บท
ตั้งค่า

บทที่ 2 แม่สื่อจำนน

“เช่นนั้นเจ้าต้องช่วยแม่นะเยว่เอ๋อร์ ช่วยเป็นแม่สื่อให้พี่ชายของเจ้าหน่อยได้หรือไม่”

เสียงคำขอร้องของมารดายังคงดังกึกก้องอยู่ภายในหัวจนกักขังซูจินเยว่เอาไว้ในภวังค์ความคิด สมองของนางนั้นขาวโพลนราวกับไร้สติ ฉับพลันหัวใจดวงน้อยก็เต้นระส่ำขึ้นมาด้วยความระทึก

“เยว่เอ๋อร์ เยว่เอ๋อร์!”

“จะ…เจ้าค่ะ ท่านแม่”

แรงเขย่าที่หัวไหล่กลมมนทำให้นางตื่นขึ้นจากภวังค์ความคิดและเข้าสู่สภาวะความเป็นจริงที่นางไม่อยากพบเจอ

“เห็นแก่ที่แม่เลี้ยงดูเจ้ามานาน ถือเสียว่าแม่ขอร้องให้เจ้าทำเพื่อรักษาเกียรติของตระกูลซูเอาไว้เถอะนะ เยว่เอ๋อร์ลูกรัก”

คำว่าบุญคุณที่แม้ว่าจะไม่ออกมาจากปากของมารดาแบบซึ่งหน้ากลับตรึงให้นางนั่งนิ่งอยู่กับที่ ไม่ว่าอย่างไรนางก็คงไม่อาจยืนกรานที่จะเอ่ยปฏิเสธออกไปได้ มิเช่นนั้นนางคงกลายเป็นคนเนรคุณ อกตัญญูไม่สำนึกบุญคุณที่ถูกเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี

นางไม่ได้ต้องการที่จะเป็นแม่สื่อให้กับผู้เป็นพี่ชายต่างสายเลือด ด้วยเพราะนางเองนั้นมีใจให้กับซูเว่ยหงนับตั้งแต่ที่นางพ้นวัยปักปิ่น เพียงเพราะสถานะนางจึงไม่อาจบอกความรู้สึกออกไป แม้ว่าคำขอของมารดาจะสร้างความขัดใจให้กับนางไม่น้อย แต่สุดท้ายแล้วนางก็ต้องเป็นแม่สื่อด้วยความจำนน

ดวงหน้าได้รูปแหงนขึ้นมองผู้เป็นมารดา แม้สตรีเบื้องหน้าจะมีนิสัยที่ขี้จุกจิกนั่นก็เป็นเพราะอยากให้บุตรชายออกเรือนและอยากให้บุตรชายของตัวเองมีทายาทสืบต่อวงศ์ตระกูลเยอะ ๆ เพราะตัวเองนั้นมีปมด้อยที่ไม่อาจมีบุตรได้หลายคน เป็นสิ่งที่มารดาคนหนึ่งพึงกระทำต่อบุตรชายด้วยความหวังดี

“เจ้าค่ะ ท่านแม่ หากเป็นความต้องการของท่านแม่เยว่เอ๋อร์ยินดีทำ” สุดท้ายนางก็ใจอ่อนและตกลงรับปากออกไปอย่างเลี่ยงไม่ได้

“เยว่เอ๋อร์ แม่ขอบใจเจ้ายิ่งนัก” ซูฮูหยินโอบกอดบุตรีอีกคนด้วยความรักไม่ต่างจากบุตรชาย แม้ว่านางจะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ก็ตามที

“ท่านแม่หมายตาสตรีใดให้ข้าเป็นแม่สื่อหรือเจ้าคะ” ด้วยความอยากรู้นางจึงไม่รอช้าที่จะถามออกไป

“อืม…สตรีที่เพียบพร้อมเหมาะกับการเป็นสะใภ้ที่มีหน้ามีตาของตระกูลซูเห็นทีคงจะไม่มีผู้ใดแล้วนอกจาก คุณหนูจางสหายของเจ้า” ซูฮูหยินทำท่าทางนึกคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยออกมา

“จางหลิงลี่!” ซูจินเยว่อุทานชื่อของสหายรักออกมาด้วยความตกใจ ไม่คิดเลยว่าผู้เป็นมารดาจะหมายตาสหายของนางเป็นเป้าหมาย

“ใช่ แม่ว่าเหมาะสมที่สุด”

