวกเรา”
ดวงตาคู่งามของซูฮูหยินแหงนขึ้นมองดวงจันทร์กลมโตที่เด่นหราอยู่ท่ามกลางท้องนภาที่มืดสนิท ส่งแสงเรืองรองอย่างงดงามเคียงคู่ไปกับดวงดาวที่พร่างพราวระยิบระยับจึงต้องนึกถึงชื่อหนึ่งขึ้นมา และคิดว่าน่าจะเหมาะกับทารกน้อยในอ้อมอกเป็นอย่างดี นางจึงหันไปบอกกับผู้เป็นสามีด้วยรอยยิ้มที่สวยงาม
“เช่นนั้น ข้าให้นางชื่อว่าจินเยว่ ตระกูลซู ซูจินเยว่ดีหรือไม่เจ้าคะ ท่านพี่” ใบหน้าที่ซีดขาวไร้เรี่ยวแรงกลับมีสีเลือดขึ้นมาราวกับได้รับโอสถชั้นดี
“เป็นชื่อที่ไพเราะที่สุด ฮ่า”
ซูเหวินหัวเราะขึ้นด้วยความเบิกบาน ทารกน้อยที่ถูกนำมาวางอยู่ในเรือนของเขาทำให้ฮูหยินที่ร่างกายอ่อนแอดูมีพละกำลังขึ้นมาไม่น้อย หลังจากที่ภรรยาของเขาให้กำเนิดทายาทตระกูลซูเป็นบุตรชาย ร่างกายของนางก็ไม่แข็งแรงเช่นเดิม มิหนำซ้ำยังอ่อนแอลงเรื่อย ๆ จนไม่อาจมีทายาทให้กับเขาได้อีก เรื่องนี้จึงนับว่าเป็นเรื่องดีที่เกิดขึ้นภายในตระกูลซู
..........................
รุ่งสางของวันซูเหวินและซูฮูหยินเรียกบ่าวไพร่ภายในเรือนมารวมตัวกันเพื่อป่าวประกาศเรื่องของคุณหนูซูและกำชับเป็นหนักหนาว่าไม่ให้ผู้ใดแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป โดยที่นางยอมจ่ายเงินตราเพื่อปกปิดเรื่องราวนี้อย่างไม่นึกเสียดาย
ข่าวการให้กำเนิดบุตรีแรกของตระกูลซูถูกแพร่กระจายออกไป โดยที่ไม่มีผู้ใดสงสัยเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของซูฮูหยินเลยแม้แต่น้อย
ด้วยเพราะหลังจากที่นางให้กำเนิดบุตรชายได้เพียงเจ็ดปี นางก็ไม่ได้เข้าร่วมงานสังคมใดอีก แม้กระทั่งการออกไปนอกจวนนางก็ไม่เคยย่ำกรายออกไป ด้วยเพราะร่างกายของนางนั้นอ่อนแอทนต่ออากาศที่หนาวเย็นไม่ได้ดังเดิม
ภายในเรือนนั้นเต็มไปด้วยความสุข ซูเหวินมองฮูหยินของเขาอย่างไม่เชื่อสายตาว่าการรับทารกน้อยผู้นี้จะทำให้ภรรยาของเขาดูแข็งแรงขึ้นทันตา ซ้ำยังดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาไม่น้อย
กระดิ่งภายในมือบางส่งเสียงดัง เรียกรอยยิ้มอ้อแอ้ของซูจินเยว่ได้เป็นอย่างดี ทำให้ผู้เป็นมารดามีรอยยิ้มกว้างเช่นเดียวกัน
“ท่านแม่...”
เสียงเล็กของดรุณน้อยในวัยเจ็ดหนาววิ่งปราดเข้ามาหาด้วยความซุกซน แต่ทว่าดวงตาคู่สวยกลับจับจ้องไปยังร่างเด็กทารกที่นอนดิ้นอยู่บนเบาะนิ่มด้วยสายตาเมียงมอง ก่อนจะปรายดวงตาไปยังใบหน้าผู้เป็นบิดาและมารดาสลับกันไปมาด้วยความอยากรู้
“หงเอ๋อร์ นี่จินเยว่น้องสาวของเจ้า”
ซูเหวินเดินเข้ามาลูบไล้ศีรษะของบุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลด้วยความรักใคร่ ก่อนจะแนะนำผู้มีศักดิ์เป็นน้องสาวให้บุตรชายได้รู้จัก
“หงเอ๋อร์ น้องสาวเจ้าน่ารักมากเลยใช่หรือไม่”
ซูฮูหยินดึงข้อมือของบุตรชายเข้าไปใกล้ เพื่อให้บุตรชายได้มองใบหน้าของน้องสาวให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าไม่อยากได้นางเป็นน้องสาว”
ใบหน้าที่สดใสของซูเว่ยหงหม่นลงเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วทอดสายตาไปยังทารกน้อยด้วยความจับจ้อง
“หงเอ๋อร์ ทำเช่นนี้ไม่น่ารักเลยนะลูก เจ้าต้องรักน้องสาวของเจ้าให้มาก ๆ เข้าใจหรือไม่ ลูกรัก”
ซูฮูหยินยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่หวานใส และไม่ได้โกรธเคืองบุตรชายที่แสดงกิริยาไม่น่ารักแต่อย่างใด นางยังคงสอนสั่งด้วยความเข้าใจและคิดว่าบุตรชายคงจะยังทำใจไม่ได้และกลัวว่าจะถูกแย่งความรักไปตามประสา
“หงเอ๋อร์ เชื่อฟังท่านแม่ของเจ้าให้ดี” ซูเหวินเองก็หาได้ตำหนิบุตรชายแต่อย่างใด
“ท่านแม่ ท่านพ่อ ข้าไม่ได้อยากได้นางเป็นน้องสาว”
ซูเว่ยหงยังคงเอ่ยถ้อยคำเช่นเดิม แต่ทว่าดวงตายังคงจับจ้องไปยังทารกน้อยตาปัก
“หงเอ๋อร์!”
ทว่าครานี้ทั้งซูเหวินและซูฮูหยินกลับต้องตะเบ็งเสียงที่ดังขึ้น เมื่อเห็นว่าบุตรชายนั้นดื้อรั้นและแสดงกิริยาที่ไม่สมควรออกมาอย่างไม่เชื่อฟัง ก่อนที่ผู้เป็นบุตรชายจะเอื้อนเอ่ยถ้อยคำต่อมาที่ทำให้ทั้งสองรู้สึกชาวาบไปทั้งตัว
“ข้าอยากแต่งงานกับนาง!”