บทที่ 1 บุรุษตัดแขนเสื้อ
16 ปีต่อมา...
ภายในเรือนรับรองของตระกูลซู มีร่างระหงที่ล่วงเลยเข้าสู่วัยกลางคนของซูฮูหยินเอนกายพิงไปกับเก้าอี้ไม้จันทน์โอ่อ่าด้วยอาการวิงเวียนศีรษะจนต้องใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งค้ำยันเอาไว้ ข้างกายของนางมีซูเหวินผู้เป็นสามีกำลังโหมกระพือพัดในมือเป็นระวิง เพื่อบรรเทาอาการหน้ามืดตามัวให้กับฮูหยินรักด้วยความห่วงใย
“หงเอ๋อร์ พ่อไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เจ้ากระทำเมื่อครู่”
ซูเหวิน อัครเสนาบดีตระกูลซู ผู้มีหน้ามีตาในนามของขุนนางผู้ภักดีที่ได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้แห่งแคว้นหานเป่ย เอ่ยตำหนิบุตรชายเพียงคนเดียวด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย แต่ทว่าดวงตาที่เริ่มจะเหี่ยวย่นไปตามวัยนั้นกลับฉายแววความจริงจังอยู่ไม่น้อย
“เจ้าทำเช่นนั้นก็เท่ากับเป็นการหักหน้าแม่ รู้หรือไม่”
ซูหรานจี หรือซูฮูหยินหยัดกายลุกขึ้นนั่งหลังตรงงดงามสง่า เมื่ออาการวิงเวียนทุเลาลง เสียงทุ้มในวัยกลางคนเอ่ยตำหนิบุตรชายขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เมื่อการกระทำของบุตรชายเปรียบเสมือนการหักหน้ามารดาต่อหน้าผู้อื่น
“ขออภัยท่านพ่อ ขออภัยท่านแม่ แต่หงเอ๋อร์ไม่อาจแต่งงานกับสตรีที่ท่านแม่จัดหามาให้ขอรับ ข้าไม่ได้พึงใจพวกนางเลยสักนิด”
ซูเว่ยหง บุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลซูเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความดื้อรั้น ใบหน้าหล่อเหลาของเขาสงบนิ่งและไร้ซึ่งความคิดใดฉายออกมาผ่านดวงตาเรียวสวย
“แต่เจ้าไม่ควรปฏิเสธออกไปเช่นนั้น สตรีผู้นั้นเป็นถึงคุณหนูตระกูลขุนนาง เท่ากับเจ้าหักหน้าของแม่อีกทั้งยังไม่รักษาน้ำใจของนางอีกด้วย”
ซูฮูหยินเอ่ยขึ้น เหตุการณ์ก่อนหน้านี้บุตรชายของนางเอ่ยขัดขึ้นมากลางวงสนทนาว่าไม่ได้มีใจให้กับบุตรีขุนนางผู้นั้นต่อหน้าผู้คนมากมาย สร้างความอับอายให้กับนางไม่น้อย
“ข้าไม่อยากให้ความหวังผู้ใด การที่ข้าเอ่ยความรู้สึกออกไปตรง ๆ เช่นนั้นนับว่าเป็นข้อดีเสียด้วยซ้ำ”
ฝ่ามือหนาคลี่พัดสีดำในมือแล้วกระพือจนเกิดลมเย็น เพื่อดับอารมณ์ที่ร้อนรุ่มภายในจิตใจ เขาไม่ชอบการบังคับและกระทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เต็มใจอยากจะทำเป็นยิ่งนัก
“ข้าจะเป็นลม หงเอ๋อร์ อายุของเจ้าผ่านมายี่สิบสามหนาวแล้วแม่ว่าเจ้าสมควรจะแต่งงานเสียที” ซูฮูหยินยังคงพยายามที่จะเกลี้ยกล่อมบุตรชาย โดยมีผู้เป็นสามีโอบไหล่เอาไว้แน่น
“ท่านแม่ ขอท่านอย่าบังคับข้า ข้าไม่พึงใจในสตรีใด”
ซูเว่ยหงเงยใบหน้าขึ้นสบตากับผู้เป็นบิดาและมารดาด้วยสายตาและน้ำเสียงที่จริงจัง สามปีให้หลังมานี้เขาโดนกดดันและถูกบังคับให้แต่งงานจนรู้สึกเบื่อหน่าย ไม่ว่าท่านแม่จะหาสตรีใดมาหมั้นหมาย เขาล้วนแล้วแต่ยกเลิกและบอกปัดอย่างไม่สนใจ
“หรือที่เจ้าปฏิเสธ นั่นเป็นเพราะเจ้าเป็นบุรุษตัดแขนเสื้อตามที่ชาวบ้านพากันครหา!”
ซูฮูหยินตวาดด้วยน้ำเสียงที่ดังลั่น ใบหน้างดงามที่เข้าสู่วัยกลางคนผุดเส้นเลือดที่ปูนโปนด้านข้างขมับด้วยความโมโห และไม่
อาจอดกลั้น เมื่อลูกชายตัวดีดื้อรั้นไม่ได้ดั่งใจ
ซูฮูหยินนั้นร้อนใจเป็นยิ่งนัก แม้นางจะไม่ได้ย่างกรายออกจากเรือนมานานหลายปี แต่ทว่าข่าวคราวจากภายนอกล้วนแล้วแต่ผ่านมาทางบ่าวรับใช้ให้นางได้รับรู้เสมอ และนางก็รับรู้เป็นอย่างดีว่าในยามนี้ชาวบ้านพากันครหาว่าบุตรชายเพียงคนเดียวของอัครเสนาบดีขุนนาง
ผู้สูงส่งนั้นเป็นบุรุษตัดแขนเสื้อ [1] ถึงได้ปฏิเสธการแต่งงานกับสตรีเรื่อยมา
“ท่านแม่ ข้าไม่ได้สนใจว่าผู้อื่นจะกล่าวหาข้าเช่นไร” ซูเว่ยหงตอบผู้เป็นมารดาด้วยความจริง
“ฮูหยิน ข้าว่าเจ้าโกรธเกินไปแล้วกระมัง ใจเย็น ๆ แล้วค่อยพูดจากันเสียดีกว่า”
ซูเหวินห้ามปรามหลังจากที่เขาสัมผัสรู้ได้ว่าเรื่องราวในครอบครัวกำลังมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นในทุกที ก่อนที่เขาจะปรายดวงตาไปยังบุตรีที่เขารับเลี้ยงดูราวกับบุตรในอุทรเพื่อขอความช่วยเหลือ
“ท่านแม่ ข้าว่าท่านแม่ใจเย็น ๆ ก่อนนะเจ้าคะ”
ซูจินเยว่ เอ่ยขึ้นหลังจากที่เงียบอยู่นาน สตรีสาวในวัยสิบหกหนาวที่เพิ่งจะพ้นวัยปักปิ่นมาได้ไม่นาน นางเป็นคุณหนูตระกูลซูที่ถูกรับเลี้ยงดูมาตั้งแต่เกิด โดยที่ท่านพ่อและท่านแม่ไม่ได้คิดจะปิดบังตัวตนความเป็นมาของนางแต่อย่างใด แม้จะไม่ใช่ลูกสาวที่เกิดจากเลือดเนื้อเชื้อไขแต่ทั้งสองก็เลี้ยงดูนางมาเป็นอย่างดี
“เยว่เอ๋อร์ เจ้าบอกให้พี่ชายของเจ้าออกไปก่อนก็แล้วกัน”
ด้วยความโกรธที่เป็นดั่งไฟสุมทรวง ทำให้ซูฮูหยินไม่หันไปมองดูใบหน้าของบุตรชายเลยแม้แต่น้อย นางได้แต่บอกผ่านบุตรีทั้งที่บุตรชายของนางก็ได้ยินเต็มสองหู
ซูจินเยว่ ละสายตาจากผู้เป็นมารดาก่อนจะหันมาสบตากับซูเว่ยหงผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชายด้วยความประหม่า ใบหน้าที่งดงามหล่อเหลานั้นเรียบเฉย แต่ทว่าดวงตาได้รูปนั้นดุดันราวกับเหยี่ยว เมื่อยามที่สบตากับนางจนต้องหลุบตาลงด้วยความกลัวเกรง ไม่นานร่างสูงก็หยัดกายลุกขึ้นและเดินออกจากเรือนรับรองไปพร้อมกับอารมณ์ที่ขุ่นมัว
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าขอตัว”
ซูเว่ยหงบอกลาบิดามารดา โดยที่สายตายังคงจับจ้องไปยังร่างบางในอาภรณ์สีเขียวมรกตที่กำลังก้มหน้าก้มตาด้วยความขัดใจ ท่าทางของผู้มีศักดิ์เป็นน้องสาวในยามนี้นั้น ทำให้เขาหยุดหงิดเสียยิ่งกว่ากระไร เมื่อเห็นว่านางไม่ได้สนใจเขาจึงหันหลังออกจากเรือนไปด้วยใบหน้าที่
ยับยู่แม้กระทั่งเรียวคิ้วยังมุ่นเข้าหากันด้วยความไม่พอใจ