จางหลิงลี่ เป็นบุตรีของเสนาบดีกรมโยธา เพียบพร้อมไปด้วยกิริยามารยาท หน้าตาหวานหยดย้อย เก่งกาจ ฉลาดเฉลียว อีกทั้งยังเป็นตระกูลสูงศักดิ์เพราะมีน้าสาวเป็นพระสนมกุ้ยเฟย ไม่ว่าผู้ใดก็อยากได้เป็นสะใภ้ และนี่คงเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ซูเว่ยหงหลุดพ้นจากการโดนกล่าวหาว่าเป็นบุรุษตัดแขนเสื้อ

‘หากมีน้องสาวเป็นแม่สื่อ หงเอ๋อร์อาจยินยอม วิธีสุดท้ายที่ข้าต้องทำให้ได้ นั่นคือต้องได้จางหลิงลี่มาเป็นลูกสะใภ้!’

ซูฮูหยินยกยิ้มขึ้นเพียงเล็กน้อย ก่อนที่นางจะคิดในใจวางแผนใช้ซูจินเยว่เป็นแม่สื่อในครั้งนี้

ซูจินเยว่เดินกลับมายังเรือนด้วยใบหน้าหม่นหมอง แม้จางหลิงลี่จะเป็นสหายรักก็ตามที หากนางไม่มีใจให้กับผู้เป็นพี่ชายก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย แต่ในยามที่นางต้องกลายเป็นแม่สื่อนั่นเท่ากับว่านางต้องเชือดเฉือนหัวใจของตัวเองออกไปทีละนิด

“หลี่เมิ่ง บอกท่านพ่อและท่านแม่ด้วยนะ ว่าวันนี้อากาศหนาวเย็นข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายจึงไม่ร่วมรับประทานอาหารเย็น”

ซูจินเยว่เอ่ยบอกกับสาวใช้คนสนิทด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรงร่างบางปลดผ้าคลุมกายออกแล้วรีบเดินดิ่งไปยังเตียงนอนด้วยความอ่อนเพลีย

“เจ้าค่ะ คุณหนูไม่สบายหรือ ข้าต้มยาให้ดีหรือไม่เจ้าคะ”

หลี่เมิ่งปรี่เข้ามายกมืออังบริเวณหน้าผากของผู้เป็นนายด้วยความเป็นห่วง แต่ทว่านางกลับต้องมุ่นคิ้วเมื่ออุณหภูมิร่างกายของคุณหนูซูนั้นปกติดี

“อืม ข้าแค่อ่อนเพลียนิดหน่อย เจ้าออกไปก่อนเถอะ”

“เจ้าค่ะ” หลี่เมิ่งค่อย ๆ ร่นเท้าถอยหลังออกไป เมื่อเห็นท่าทีของซูจินเยว่

สายลมเย็นแห่งวสันตฤดูพัดผ่านหอบเอาความหนาวเย็นเข้ามายังด้านในเรือนผ่านบานหน้าต่างที่เปิดอ้า ซูจินเยว่ไร้เรี่ยวแรงที่จะเดินไปปิดหน้าต่างบานนั้น นางจึงเมินเฉยก่อนจะหงายหลังลงบนเตียงนอนด้วยความเหนื่อยอ่อน ร่างงามระหงรีบซุกเข้าไปในผ้าห่มขนสัตว์ผืนหนาสร้างความอบอุ่นในทันที

เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ดังก้องขึ้นภายในจิตใจที่บอบบาง ความรวดร้าวที่นางมีใจให้กับบุรุษโดยที่ไม่ดูสถานะนั้นกำลังเข้าเล่นงานซูจินเยว่ จนหยาดน้ำใสไหลอาบพวงแก้มอิ่ม และผล็อยหลับไปจนไม่รู้เวลา

“อื้อ”

เสียงเล็กครางในลำคอโดยที่ดวงตายังคงปิดสนิท นางรับรู้ได้เพียงว่ามีร่างกำยำกำลังสอดกายเข้ามาอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันกับนาง

ท่อนแขนแกร่งโอบเข้าเอวสอบพร้อมกับดึงร่างเข้าประชิดกายราวกับต้องการสร้างความอบอุ่น นี่คือสัมผัสที่นางได้รับในทุกค่ำคืนเป็นระยะเวลาหลายปี

“เจ้าไม่สบายหรือเยว่เอ๋อร์”

เสียงทุ้มเข้มดังขึ้นบริเวณใบหูจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่อุ่นร้อน ทำให้ซูจินเยว่เบิกตาโพลง

“ท่านพี่!”