“เยว่เอ๋อร์เจ้าดูพี่ชายของเจ้า ช่างดื้อรั้นเสียยิ่งนัก” ซูฮูหยินเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นท่าทางกระฟัดกระเฟียดของบุตรชาย
“เยว่เอ๋อร์ เจ้าสนิทสนมกับพี่ชายของเจ้า เขาไม่มีสตรีใดอยู่ในใจบ้างเลยหรือ” ซูเหวินเอ่ยถามบุตรสาว เมื่อเห็นว่าสองพี่น้องมักจะสนิทสนมกันเป็นอย่างดี
สิ่งที่ท่านพ่อและท่านแม่ถามไถ่ สร้างความกดดันให้กับซูจินเยว่ไม่น้อย นางและพี่ชายต่างสายเลือดนั้นสนิทสนมกันก็จริง แต่นั่นเป็นตอนที่นางยังไม่ถึงวัยปักปิ่น แต่ทว่าเมื่อวันเวลาล่วงเลยเข้าสู่วัยสาวสะพรั่งและความหล่อเหลาของซูเว่ยหง ทำให้นางไม่อาจมองเขาเป็นพี่ชายได้อีกต่อไปและการที่นางจะมองเขาเป็นเพียงบุรุษผู้หนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดศีลธรรมแต่อย่างใด ในเมื่อนางและเขาหาใช่พี่น้องร่วมท้องเดียวกัน
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ให้เวลาท่านพี่อีกสักนิดเถิดนะเจ้าคะ” ซูจินเยว่ได้แต่ตอบออกไปเช่นนั้น
“เยว่เอ๋อร์ ยามนี้ผู้คนด้านนอกต่างกล่าวหาว่าพี่ชายของเจ้าเป็นบุรุษตัดแขนเสื้อ เจ้าไม่ได้ยินเรื่องนี้บ้างหรืออย่างไร”
ซูฮูหยินสนทนากับบุตรีเพียงลำพังหลังจากที่ซูเหวินขอตัวออกไปจัดการสะสางงานก่อนเข้าเฝ้าฮ่องเต้ที่ท้องพระโรงในวันรุ่งขึ้น
“เยว่เอ๋อร์พอจะได้ยินอยู่บ้างเจ้าค่ะ”
ซูจินเยว่เอ่ยออกไป เรื่องที่พี่ชายของนางโดนครหานั้นมีหนาหูไม่น้อย แต่นางไม่อยากให้มารดาต้องเครียดมากไปกว่านี้จึงได้แต่ตอบเลี่ยงออกไป
“เจ้าว่าข้ายังจะใจเย็นได้อีกหรือ พี่ชายของเจ้าเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของอัครเสนาบดีแห่งแคว้น คำกล่าวที่ไม่มีมูลพวกนั้นจะทำให้ท่านพี่และท่านพ่อของเจ้ามีแต่เสื่อมเสีย”
ซูฮูหยินลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของนาง ดวงตาที่เคยสุกสกาวด้วยความสดใสแฝงไปด้วยความหม่นหมอง
และความห่วงใย หัวอกคนเป็นมารดาย่อมต้องพยายามที่จะรักษาชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลเอาไว้เป็นอย่างดี ย่อมไม่มีมารดาคนใดยอมให้ผู้อื่นกล่าวหาบุตรชายให้เสื่อมเสียเกียรติเช่นนี้
“ท่านแม่ข้ารู้ดีเจ้าค่ะ”
ผู้เป็นมารดายื่นฝ่ามือที่เริ่มจะมีริ้วรอยแห่งวัยเข้ามากอบกุมฝ่ามือของนางเอาไว้แนบแน่น พร้อมกับส่งสายตาจับจ้องให้กับซูจินเยว่
ราวกับกำลังจะเอื้อนเอ่ยคำขอร้องออกมา
“เช่นนั้นเจ้าต้องช่วยแม่นะเยว่เอ๋อร์ ช่วยเป็นแม่สื่อให้พี่ชายของเจ้าหน่อยได้หรือไม่”
[1] บุรุษตัดแขนเสื้อ สำนวนจีนให้ความหมายว่า
พวกรักร่วมเพศ (ชายรักชาย)