ร่างบางพลิกกลับมาประจันหน้ากับบุรุษที่แอบย่องเข้ามาในห้องนอนของนางในทันที ใบหน้าหล่อเหลาได้รูปอยู่ในระยะสายตา สร้างความตื่นเต้นจนหัวใจเต้นตึกตักขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง

“ตกใจอะไรกันเล่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อยที่ข้ามานอนกับเจ้า” ใบหน้าคร้ามเข้มยกยิ้มเพียงมุมปากเท่านั้น โดยที่ท่อนแขนของผู้เป็นพี่ชายยังคงโอบกอดเอวคอดกิ่วของนางเอาไว้แนบแน่น

ซูเว่ยหง เป็นบุรุษที่ถูกขนานนามว่าหล่อเหลางดงาม เป็นที่หมายปองของบรรดาสตรี แม้แต่นางยังหลงใหล ใบหน้าได้รูปของเขามีกรอบหน้าอย่างชัดเจน เรียวคิ้วหนาเรียงเส้นสวยรับกับดวงตายาวรีคมคายประดุจดวงตาเหยี่ยว มีแพขนตาหนางอนงามที่ส่งให้ดวงตาแฝงไปด้วยความหวาน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเขาทอประกายอย่างน่าหลงใหล จมูกโด่งเป็นสันที่ซูจินเยว่อดไม่ได้ที่จะยื่นมือเข้าไปสัมผัส กับริมฝีปากแดงระเรื่ออย่างสุขภาพดีที่ทำให้นางใจสั่นในทุกครั้งที่จ้องมอง

หากนางและเขาไม่ต้องมาอยู่ร่วมชายคาภายใต้สถานะคำว่าพี่น้องตระกูลซู นางคงรักเขาได้อย่างหมดใจแต่ทว่าด้วยสถานะและคำขอร้องอ้อนวอนของมารดาทำให้ซูจินเยว่ต้องหักห้ามใจเอาไว้

“ท่านพี่ ทำเช่นนี้คงไม่เหมาะสมเท่าใดนัก หากผู้ใดมาเห็นเข้าคงจะไม่เป็นการดี” ซูจินเยว่หยัดกายลุกขึ้นเพื่อให้หลุดพ้นจากอ้อมกอดของเขา

“ข้าก็มานอนกับเจ้าเฉกเช่นทุกวัน ผ่านมาตั้งหลายปีเจ้าเพิ่งจะบอกว่าไม่เหมาะสมนี่หรือ หึ”

ซูเว่ยหงแค่นเสียงในลำคอ เขาปีนหน้าต่างเข้ามานอนกับซูจินเยว่ตั้งแต่นางยังเป็นดรุณีน้อย คอยหยอกล้อ และปลอบโยนนางเมื่อยามที่ฝนโปรยปรายจนเกิดเสียงฟ้าร้องที่นางกวาดกลัว ในวันนี้นางกลับทำตัวแปลกไปเสียอย่างนั้น

“อีกไม่นานท่านพี่ก็ต้องออกเรือน แล้วอีกอย่างข้าก็ไม่ใช่น้องสาวสายเลือดเดียวกับท่านเสียหน่อย” ซูจินเยว่ได้แต่ก้มหน้าก้มตา และไม่กล้ามองสบตากับซูเว่ยหงดังเช่นเคย

“เจ้าอยากเป็นแค่น้องสาวของข้าจริงหรือ เยว่เอ๋อร์”

ซูเว่ยหงใช้ด้ามพัดสีดำสนิทเชยคางของซูจินเยว่ให้มองสบตา แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับหลบตาของเขา เรื่องที่นางเป็นน้องสาวต่างสายเลือดเขาย่อมรู้ดี และรับรู้มาโดยตลอด

“ท่านพี่ วันนี้ข้าเหนื่อยนัก ท่านพี่กลับไปพักผ่อนที่เรือนของท่านเถิดนะเจ้าคะ” ฝ่ามือบางเอื้อมจับพัดที่เชยคางของตัวเองออก พร้อมกับเอ่ยปากไล่ผู้เข้ามาเยือนด้วยการปีนเข้ามาด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยล้า

“ได้ ข้าจะไม่กวนเจ้า”

แม้จะขัดใจในท่าทีของนางไม่น้อย แต่ซูเว่ยหงก็ไม่อยากกวนใจ ในเมื่อเจ้าของเรือนออกปากไล่เขาจึงยอมออกไปแต่โดยดี

ซูจินเยว่มองร่างกำยำของซูเว่ยหงกระโดดออกจากบานหน้าต่างไปจนลับสายตา ก่อนที่หยาดน้ำตาจะไหลพรั่งพรูออกมาอาบดวงหน้า นัยน์ตาคู่สวยทอประกายไปด้วยความเจ็บปวด ‘ข้าขอโทษ’

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel